นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1353 สู้รบอีกครา
ตอนที่ 1353 สู้รบอีกครา
กองทัพเรือร่วมต้าเซี่ยและกองทัพเรือที่สองกับสามของฝูหล่างจีเผชิญหน้ากันกลางมหาสมุทรตลอดทั้งคืน
ตลอดทั้งคืนนี้ ทหารในกองทัพเรือร่วมผลัดกันพักผ่อน ทว่าแกรนด์ดยุกบุรัคผู้เป็นจอมทัพของกองทัพเรือฝูหล่างจีกลับมิได้หลับได้นอนทั้งคืน
นี่เป็นคราแรกที่แกรนด์ดยุกบุรัคพบเจอศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขา
ชั่วครู่หลังจากที่ได้เห็นกองทัพเรือรบของต้าเซี่ย ความหวาดกลัวว่าจะพ่ายแพ้ได้โถมเข้ามาในจิตใจของเขา
ใช่แล้ว นั่นคือความหวาดกลัว !
กองทัพเรือต้าของฝูหล่างจีสามารถกวาดล้างกองทัพเรือของประเทศอื่น ๆ บนน่านน้ำในทวีปยุโรปได้อย่างง่ายดาย เดิมทีพวกเขาคิดว่ากองทัพเรือของฝูหล่างจีแข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า ทว่าบัดนี้เพิ่งจะตระหนักขึ้นมาได้ว่าสิ่งที่พวกเขาคิดช่างตลกสิ้นดี !
แกรนด์ดยุกบุรัคยืนอยู่บนเรือธงที่มีชื่อว่าเรือเซลเลอร์ เขากวาดสายตามองทหารใต้บังคับบัญชาของตน นายพลที่เดิมทีคิดว่าตนเองเก่งเหนือผู้ใด บัดนี้ได้มีเผยท่าทีประหม่า กังวลและหวาดกลัวออกมาให้เห็น
“ทุกท่านลองเอ่ยออกมาสิว่าศึกครานี้พวกเราจะรบกันเยี่ยงไร ? ”
นี่เป็นเพียงคำถามง่าย ๆ ทว่านายพลทั้งสิบกลับมิเปิดปากตอบเลยสักคน…
เห็นกันอยู่แจ่มชัดว่ากองทัพเรือที่หนึ่งจำนวน 60 ลำถูกกำจัดจนสิ้นภายในระยะเวลาสั้น ๆ มิมีเรือแม้แต่หนึ่งลำที่สามารถหนีรอดออกมาได้ นี่เป็นตัวบ่งชี้ว่าศัตรูนั้นแข็งแกร่งเพียงใด
ทว่าเมื่อหันกลับมามองเรือรบฝ่ายศัตรูจะเห็นได้ว่ามิมีเรือลำใดที่ได้รับความเสียหายหนัก ๆ แม้แต่ลำเดียว… หรือบางทีอาจจะถูกกองทัพเรือที่หนึ่งโจมตีจนจมดิ่งลงสู่ก้นมหาสมุทรไปแล้วก็เป็นได้ แต่มิว่าเยี่ยงไรก็ตามหากวัดกันเรื่องความสามารถแล้วกองทัพเรือที่หนึ่งก็พ่ายแพ้ราบคาบอยู่ดี
แม้ว่ากองทัพเรือที่สองและสามจะมีจำนวนเรือมากกว่ากองทัพที่หนึ่งสองเท่าตัวก็ตาม แต่เห็นได้ว่ากองทัพเรือของศัตรูยังคงล้ำหน้าอยู่ดี เว้นแต่ว่า…
“ท่านจอมทัพที่เคารพ ข้าน้อยคิดว่าพวกเราควรถอยกลับไปเสียดีกว่า ไปรวมพลกับกองทัพเรือทั้งสามของท่านแกรนด์ดยุกโมซีที่แนวป้องกันที่สาม… หากเป็นเช่นนี้พวกเราก็จะมีเรือรบทั้งสิ้น 320 ลำ ในเรื่องของปริมาณ พวกเรามีมากกว่าข้าศึกเกือบครึ่ง หรือบางที…บางทีอาจจะพอเทียบเคียงกันได้ ! ”
หนีเยี่ยงนั้นหรือ ?
