นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1364 การตัดสินใจของคูฉาน
ตอนที่ 1364 การตัดสินใจของคูฉาน
ราตรีนั้นหิมะแรกของปีถล่มเมืองฉางอัน
และในราตรีนั้น หม้อไฟในจวนตระกูลเยี่ยนเผ็ดมากยิ่งนัก และสุราก็หอมอวลมากเช่นกัน
แต่เมื่อกินกับแกล้มเยอะ ก็ดื่มสุราได้น้อยลงเช่นกัน ทว่าทุกคนได้มีโอกาสนทนากันมากมายเลยทีเดียว
ฝานเทียนหนิงบรรยายการเดินทางไปยังประเทศต้าฝานคร่าว ๆ คูฉานก็ได้เล่าประสบการณ์ในช่วงหลายปีมานี้ให้ฟังอย่างสั้น ๆ เช่นกัน
จากนั้นเยี่ยนซีเหวินและคนอื่น ๆ ที่เหลือถึงได้บอกเล่าความเปลี่ยนแปลงคราใหญ่ของต้าเซี่ยในช่วงหลายปีมานี้
แต่มิว่าจะเอ่ยถึงเรื่องใดล้วนหนีมิพ้นคนผู้หนึ่ง…ซึ่งก็คือฟู่เสี่ยวกวน !
“…เขาอาจจะเป็นผู้ที่สวรรค์ส่งลงมา ! ”
“หากคิดถึงปีนั้นที่เขตเหยา ตอนที่พระองค์เริ่มผลิตปูนขึ้นมาบนภูเขาเฟิ่งหลิน ตั้งแต่นั้นมา ถนนหนทางในต้าเซี่ย สิ่งปลูกสร้างของต้าเซี่ยก็ได้เปลี่ยนแปลงไปเพราะสาเหตุนี้”
“พระองค์ทรงสร้างโรงงานขนาดใหญ่ขึ้นมานอกเรือนซีซาน หนึ่งในนั้นคือโรงงานสุราซีซานที่พวกเราดื่มกันอยู่ตอนนี้ ยอดสุราเลิศรส”
“นอกจากนี้่ ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีของต้าเซี่ยในปัจจุบันก็ได้ถือกำเนิดมาจากซีซาน เมื่อศูนย์วิจัยซีซานถือกำเนิดปืนคาบศิลาและปืนใหญ่ขึ้นมา มันก็ทำให้รูปแบบของสงครามเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง”
“และยิ่งมิต้องเอ่ยถึงเมล็ดพันธุ์ข้าวฟู่อีต้ายที่ถูกเพาะพันธุ์มากจากทุ่งนานอกเรือนซีซาน… ทุกวันนี้เมล็ดพันธุ์ข้าวได้ขยายพันธุ์มาจนถึงฟู่ชื่อซานต้ายแล้ว แม้ว่าผลผลิตของมันจะมิน่าตกตะลึงเท่าฟู่เอ้อต้าย ทว่าบัดนี้เมล็ดพันธุ์ข้าวมีผลผลิตที่แน่นอนมากยิ่งขึ้น ทนต่อความแห้งแล้งมากยิ่งขึ้น และทนต่อโรคต่อแมลงมากยิ่งขึ้น ! ”
“ทั้งยังมีมันเทศที่พระองค์ทรงนำมาปลูก ต้าเซี่ยมิเพียงแต่ได้แก้ไขปัญหาความเป็นอยู่ของราษฎรนับร้อยล้านเท่านั้น ทว่าต้าเซี่ยยังเป็นประเทศที่ส่งออกเสบียงอาหารมากที่สุดอีกด้วย”
“เครื่องมือและทักษะต่าง ๆ ของโรงงานพัฒนามิขาดสาย ปริมาณของเสบียงอาหารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้านการทหารก็ค่อย ๆ แข็งแกร่งขึ้นเพราะการถือกำเนิดของอาวุธยุทโธปกรณ์ใหม่ ๆ ในส่วนของท้องพระโรง พระองค์ทรงก่อตั้งสามสำนักหกกรมและคณะรัฐมนตรีขึ้นมาเพื่อเป็นการถ่วงดุลอำนาจของกันและกัน ขุนนางทั้งหลายล้วนมิกล้ากระทำการทุจริตเพราะหน่วยงานที่ชื่อว่าฝ่ายตรวจการคอยควบคุมอยู่”
