นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1357 ดั่งความฝัน
ตอนที่ 1357 ดั่งความฝัน
รัชสมัยต้าเซี่ยที่แปด เดือนแปด วันที่หนึ่ง
วันนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้นำทหารนับหมื่นเดินทางตามสมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองเดินทางมาจนถึงเมืองบาห์เรน
ณ สวนดอกไม้ด้านหลังพระราชวัง
สมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองได้เปลี่ยนมาสวมชุดกระโปรงยาวสีสด บัดนี้กำลังนั่งอยู่ในศาลาท่ามกล่างสวนดอกไม้ พลางต้มชาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ
“เรื่องตำนานบูรพาทิศ ข้าพอจะได้ยินมาบ้าง ยกตัวอย่างเช่นชานี้…”
“ข้าถวิลหาดินแดนตะวันออกอยู่เสมอ ดังนั้นข้าจึงส่งกองทัพไปที่นั่นตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เหตุผลเพื่อค้นหาประเทศลึกลับแห่งนั้นแล้วยึดครองมันเสีย ! ”
“เดิมทีข้าคิดว่ากองทัพเรือของฝูหล่างจีจะสามารถคว้าชัยในภารกิจนี้ได้อย่างง่ายดาย ข้าได้เตรียมการเรื่องนี้อย่างดี ตั้งตารอรายงานที่ส่งกลับมาจากแดนตะวันออก”
นางรินชาให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก็ส่งให้เขาด้วยสองมือ ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นจ้องมองไปทางฟูเสี่ยวกวน มุมปากของนางเผยลักยิ้มออกมาทั้งสองข้าง
“แต่ข้ามิคาดคิดเลยว่ากองทัพเรือฝูหล่างจีจะพ่ายแพ้ เมื่อข้าได้รับรายงานว่ากองทัพเรือฝูหล่างจีพ่ายแพ้ ข้าก็ทราบได้ทันทีว่าใต้หล้านี้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ยกตัวอย่างเช่น…อุตสาหกรรมตะวันออกมิน่าจะก้าวหน้าเร็วเพียงนี้ และยกตัวอย่างเช่น…ในยุคสมัยนี้ยังมิน่าจะมีกองทัพในดินแดนตะวันออก”
“บัดนี้ข้าพอจะเข้าใจแล้ว ว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะท่าน ! ”
“ท่าน...มิน่าจะเป็นคนของโลกใบนี้สินะ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงขึ้นมาทันใด เขาจ้องมองสมเด็จพระราชินีมารีอาที่สอง จากนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมา “เหตุใดท่านถึงรู้ว่าโลกใบนี้มิเหมือนเดิม ? หรือว่าท่านก็มิใช่คนของโลกใบนี้เช่นเดียวกัน ? ”
“ไม่ ! ข้าได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งมีเพียงแค่ครึ่งเล่มเท่านั้น ในหนังสือครึ่งเล่มนี้ได้ทำนายเส้นทางการพัฒนาของโลกใบนี้ ก่อนหน้านี้เส้นทางเหล่านี้มิได้เบี่ยงเบนไปมันดำเนินพัฒนาไปตามหนังสือ ทว่าบัดนี้มันกลับคลาดเคลื่อนขึ้นมา!”
“อีกอย่างหนังสือเล่มนี้ได้กล่าวถึงจุดหนึ่ง ความก้าวหน้าทางประวัติศาสตร์บางทีอาจจะเปลี่ยนแปลงจากคนนอกก็เป็นได้”
สมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองโน้มกายลง กลิ่นกุหลาบบนเรือนร่างของนางโชยเตะจมูกของฟู่เสี่ยวกวน นางเอ่ยถามด้วยความฉงนสงสัย “ตกลงท่านมาจากที่ใดกันแน่ ? ”
“โลกที่ท่านจากมานั้นเป็นเยี่ยงไร ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนชักสายตากลับมา จากนั้นก็ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ ทว่ามิได้ตอบคำถามของสมเด็จพระราชินีมารีอาที่สอง “กองทัพบกของข้า คาดว่าพวกเขาคงมาถึงทวีปยุโรปแล้ว ท่านจะออกคำสั่งใดหรือไม่เพื่อป้องกันการประทะโดยที่มิจำเป็น ? ”
“ข้าได้ออกคำสั่งเรียบร้อยแล้ว กองทัพบกของพวกเราจะประจำการอยู่บริเวณแนวแม่น้ำอาเวีย กองทัพของท่านจำต้องถอยออกจากเมืองบาห์เรน…และแน่นอนว่า ผู้นำกองทัพบกของท่านสามารถนำองครักษ์ 1,000 นายเข้ามาพบท่านที่เมืองบาห์เรนได้”
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้ยินดังนั้นจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมิน้อย นี่หมายความว่ากองทัพบกของกวนเสี่ยวซีได้เดินทางมาถึงยุโรปแล้วจริง ๆ
เขาเลิกคิ้วขึ้น จากนั้นก็วางถ้วยชาลง “เกรงว่าท่านจะต้องผิดหวัง”
“เพราะเหตุใด ? ”
“เพราะมิมีหนังสือที่ลงนามด้วยลายมือของข้า พวกเขาจะต้องกำจัดกองทัพของท่านจนหมดสิ้นอย่างแน่นอน และพวกเขาต้องนำกองทัพเดินทางมาจนถึงที่นี่ ! ”
สมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองผงะตกใจ ลางสังหรณ์มิดีพลันเกิดขึ้นมาภายในจิตใจ
“เช่นนั้นขอให้ท่านรีบเขียนจดหมายด้วยเถิด”
“นำพู่กัน หมึก กระดาษและแท่นฝนหมึกมา”
“มิมี…พวกเรามีแค่พู่กันขนห่านเท่านั้น”
“อันนั้นก็ได้ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนยกพู่กันขนห่านขึ้นมาเขียนจดหมายถึงกวนเสี่ยวซี สายตาของสมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองจ้องมองไปยังกระดาษ อยู่ ๆ ความหวาดหวั่นก็พลันถาโถมเข้ามาในหัวใจ
ตัวอักษรนี้เหมือนกับตัวอักษรในหนังสือศิลปะการทำนาย !