มีคำสองคำผุดขึ้นมากลางใจของแกรนด์ดยุกบุรัค ซึ่งนั่นก็คือความอัปยศของกองทัพเรือแห่งจักรวรรดินั่นเอง !
ทว่าอยู่ ๆ เขาก็พลันฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าความคิดนี้มิเลวเลยทีเดียว เพราะหากต้องพลีชีพอยู่ที่นี่โดยเปล่าประโยชน์ สู้ไปรวมพลกับกองทัพเรือทั้งหมดแล้วค่อยห้ำหั่นกับอสุรกายตะวันออกเหล่านี้ยังจะดีเสียกว่า
เขาหันไปมองแม่ทัพคนอื่น ๆ จากนั้นก็พบว่าทุกคนต่างก็เห็นด้วยผ่านสีหน้าแววตา
ทว่าเขาก็ยังลังเลอยู่ดี
เพราะในพระราชดำรัสของสมเด็จพระราชินี…
ศึกบริเวณแนวป้องกันที่สองต่างหากถึงจะสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด !
ถ้าหากจะยอมแพ้ไปทั้งอย่างนี้ แต่สามารถกำจัดศัตรูบริเวณแนวป้องกันที่สามได้ ความผิดของตนก็อาจจะเบาลงเล็กน้อย
แต่ถ้าหากว่าตนมิสู้แล้วถอยหนีกลับไป… หากแนวป้องกันที่สามพ่ายแพ้ให้แก่ศัตรู เช่นนั้นตนก็จะกลายเป็นความอัปยศของจักรวรรดิ
ในยามรุ่งสางนั้น เขาได้ทำการตัดสินใจ
“ทุกท่าน ด้วยเกียรติของจักรวรรดิและเกียรติของทหารเรือ พวกเรามิสามารถหนีออกไปจากสนามรบได้ ! ”
“ฝ่าบาทวางพระทัยให้พวกเรารับผิดชอบหน้าที่นี้ ดังนั้นพวกเราต้องรักษาผืนมหาสมุทรแห่งนี้เอาไว้ รักษาจักรวรรดิแห่งนี้เอาไว้”
“ข้าทราบว่าศัตรูแข็งแกร่งยิ่งนัก ทว่าศัตรูที่มาจากแดนบูรพา เมื่อพวกเราโจมตีเรือมันจมหนึ่งลำ เรือของมันย่อมลดน้อยลงหนึ่งลำเช่นกัน ทหารของมันจะถูกฆ่าลดน้อยลงไปทีละคน พวกมันมิมีกำลังเสริมใด…”
“เช่นนั้นพวกเราจำเป็นจะต้องรบ ! ”
“และต้องรบอย่างเต็มกำลัง ! ”
“ต่อให้เรือของพวกเราต้องจมลงทั้งหมด แต่ขอเพียงสามารถทำให้เรือของศัตรูเสียหายอย่างรุนแรงได้ เช่นนี้ก็เท่ากับว่าพวกเราได้มอบโอกาสให้แก่ท่านแกรด์ดยุกโมซีกำจัดพวกมันให้สิ้นซากแล้ว ! ”
“จงละทิ้งความคิดอื่นไปเสีย”
แกรนด์ดยุกบุรัคจ้องมองไปยังมหาสมุทรที่เริ่มมีแสงสว่างส่องลงมา แล้วเอ่ยด้วยความรู้สึกหนักแน่นว่า “นี่เป็นมหาสมุทรของพวกเรา นี่เป็นมหาสมุทรของจักรวรรดิเรา ! ”
“บัดนี้มีผู้รุกรานเข้ามา เช่นนั้น…พวกเราจำต้องกำจัดผู้รุกรานเสีย ให้ศพของพวกมันจมดิ่งลงสู่ก้นทะเลแห่งนี้ มิอาจมีผู้ใดรุกล้ำเกียรติยศของเราได้ ! ”