เยี่ยนซีเหวินยกจอกสุราขึ้นมาอีกครา “ในสมัยราชวงศ์หยู อดีตจักรพรรดิมีพระราชประสงค์ที่จะสร้างยุคสมัยเซวียนลี่ให้รุ่งเรืองขึ้นมา…”
“แท้ที่จริง ราชวงศ์หยูในตอนนั้นห่างไกลจากยุคสมัยรุ่งเรืองเพียงแค่ก้าวเดียว ทว่าเป็นก้าวที่ค่อนข้างไกล ! ”
“ถ้าหากว่าอดีตจักรพรรดิทำเรื่องพวกนี้ขึ้นมาได้… ทุกวันนี้อาจจะมิมีต้าเซี่ยก็เป็นได้ อาจจะเป็นราชวงศ์หยูที่เจริญรุ่งเรืองเหมือนอย่างทุกวันนี้ ! ”
“คราหนึ่งท่านปู่เคยเอ่ยว่าแท้จริงแล้วยุคสมัยถูกสร้างขึ้นโดยวีรบุรุษหรือวีรบุรุษสร้างยุคสมัยขึ้นมากันแน่… หรือว่าอาจจะใช่ทั้งสองอย่าง แต่ข้าคิดว่าเป็นอย่างแรกเสียมากกว่า เพราะพวกเจ้าก็ทราบดีว่าเจ้าหมอนั่นขี้เกียจมากเพียงใด ! ”
“มา ๆ ๆ พวกเรามาชนจอกสุรากันสักหน่อย หลังจากนี้ก่อนจะถึงวันหยุดยาวช่วงปีใหม่ พวกเราจะต้องนำเอาแผนการพัฒนาระยะห้าปีมาเจียรไนอีกสักคราเพื่อให้ต้าเซี่ยก้าวขึ้นไปอีกขั้น พวกเราจะต้องทำให้พระประสงค์ของจักรพรรดิพระเจ้าหลวงเป็นจริงขึ้นมาให้ได้ ! ”
ทุกคนยกจอกสุราขึ้นมา พวกเขาสังสรรค์กันจนถึงยามโฉ่ว
……
……
ฝานเทียนหนิงและคูฉานอาศัยอยู่ในจวนตระกูลเยี่ยน
อาหารถูกยกออกไปแล้ว เยี่ยนซีเหวินจึงจัดแจงต้มชาหนึ่งกา
หลังจากคูฉานตั้งใจฟังสิ่งที่เยี่ยนซีเหวินและทุกคนเอ่ย ผนวกกับสิ่งที่เขาพบเห็นมาตลอดทาง บัดนี้เขาจึงได้ทำการตัดสินใจบางอย่าง…
ในฐานะที่เขาสถาปนาต้าฝานขึ้นมา เขากำลังคิดและหวังที่จะสร้างต้าฝานให้เจริญรุ่งเรืองเหมือนต้าเซี่ย
ทว่าเยี่ยงไรเสีย ช่วงเวลาหลายปีมานี้ที่ได้ครอบครองอำนาจ ท้ายที่สุดเขาก็ได้ค้นพบว่าการปกครองแคว้นกับการดูแลจัดการวัดแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ราษฎรต้องได้กินจนอิ่มท้องและได้สวมใส่เสื้อผ้าอบอุ่น เช่นนั้นก็จำต้องมีเสบียงอาหารและเสื้อผ้าให้เพียงพอ
แม้ว่าขุนนางเหล่านั้นจะเป็นขุนนางที่เขาเลือกมากับมือ ทว่าเยี่ยงไรเสียธรรมชาติของมนุษย์ก็ต่างจากธรรมชาติของพระสงฆ์
ในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงมิกี่ปี ต้าฝานก็ได้ฟื้นคืนมาจากความเน่าเฟะ และมีแนวโน้วว่าจะแพร่กระจายออกไปเรื่อย ๆ
เขามักจะนอนมิหลับในยามราตรี เพราะเป็นกังวลเกี่ยวกับประเทศชาติ และเป็นเพราะคิดถึงชีวิตอันบริสุทธิ์ในวัด
เมื่อฝานเทียนหนิงเดินทางมาถึงประเทศต้าฝาน เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เพราะมีเรื่องราวมากมายที่อยากจะเล่าสู่กันฟัง เพราะที่ต้าฝานเขามิมีสหายรู้ใจเช่นนั้น