ในมุมมองของพระสันตะปาปา นี่คือตัวอักษรของพระเจ้า !
ผนวกกับเนื้อหาที่บรรยายในหนังสือศิลปะการทำนาย สถานที่ที่พระเจ้าเสด็จลงมาในโลกในนี้ก็คือบูรพาทิศ !
ดินแดนบูรพาทิศมีหอสิบแปดชั้น
ในหอแห่งนั้นมีจุดเริ่มต้นอารยธรรมของพระเจ้าที่หลงเหลือเอาไว้ !
ในหนังสือศิลปะการทำนายยังบอกอีกว่าพวกเขารอคอยวันที่จะมีคนเดินทางมาถึงที่นี่ พวกเขาหวังว่า…หวังว่าคนผู้นั้นจะสืบทอดอารยธรรมต่อไป
สมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองจ้องมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวน เขา…คือคนที่พระเจ้ากำลังรอคอยอยู่ใช่หรือไม่ ?
เขามิได้ตอบคำถามของตน ทว่าแท้ที่จริงเขาได้ให้คำตอบออกมาแล้ว…
“เหตุใดท่านถึงรู้ว่าโลกใบนี้มิเหมือนเดิม ? หรือว่าท่านก็มิใช่คนของโลกใบนี้เช่นเดียวกัน ? ”
และเขายังใช้ตัวอักษรแบบเดียวกัน !
เช่นนี้ทุกอย่างเริ่มประติดประต่อได้แล้ว
เขามาจากอาณาจักรของพระเจ้า !
เขารู้และเข้าใจในอารยธรรมของพระเจ้าเป็นอย่างดี !
ดังนั้นเขาก็เลยผลักดันให้เกิดความก้าวหน้าทางอารยธรรมในดินแดนตะวันออก เปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีของตะวันออก เปลี่ยนแปลงความก้าวหน้าของประวัติศาสตร์ นี่คงมิใช่เรื่องที่ยากเย็นจนเกินไป
ฟู่เสี่ยวกวนวางพู่กันลง จากนั้นก็ยื่นจดหมายฉบับนี้ให้สมเด็จพระราชินีมารีอาที่สอง
“การที่พวกเราเดินทางมาถึงที่นี่ ประการแรกก็เพื่อสำรวจโลกใบนี้ ส่วนประการที่สองหวังว่าจะได้ร่วมมือกับพวกท่าน...”
“ยกอย่างเช่นเศรษฐกิจ วัฒนธรรม หรือด้านการทหารเป็นต้น”
สมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองส่งจดหมายฉบับนี้ให้ไวเคาต์ไซลาฟ “ส่งจดหมายฉบับนี้ไปยังแม่น้ำอาเวียให้เร็วที่สุด เจ้าจงเดินทางไปด้วยตนเอง และส่งจดหมายฉบับนี้ให้ท่านแกรนด์ดยุกวอเนอร์ด้วยตนเอง จงบอกกับเขาว่าจำต้องส่งจดหมายฉบับนี้ให้ถึงมือแม่ทัพของต้าเซี่ย…”
นางหันศีรษะกลับมา “ข้ารู้สึกยินดียิ่งนักที่ท่านมิได้นำพาสงครามมาให้ พอจะไปเดินเล่นกับข้าได้หรือไม่ ? ”
“ย่อมได้”
สมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองลุกขึ้นยืน จากนั้นก็นำฟู่เสี่ยวกวนไปยังสวนดอกไม้ที่เต็มไปด้วยดอกกุหลาบสีแดง
“ข้าคิดว่าความร่วมมือระหว่างสองประเทศนั้นยังมีอุปสรรคบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่น…ภาษา”
สมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองเอ่ยพลางโน้มกายลงไปดอมดมดอกกุหลาบ จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “พวกเราเริ่มต้นจากด้านวัฒนธรรมก่อนดีหรือไม่…ฝูหล่างจีจะส่งคนเข้าไปเรียนภาษาที่มหาวิทยาลัยต้าเซี่ย ต้าเซี่ยก็ต้องส่งคนเข้ามาเรียนภาษาฝูหล่างจีเช่นเดียวกัน ท่านเห็นเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
“นี่มันลำบากมากจนเกินไป สิ่งที่ข้าคิดก็คือ…สร้างสถานที่เรียนรู้วัฒนธรรมของต้าเซี่ยที่ฝูหล่างจี”
สมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางมิได้คิดว่านี่คือการรุกรานทางวัฒนธรรม เพราะเยี่ยงไรนางก็เป็นแค่หญิงสาวที่อายุยี่สิบกว่าปีเท่านั้น
สิ่งที่นางคิดก็คือตัวอักษรของพระเจ้านั่น !