“ทหารทุกนายจงฟังคำสั่ง… จงเตรียมกองทัพเรือให้พร้อม แล้วมุ่งหน้าเข้าไปสู้รบกันสักตั้งเถิด…เหล่าวีรชนผู้กล้าหาญทั้งหลาย ! ”
……
……
ฟู่เสี่ยวกวนและคณะอยู่บนเรือฉางอันในกองทัพเรือที่หนึ่ง
กองทัพเรือที่หนึ่งจอดเทียบท่าอยู่ที่ท่าเรือเกาะสเตอร์ จึงเป็นเหตุให้กองทัพเรือมิได้เข้าร่วมศึกกลางมหาสมุทร
จั่วมู่ได้มอบอำนาจบัญชาการให้แก่เผิงหลางผู้บัญชาการกองทัพเรือที่สอง ศึกครานี้มีเผิงหลางเป็นผู้บัญชาการทั้งหมด
จั่วมู่ที่ยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์ของเรือฉางอันยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมาส่อง ทันใดนั้นเขาก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย เรือของข้าศึกมีการเคลื่อนไหว เช่นนั้นก็หมายความว่าสงครามกลางมหาสมุทรกำลังจะเปิดฉากขึ้นมาอีกครา
เขามิได้ดูถูกข้าศึกแต่อย่างใด และเขาก็เชื่อว่าเผิงหลางที่มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนก็มิได้ดูถูกข้าศึกเช่นกัน
ทันใดนั้น คิ้วของเขาก็คลายออกจากกัน เรือรบของฝ่ายตนเริ่มเคลื่อนไหวอีกครา
กองทัพที่สองเป็นกองกลางอยู่ดี กองทัพที่สามและสี่เป็นปีกซ้าย กองทัพที่ห้าและหกเป็นปีกขวา กองทัพเรือรบขนาดใหญ่มหึมาค่อย ๆ จัดกระบวนท่า จากนั้นก็ค่อย ๆ เคลื่อนไปข้างหน้า เผิงหลางใช้กลยุทธ์รอซ้ำยามเปลี้ย เขารอให้ศัตรูเข้ามาในระยะกระสุนของกองทัพฝ่ายตน
“มีอันใดน่าดูเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ในขณะที่จั่วมู่กำลังจับตาดูสงครามอยู่นั่นเอง ฟู่เสี่ยวกวนและฟางจาวหยางก็ได้เดินเข้ามา
“ศึกครานี้มีศัตรูมากกว่าเดิม ข้าเป็นกังวลว่ามันจะสร้างความเสียหายให้แก่พวกเรามากจนเกินไป”
ฟู่เสี่ยวกวนรับกล้องส่องทางไกลจากจั่วมู่ไปสำรวจดูเหตุการณ์ หลังจากที่เขาวางกล้องส่องทางไกลลง เขาก็ได้ตบบ่าของจั่วมู่เบา ๆ แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “เชื่อมั่นในเหล่าเผิงเถิด เขานิ่งยิ่งกว่าเจ้าเสียอีก”
เผิงหลางจัดกระบวนท่าตั้งรับ
ตอนนี้เผิงหลางกำลังนั่งบัญชาการอยู่บนเรือ สายตาจับจ้องไปยังเรือของศัตรู ผ่านไปครู่หนึ่งจึงหัวเราะเย้ยหยันออกมา “และแล้วเจ้าพวกนี้ก็อดทนรอมิไหวสินะ เหล่าต้วน ศึกครานี้พวกเราจำต้องคว้าเนื้อชิ้นโตชิ้นนี้มาให้ได้ อย่าให้เจ้าจั่วมู่มันหัวเราะเยาะพวกเรา ! ”