ฝานเทียนหนิงเป็นชาวต้าเซี่ย และเป็นสหายรู้ใจเพียงมิกี่คนในชีวิตของคูฉาน
ในขณะที่เขากำลังเล่าถึงความลำบากของตนเองและสิ่งที่ตนปรารถนา ฝานเทียนหนิงก็ได้สาธยายถึงความเปลี่ยนแปลงของต้าเซี่ยให้เขาฟังเช่นกัน
ความเปลี่ยนแปลงนั้นชวนให้เขาตกตะลึง ทำให้คูฉานรู้สึกเหลือเชื่อเป็นอย่างยิ่ง
แน่นอนว่าฝานเทียนหนิงได้บอกเล่าจุดจบของมารดาของเขาด้วยเช่นกัน…
“จักรพรรดิพระเจ้าหลวงทรงมอบผ้าแพรสามฉื่อให้แก่องค์หญิงใหญ่ จากนั้นก็นำร่างขององค์หญิงใหญ่ไปฝังไว้ในสุสานจักรพรรดิที่จินหลิง… พระองค์ทรงตรัสอีกว่าสิ่งที่พระองค์ทรงขอบพระทัยมาตลอดชีวิตหนึ่งในนั้นคือองค์หญิงใหญ่ ! ”
“พระองค์ทรงตรัสว่า…ตอนที่เขาจากเมืองหลินเจียงไปยังจินหลิง องค์หญิงใหญ่ได้ช่วยเหลือพระองค์ไว้มากมาย น้ำใจนี้เขาจดจำเอาไว้ในใจ เพียงแต่คาดมิถึงว่าสถานการณ์จะกลายมาเป็นเช่นนี้… องค์หญิงใหญ่มีใจคิดอยากจะก่อตั้งประเทศใหม่ขึ้นมา นี่เป็นเรื่องปกติทั่วไป แต่การกระทำขององค์หญิงใหญ่เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย”
“ดังนั้นองค์หญิงใหญ่จำต้องตาย”
“ทว่าเยี่ยงไรเสียพระนางก็เป็นถึงองค์หญิงใหญ่ ร่างของพระนางจึงถูกนำไปฝังที่สุสานจักรพรรดิ… ถือเป็นเรื่องสุดท้ายที่พระองค์จะทรงทำเพื่อองค์หญิงใหญ่”
“ถ้าหากว่าเจ้าปลงได้ก็มิต้องไปกล่าวโทษเขา ด้วยความแข็งแกร่งของประเทศต้าฝานของเจ้า เจ้ามิอาจแก้แค้นเขาได้ ดังนั้นข้าอยากแนะนำให้เจ้าปล่อยวางความโกรธแค้นนี้เอาไว้แล้วเดินทางติดตามข้าไปเยี่ยมเยือนต้าเซี่ย ซึ่งเป็นการเยี่ยมเยือนบ้านเกิดเมืองนอนของเจ้าเช่นกัน”
ดังนั้นคูฉานจึงตัดสินใจกลับมา
และเขาก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของต้าเซี่ยประจักษ์แก่สายตา
“ท่านเยี่ยน ข้ามีความคิดเช่นนี้ ท่านลองฟังดูเถิด”
เยี่ยนซีเหวินรินชาให้แก่คูฉานและฝานเทียนหนิง “เชิญกล่าวมาเถิด”
“ประเทศต้าฝานนั้นล้าหลังและยากจนข้นแค้นยิ่งกว่าแคว้นฝานในอดีตเสียอีก”
“ดังนั้นข้าเลยคิดว่า ถ้าหากต้าเซี่ยมิรังเกียจ…ข้าจะขอให้ประเทศต้าฝานเข้าร่วมเป็นหนึ่งในเขตปกครองของต้าเซี่ยได้หรือไม่ ? ”
เยี่ยนซีเหวินตะลึงขึ้นมาทันใด บัดนี้ในใจของเขาลิงโลดเป็นอย่างมาก...
แม้ว่าอาณาเขตของประเทศต้าฝานจะเล็กกว่าต้าเซี่ยมิน้อย แต่เมื่อเทียบกับอาณาเขตของราชวงศ์หยูก็ถือว่าใหญ่กว่ามากเช่นกัน
ประชากรต้าฝานมีราวร้อยล้านกว่าคน
และเส้นทางสายไหมทางบกก็จำเป็นต้องผ่านประเทศต้าฝาน...
