นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1354 กุหลาบ
ตอนที่ 1354 กุหลาบ
ในพงศาวดารประวัติศาสตร์ของต้าเซี่ยได้จากรึกเอาไว้ว่า… รัชสมัยที่หก เดือนหก วันที่สิบห้า กองทัพต้าเซี่ยได้เข้าควบคุมมหาสมุทรแอตแลนติก
และในวันนั้นเอง กองทัพเรือต้าเซี่ยและกองทัพเรือฝูหล่างจีได้ประจันหน้ากันที่น่านน้ำของเกาะสเตอร์
ในศึกครานั้น กองทัพเรือต้าเซี่ยมีเรือรบทั้งสิ้น 120 ลำ ส่วนกองทัพเรือที่สองและสามของฝูหล่างจีก็มีเรือรบจำนวน 120 ลำเช่นเดียวกัน สงครามเปิดฉากในวันที่สิบห้า เดือนหก ยามฟ้าสาง กองทัพเรือต้าเซี่ยได้ต่อสู้กับฝูหล่างจีเป็นเวลาสามวันสามคืนภายใต้การบัญชาการของเผิงหลาง
จวบจนกระทั่งวันที่สิบแปด เดือนหก กองทัพเรือต้าเซี่ยได้ล้อมกองทัพเรือฝูหล่างจีได้สำเร็จ ยามพลบค่ำของวันที่สิบแปด เดือนหก กองทัพเรือต้าเซี่ยได้กำจัดกองทัพเรือที่สองและสามของฝูหล่างจีจนราบคาบ ทั้งยังเข้าจับกุมทหารบนเรือธงของกองทัพเรือที่สองและสามมาเป็นเชลย พวกเขายังสามารถจับเป็นแกรนด์ดยุกบุรัคจอมทัพแห่งกองทัพเรือของฝูหล่างจีได้อีกด้วย
ชัยชนะครานี้ของต้าเซี่ยแลกกับการที่เรือรบ 3 ลำต้องจมดิ่งลงใต้มหาสมุทรและมีเรือรบ 10 ลำถูกโจมตีอย่างหนัก
แต่โดยภาพรวมแล้วมิต้องสงสัยเลยว่านี่คือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่อีกคราหนึ่ง
นี่เป็นศึกที่สำคัญอีกคราหนึ่งของต้าเซี่ย
ศึกครานี้ทำให้กองทัพเรือต้าเซี่ยควบคุมเกาะสเตอร์ได้สำเร็จ ทั้งยังแล่นเรือไปยึดครองป้อมปราการที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งได้อีกด้วย ซึ่งนั่นก็คือเกาะโพกะรานั่นเอง
กองทัพเรือต้าเซี่ยได้ทำลายแนวป้องกันที่หนึ่งและสองซึ่งฝูหล่างจีอุตส่าห์เตรียมการมาเป็นปี ๆ หลังจากที่เคลื่อนทัพอย่างเอริกเกริกมาหยุดพักบนเกาะโพกะราเป็นเวลาสั้น ๆ เพื่อจัดกองทัพ จากนั้นก็ออกเดินทางอีกคราในรัชสมัยต้าเซี่ยที่หก เดือนหก วันที่ยี่สิบห้า มุ่งหน้าเข้าสู่อาณาเขตของฝูหล่างจี
……
เมื่อคืนนี้มีฝนตกโปรยปรายทั้งคืน วันนี้เลยมีแสงสุริยาส่องสว่างเจิดจ้า
ณ สวนดอกไม้ด้านหลังพระราชวังของสมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองในเมืองบาห์เรน
สมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองสวมชุดกระโปรงลายดอกไม้ผูกโบว์สีฟ้าเอาไว้รอบเอวซึ่งดูธรรมดามากยิ่งนัก พระหัตถ์ของพระนางถือกรรไกรเอาไว้ พระองค์กำลังจะออกไปตัดกิ่งดอกกุหลาบที่งอกเกินออกมา
หัวหน้าทหารรักษาพระองค์ในวัยหนุ่มซึ่งมีนามว่าไวเคาต์ไซลาฟผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าอัศวินกุหลาบ บัดนี้ยืนอยู่ข้างหลังพระองค์ด้วยความนับถือ เขามององค์ราชินีด้วยสายตาเคารพ ทว่าในขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกกังวลเล็กน้อย
เพราะข่าวที่เมืองปาแลร์โมถูกตีจนแตกพ่ายได้แพร่มาถึงที่นี่เมื่อห้าวันก่อนแล้ว
ช่วงพลบค่ำเมื่อวานนี้ กองทัพเรือต้าเซี่ยได้ฝ่าแนวป้องกันที่สองได้สำเร็จ ข่าวที่ว่ากองทัพเรือที่หนึ่ง สอง สามถูกกวาดล้างก็แพร่มาถึงที่นี่แล้วเช่นกัน
ยามค่ำของเมื่อวานนี้ได้เรียกประชุมด่วนคณะรัฐมนตรี ดูเหมือนว่าสมเด็จพระราชินีประสงค์ที่จะยอมแพ้ให้แก่อสุรกายจากตะวันออกเสียแล้ว พระนางทรงเสนอให้เปิดแนวป้องกันที่สามเพื่อให้กองทัพเรือต้าเซี่ยยกทัพเข้ามา ให้ทั้งสองประเทศได้เจรจากันเป็นเรื่องเป็นราว