ต้วนฉีเฟิงเสนาธิการกองทัพเรือที่สองรู้สึกเป็นกังวลยิ่งนัก “เมื่อวานเรือรบของศัตรูน้อยกว่านี้ครึ่งหนึ่ง… ครานี้ดูเหมือนว่าพวกมันจะเอาจริงแล้ว ! ”
“เจ้าเสือกระดาษ เจ้าคอยดูเถิด ข้ามิเพียงแต่จะกำราบพวกมันเท่านั้น แต่จะจับเป็นผู้บังคับบัญชาของพวกมันมาด้วย ! ”
ในขณะที่เอ่ยนั่นเอง เผิงหลางได้หันหน้าไปมองเหล่าทหารด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็ออกคำสั่งว่า…
“ข้าขอออกคำสั่ง…ให้กองทัพที่สามและห้าถอยออกจากสนามรบ พวกเจ้ารีบอ้อมไปยังด้านหลังของศัตรูอย่างเร็วไว ! ”
“ส่วนกองทัพที่สี่และหก จงเข้ามาประชิดกองกลาง เพื่อที่จะทำการโจมตีกองกำลังหลักของศัตรู ! ”
ท้องนภาสีฟ้าครามค่อย ๆ เปิดออก
ดวงสุริยาโผล่พ้นขึ้นมาจากเส้นขอบฟ้า
ระยะห่างระหว่างสองกองทัพเข้าใกล้กันมากขึ้นเรื่อย ๆ ใกล้จนสามารถมองเห็นทหารบนเรือของฝ่ายตรงข้ามได้เลย
เผิงหลางวางกล้องส่องทางไกลลงแล้วออกคำสั่งสุดท้าย…
“เรือรบทุกลำจงอยู่ห่างกันให้มากที่สุด สามารถโจมตีได้อย่างอิสระ ! ”
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น เสียงระเบิดได้ทำลายความสงบบนมหาสมุทรจนแหลกเป็นชิ้น ๆ
ราวกับผืนมหาสมุทรได้เดือดปุด ๆ ขึ้นมาก็มิปาน น้ำทะเลพุ่งขึ้นสู่ท้องนภา เปลวแผดเผาเหนือผิวน้ำ
ทันใดนั้นแกรนด์ดยุกบุรัคก็ค้นพบว่าหัวใจของตนสั่นระรัวตามเสียงของปืนใหญ่ที่แผดดังกังวาน เขาจ้องสถานการณ์สงครามเบื้องหน้ามิไหวติง มองดูเรือรบของศัตรู เรือของทั้งสองฝ่ายตั้งอยู่ห่างกันเพียงนี้ และข้าศึกก็มิได้เข้ามาในระยะกระสุนของฝ่ายตนเสียด้วยซ้ำ เหตุใดกระสุนของศัตรูถึงโจมตีเรือรบของตนได้กัน ?
มินานนักเขาก็ต้องเบิกตาโตด้วยความตื่นตกใจ เรือรบแนวหน้าของตนถูกโจมตีไปแล้ว 3 ลำ !
เรือทั้งสามลำนั้นเกิดเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นมาหลังจากเสียงระเบิดดังขึ้น ทั่วทั้งมหาสมุทรเต็มไปด้วยแสงสีแดงจ้าของเปลวเพลิง มันได้สะท้อนเข้าไปในดวงตาของแกรนด์ดยุกบุรัค !
จั่วมู่ที่อยู่บนเรือฉางอันในตอนนี้เอ่ยถามด้วยความตกตะลึง “เผิงหลางให้กองทัพเรือที่สามและห้าแยกตัวออกไป… เจ้าหมอนั่นคิดจะทำอันใดกันแน่ ? ”