ถ้าเกิดว่าประเทศต้าฝานเป็นเขตการปกครองของต้าเซี่ย เช่นนั้นต้าฝานก็จะกลายเป็นจุดเชื่อมต่อที่มีความสำคัญอย่างยิ่งแห่งหนึ่งของเส้นทางสายไหมทางบก
และจากสถานที่แห่งนั้นไปยังทวีปยุโรปมันมีระยะทางใกล้กว่า เช่นนั้นก็ให้พ่อค้าชาวต้าเซี่ยไปสร้างโรงงานที่ประเทศต้าฝานเพื่อส่งออกสินค้าไปยังทวีปยุโรป
และนี่ย่อมเป็นเรื่องดีคับฟ้า !
“จะว่าไปแล้ว…หากจะเอ่ยว่าเห็นแบบอย่างนี้มาจากที่ใด แน่นอนว่าต้องเป็นแผ่นดินใหญ่ลีอาห์”
“ดินแดนแห่งนั้นมีทั้งสิ้นสามแคว้นด้วยกัน มีขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมที่แตกต่างกับต้าเซี่ย แต่ก็มิได้เป็นอุปสรรคต่อการสื่อสารแลกเปลี่ยนกันแต่อย่างใด”
“ในระยะเวลาหลายปีมานี้ ตัวอักษรบนแผ่นดินใหญ่ลีอาห์ได้เปลี่ยนเป็นตัวอักษรต้าเซี่ยเกือบทั้งหมดแล้ว ผู้คนบนแผ่นดินใหญ่ลีอาห์ต่างก็ใช้ภาษาต้าเซี่ย”
“บัดนี้แผ่นดินใหญ่ลีอาห์เจริญรุ่งเรืองมิน้อย ตามที่จักรพรรดิพระเจ้าหลวงทรงตรัสเอาไว้ แผ่นดินใหญ่ลีอาห์ถือเป็นศูนย์กลางของเส้นทางสายไหมทางทะเล ถ้าหากว่า…ถ้าหากว่าต้าฝานเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของต้าเซี่ย ข้ากล้ารับประกันเลยว่าที่นั่นจะต้องเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาภายในมิกี่ปี”
“แต่นี่มันมิใช่เรื่องเล็ก ประการแรกจำต้องดูก่อนว่าเจ้าคิดจริงจังหรือไม่ ถ้าหากว่าเจ้าคิดดีแล้ว วันพรุ่งนี้จงตามข้าเข้าไปในพระราชวัง เรื่องนี้ต้องให้ทั้งสามแผนกหารือกันเสียก่อนแล้วถึงจะส่งต่อไปให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา”
ฝานเทียนหนิงหันหน้าไปมองคูฉาน เห็นเขากำลังถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
“จักรพรรดิพระเจ้าหลวงทรงตรัสว่าอำนาจทำให้ผู้คนลุ่มหลง พระองค์สามารถปล่อยวางอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดได้ แล้วเหตุใดข้าถึงจะปล่อยวางมิได้กัน ? ”
“ข้าสร้างต้าฝานมาเองกับมือ การผนวกรวมเข้ากับต้าเซี่ยเพื่อทำให้ราษฎรมิต้องใช้ชีวิตทุกข์ยากเช่นนั้นอีกต่อไป นี่เป็นสิ่งที่ข้าคิดมาดีแล้ว”
“อืม…หลังจากนี้เจ้าวางแผนเยี่ยงไรกัน ? ความหมายของข้าคือถ้าหากต้าฝานกลายเป็นหนึ่งเต้าของต้าเซี่ย เจ้าก็ยังสามารถดำรงตำแหน่งเต้าถายได้”
“ขอบใจในความปรารถดีของท่านเยี่ยน แต่ข้ามิประสงค์ที่จะทำเช่นนั้น”
คูฉานจ้องมองหิมะที่ตกโปรยปรายลงมา แล้วเอ่ยออกมาว่า…
“ข้าจะโกนผมบนศีรษะออกไปอีกครา”
“ข้าจะกลับมาสวมจีวรใหม่อีกครา”
“ข้าจะถือคทาของข้า… แล้วเดินทางไปยังชื่อเล่อชวน ไปปฏิบัติธรรมต่อหน้าพระพุทธองค์… หรือบางทีอาจจะเดินตามรอยพระพุทธบาตรไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังดินแดนห่างไกล”