ทว่าข้อเสนอนี้ถูกปฏิเสธโดยแกรนด์ดยุกอลันหัวหน้าคณะรัฐมนตรีผู้ที่สนับสนุนการทำสงครามครานี้
แกรนด์ดยุกอลันคิดว่าการเตรียมการทั้งหมดล้วนเป็นสมเด็จพระราชินี การที่ศึกทั้งสองคราพ่ายแพ้ก็เพราะพระนางทรงใช้คนมิเอาถ่าน
นี่เป็นคราแรกที่สมเด็จพระราชินีมิได้ยืนหยัดในความคิดของพระนาง และแน่นอนว่าพระนางมิเห็นด้วยกับข้อเสนอของแกรนด์ดยุคอลัน
พระนางทรงตรัสเพียงว่า “โลกใบนี้ ท้ายที่สุดแล้วก็มิเหมือนกันสินะ”
มิมีผู้ใดเข้าใจในสิ่งที่พระนางทรงตรัส หลังจากนั้นสมเด็จพระราชินีก็ได้เสด็จออกจากพระราชวัง แล้วผลักเรื่องระดับชาตินี้ให้คณะรัฐมนตรีจัดการแทน
การประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้พระนางก็มิได้เข้าร่วมแต่อย่างใด ทว่าพระนางกลับเสด็จมาตกแต่งดอกกุหลาบในสวนดอกไม้นี้เสียแทน
แสงสุริยาค่อย ๆ สว่างเจิดจ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ สมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองหยุดตัดแต่งดอกกุหลาบแล้วลุกขึ้นยืน จากนั้นก็แขนขึ้นมาปาดหยาดเหงื่อ แล้วหันมาทอดพระเนตรดอกกุหลาบที่เป็นระเบียบเรียบร้อยนี้อีกครา พระนางโน้มพระวรกายเข้าไปดมกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ แล้วเสด็จกลับไปยังศาลาพักร้อน
“ฝ่าบาท ! ”
ไซลาฟเดินเข้าไป “คณะรัฐมนตรีส่งข่าวกลับมาแล้วขอรับ เช้าวันนี้หลังจากที่คณะรัฐมนตรีได้ข้อสรุป แกรนด์ดยุกอลันได้ออกเดินทางไปจากเมืองบาห์เรน กล่าวว่าจะไปรวมตัวกับแกรนด์ดยุกโมซีแล้วร่วมกันปกป้องแนวป้องกันที่สามเอาไว้ เขากล่าวว่าเขากล้านำเอาชีวิตเป็นประกันและจะกำจัดศัตรูให้สิ้นบริเวณแนวป้องกันที่สาม…”
“นอกจากนี้คณะรัฐมนตรียังมอบอำนาจให้แก่แกรนด์ดยุกวอเนอร์จัดกองทัพบกเสียใหม่ โดย…โดยให้สกัดกั้นศัตรูบริเวณแนวแม่น้ำอาเวีย”
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอถามบางอย่างที่มิบังควร มิใช่ว่าจักรวรรดินั้นไร้ซึ่งความสามารถในการสู้รบ ฝ่าบาททรงทุ่มเทเพื่อศึกครานี้มากยิ่งนัก บัดนี้ยังมิทันได้ตัดสินแพ้ชนะ เหตุใดถึงได้ยอมแพ้เสียเล่าพ่ะย่ะค่ะ ? ”
สมเด็จพระราชินีมารีอาได้แช่น้ำดอกกุหลาบไว้สำหรับดื่ม
พระนางทรงทอดพระเนตรกลีบดอกกุหลาบที่ลอยอยู่ ทรงพระราชดำริชั่วครู่แล้วเผยอมุมพระโอษฐ์ขึ้น “เพราะข้ามิอาจเห็นผลลัพธ์ของสงครามครานี้ได้ล่วงหน้า”
“ทว่าหลังจากการพยากรณ์ครั้งล่าสุดเมื่อสองวันก่อน สิ่งที่ข้าเห็นเต็มไปด้วยสีแดง…”
“แดงเหมือนกับดอกกุหลาบในสวนที่กำลังเบ่งบานสะพรั่ง และเหมือน…เหมือนเลือดที่ยังมิแข็งตัว”
“หลังจากนั้นก็มีหมอกทึบปกคลุมมาจากแดนบูรพา หมอกนั้นใหญ่มากยิ่งนัก มันปกคลุมไปทั่วประเทศ แต่ว่ามินานหลังจากนั้น หมอกก็ได้จางหายไป เมื่อสุริยาลาลับ ข้าได้เห็นดอกไม้นับหมื่นพันกำลังชูช่อเบ่งบานสะพรั่ง”
“ข้ากำลังคิดว่า…นี่อาจจะเป็นอนาคตของจักรวรรดิก็เป็นได้ ! ”
“เดิมทีข้าคิดจะใช้สงครามหยุดยั้งการมาถึงของพวกเขา ดังนั้นถึงได้ประกาศสงครามขึ้นมา ใช้เวลานานถึงสามปีในการรวบรวมทวีปแห่งนี้ และใช้เวลาอีกสามปีในการสร้างกองทัพที่แข็งแกร่งให้แก่จักรวรรดิ”