ตัวอักษรเช่นนี้ ช่างเป็นเกียรติยิ่งนัก ถ้าหากว่าชาวฝูหล่างจีสามารถร่ำเรียนภาษาของพระเจ้าได้… นี่เป็นการแสดงความเคารพสูงสุดต่อพระองค์
ดังนั้นนางก็เลยพยักหน้าแล้วมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวน ราวกับว่าต้องการจะพิสูจน์อันใดบางอย่างที่อยู่ในใจ อยู่ ๆ นางก็โพล่งกลอนบทหนึ่งออกมา
“ข้าที่เจือจางได้จากไปแล้ว
เฉกเช่นที่มาเยือนอย่างเงียบงัน
ข้าโบกมือช้าช้า
อำลาเมฆาประจิมทิศ”
ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็เผยสีหน้าประทับใจออกมา เขาจ้องมองไปยังสมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ เขาถึงกับกลืนน้ำลายลงคอแล้วยื่นมือออกไปคว้าบ่าของสมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองเอาไว้ !
สมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองตกตะลึงขึ้นมาทันใด ทว่ามิได้ปฏิเสธแต่อย่างใด
ฟู่เสี่ยวกวนสูดหายใจเข้าลึก “ท่าน…ท่านก็เดินทางทะลุมิติมาเช่นกันใช่หรือไม่ ? ”
สมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองโพล่งยิ้มออกมา มันงดงามดั่งดอกกุหลาบผลิบาน
“ท่านมิใช่คนของโลกใบนี้จริง ๆ ด้วยสินะ ! ”
“แล้วท่านเล่า ? ”
“ข้าคือคนของโลกใบนี้”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกเหลือเชื่อมากยิ่งนัก เพราะกลอนที่นางท่องออกมาเมื่อครู่ มิใช่กลอนบนโลกใบนี้ และในตอนที่เขาเดินทางมาถึงโลกใบนี้ ทางตะวันตกกับทางตะวันออกมิเคยมีการติดต่อกันมาก่อน
กลอนบทนี้เคยปรากฏขึ้นบนกำแพงที่วัดฟูจื่อในเมืองจินหลิง
จากนั้นเขาก็ได้เห็นกลอนบทนี้อีกคราในจดหมายที่จี้หยุนกุยมอบให้เขา
เดิมทีคิดว่ากลอนบทนี้มาจากฟู่ต้ากวน หลังจากนั้นก็คิดว่ามาจากมารดาของตนสวี่หยุนชิง จากนั้นก็ทราบว่ามิใช่พวกเขา
เขามิทราบว่ากลอนบทนี้มาจากที่ใด ในเมื่อกลอนบทนี้ปรากฏขึ้นมาบนโลกใบนี้ เช่นนั้นก็แสดงว่าเคยมีคนเดินทางมายังโลกใบนี้
เขาเป็นผู้ใดกัน ?
เขาลงมือทำอันใดบ้าง ?
เหมือนว่านอกจากกลอนบทนี้ เขาก็มิเหลือทิ้งร่องรอยอันใดเอาไว้เลย
และบัดนี้เขากลับได้ยินกลอนบทนี้จากแดนตะวันตกอันไกลโพ้นอีกครา แม้ว่าบัดนี้นางจะใช้อีกภาษาหนึ่งอธิบาย ทว่าความหมายของมันมิได้ต่างกันเลย
เขาคิดว่าสมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองเป็นผู้ที่เดินทางทะลุมิติมาเช่นเดียวกัน ทว่านางกลับปฏิเสธมัน
“ท่านรู้จักกลอนบทนี้ได้เยี่ยงไรกัน ? ”
“รู้มาจากหนังสือศิลปะการทำนายครึ่งเล่มที่ได้มาจากฐานนิวเคลียร์ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงอีกครา…
ฐานนิวเคลียร์เยี่ยงนั้นหรือ ?
“ท่านรู้จักฐานนิวเคลียร์ด้วยหรือ ? ” สมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองเอ่ยถามด้วยสีหน้าคาดหวัง
อยู่ ๆ ฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกว่าเขากำลังตกอยู่ในความฝัน !
“พาข้าไปอ่านหนังสือเล่มนั้นหน่อยได้หรือไม่ ! ”