“เดิมทีข้าคิดว่ากองทัพของจักรวรรดินั้นแข็งแกร่งเพียงพอแล้ว เดิมทีข้าคิดว่าพวกเราจะโจมตีพวกเขาจนแตกพ่าย…”
สมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองหัวเราะเย้ยหยัน “ท้ายที่สุดก็เป็นข้าที่เข้าใจผิดไปเอง… ข้าลืมไปว่าตอนที่พยากรณ์ข้าได้เห็นประภาคารที่ส่องแสงสว่าง มันตั้งอยู่ทางทิศบูรพา…มันได้ชี้นำโลกใบนี้ไปสู่หนทางแห่งความเจริญ ! ”
“หลายปีมานี้พวกเราได้ทุ่มเทเพื่อทำศึกตั้งมากมาย ทว่าทั้งสงครามทางบกและทางน้ำก็ยังมิวายต้องพ่ายแพ้ นี่ก็เพียงพอที่จะอธิบายได้แล้วว่าวัฒนธรรมทางตะวันออกแซงหน้าพวกเราไปหลายขุม อาวุธของพวกเขาล้ำหน้ามากกว่า เรือรบของพวกเขาแข็งแกร่งมากกว่า นี่มิใช่สิ่งที่สามารถเอาชนะได้ด้วยปริมาณ…ทว่านี่คือพลังของเทคโนโลยีต่างหาก ! ”
“ต่อหน้าพลังที่แข็งแกร่งเพียงนั้น ต่อให้มีทหารมากเพียงใดก็เป็นได้แค่เขม่าปืนใหญ่เท่านั้น แล้วพวกเราจะพลีชีพไปเพื่ออันใดกัน”
“ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังทำนายเห็นกิ่งมะกอก”
“การมาเยือนของพวกเขามิได้มาเพื่อยึดครอง”
ไซลาฟตกตะลึงขึ้นมาทันใด “แล้วพวกเขามาเพื่ออันใดกันพ่ะย่ะค่ะ ? ”
สมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองทรงยกถ้วยชาขึ้นมาและทรงตรัสหลังจากที่นิ่งเงียบไปชั่วครู่ว่า “บางที…อาจจะมาเพื่อหาผลประโยชน์ร่วมกันก็เป็นได้”
หัวหน้าอัศวินวัยหนุ่มยากที่จะเข้าใจว่าชาวตะวันออกจะมาหาผลประโยชน์ร่วมกันกับจักรวรรดิได้เยี่ยงไร เขายังคงยืนหยัดความคิดเดิมที่ว่าจักรวรรดิของตนคือประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
“เช่นนั้นก็หมายความว่ามติของคณะรัฐมนตรีจะสูญเปล่าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
สมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองจิบชาหนึ่งอึก พระโอษฐ์ของพระนางเผยอขึ้นเล็กน้อย พระพักตร์ที่งดงามหยดย้อยนั้นบานสะพรั่งราวกับดอกกุหลาบ
“มนุษย์มักจะถูกสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าบดบังสายตา หลายปีมานี้จักรวรรดิได้ผงาดแข็งแกร่งขึ้นมา จึงหลงคิดว่าตนเองเป็นที่หนึ่งในใต้หล้า ! ”
“เดิมทีข้าเองก็คิดเช่นนั้น แต่บัดนี้ข้าทราบว่าข้าคิดผิด พวกเขาจะมิเอ่ยอันใดให้มากความ ทว่าพวกเขาจะแสดงให้พวกเราเห็นอย่างแน่นอน เพื่อให้พวกเราได้ทราบว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า ! ”
เมื่อตรัสจบ สมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองก็ได้เสด็จกลับห้องของพระนางทันใด
ห้องนี้มิใช่พระราชตำหนักที่วิจิตรงดงามแต่อย่างใด ทว่าเป็นเพียงอาคารไม้สองชั้นแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ในสวนดอกไม้ด้านหลังพระราชวัง
บนชั้นสองของอาคาร พระนางทรงหยิบหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งห่อหุ้มด้วยหนังแกะที่วางอยู่บนหลังตู้ลงมา
พระนางทรงทอดพระเนตรไปที่หน้าปก หน้าปกเป็นภาพเทวสถานแห่งหนึ่งซึ่งพอจะมองเห็นได้เลือนรางท่ามกลางหิมะที่ตกโปรยปราย บนหน้าปกนั้นมีตัวหนังสือเขียนเอาไว้ว่า “ศิลปะการทำนาย ! ”
พระนางทรงเปิดหนังสือเล่มนั้นแล้วพึมพำออกว่า “เหตุใด…ถึงหายไปตั้งครึ่งเล่มเล่า ? ”
“เทวสถานที่สูงส่งเหนือดินแดนใดในใต้หล้า ตั้งอยู่ที่ใดกันแน่นะ ? ”