นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1365 ความกลัดกลุ้มของหยุนซีเหยียน
ตอนที่ 1365 ความกลัดกลุ้มของหยุนซีเหยียน
รัชสมัยต้าเซี่ยที่หก เดือนสิบเอ็ด ณ เมืองฉางอัน เมื่อหิมะหยุดตก ท้องนภาสว่างสดใส
ยิ่งเข้าใกล้ช่วงเทศกาลประจำปีมากขึ้นเท่าใด เมืองฉางอันก็ยิ่งคึกคักมากขึ้นเท่านั้น
การพัฒนาอย่างรวดเร็วด้านการค้าทำให้ต้าเซี่ยมิขาดแคลนสินค้าอีกต่อไป และมันยังทำให้ราษฎรมีเงินในกระเป๋ามากขึ้นเช่นกัน
การจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลปีใหม่เป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก เมื่อเปรียบเทียบกับตอนที่เพิ่งก่อตั้งต้าเซี่ยแล้วนั้น ราษฎรค่อย ๆ ยึดถือเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติมากขึ้น
สิ่งที่แตกต่างไปจากเมื่อก่อนคือบัดนี้ราษฎรมีความสนใจในเรื่องของบ้านเมืองมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะช่วงใกล้จะสิ้นปีเช่นนี้แล้ว หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ต้าเซี่ยจะสรุปผลการดำเนินงานตลอดทั้งปีลงไปในนั้น…
เมื่อราษฎรมีเงินในกระเป๋ามากขึ้น เช่นนั้นเงินคงคลังของต้าเซี่ยจะเป็นเยี่ยงไรเล่า ?
ในคลังคงจะมีเงินมากมายนับมิถ้วน แต่จะมีจำนวนเท่าใดกัน ? เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้วจะเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? นี่เป็นสิ่งที่ชาวเมืองฉางอันมักจะถกเถียงกันหลังมื้ออาหาร
เพราะหากคลังหลวงร่ำรวยเงินทอง นั่นก็หมายความว่าปีถัดไปพวกเขาจะมีเงินมากขึ้นสำหรับการใช้จ่าย นี่ล้วนแต่เป็นโอกาสทางการค้าทั้งสิ้น นี่ล้วนเกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร
และในวันนี้ต้าเซี่ยได้จัดงานประชุมใหญ่ราชวงศ์ คาดว่าเมื่อการประชุมนี้สิ้นสุดลง ข่าวคราวเหล่านี้คงจะถูกประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ
ทว่าวันนี้สิ่งที่ราษฎรถกเถียงกันเป็นหลักกลับมิใช่เรื่องการประชุมใหญ่ราชวงศ์ ทว่าเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ต้าเซี่ยต่างหาก !
“ต้าฝานเยี่ยงนั้นหรือ ? ต้าฝานอยู่แห่งหนใดกัน ? ”
“หนังสือพิมพ์ก็เขียนอยู่ทนโท่มิใช่หรือว่าผ่านแคว้นเย่หลางไป…อีกไกลพอสมควร ทั้งยังต้องข้ามภูเขาหิมะลูกใหญ่ ว่ากันว่ามันอยู่ห่างออกไปราว 3,000 ลี้”
“ต้าฝานตั้งอยู่ไกลถึงเพียงนี้ การที่พวกเขาจะผนวกรวมเข้ากับต้าเซี่ยของพวกเรา นี่เป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายกันแน่ ? ”
“เจ้าโง่หรือเยี่ยงไรกัน นี่ย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งอยู่แล้วสิ ! เจ้าลองคิดดูเถิด ด้วยศักยภาพของต้าเซี่ย อีกมินานคงสร้างรางรถไฟเพื่อเดินทางไปยังสถานที่แห่งนั้น ด้วยระยะทาง 3,000 ลี้ย่อมจะเดินทางไปถึงในระยะเวลาเพียงแค่มิกี่วัน ! ”
“ได้ยินมาว่าสถานที่แห่งนั้นยากจนข้นแค้นยิ่งนัก เช่นนั้นคงมิต่างอันใดกับแผ่นดินใหญ่ลีอาห์ในอดีตมากนัก หากพวกเราไปสร้างโรงงานที่นั่นก็จะทำให้ราษฎรที่นั่นมีรายได้ไปด้วย จากนั้นก็นำสินค้าไปขายแล้วกอบโกยเงินทองกลับมา…”
“นอกจากนี้พวกเจ้าอาจจะยังมิทราบว่ากองทัพบกของต้าเซี่ยได้เดินทัพไปโจมตีทวีปยุโรปผ่านต้าฝาน เช่นนั้นก็หมายความว่า ถ้าหากกองทัพต้าเซี่ยของพวกเราสามารถพิชิตทวีปยุโรปได้ ที่นั่นใกล้กับทวีปยุโรปมากกว่า เช่นนั่นสินค้าของพวกเราก็สามารถนำไปขายในทวีปยุโรปได้ด้วยเช่นกัน ! ”
“พวกเจ้าลองคิดดูดี ๆ เถิด เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่าต้าเซี่ยของพวกเราได้ผนวกรวมทั้งใต้หล้าไว้แล้วมิใช่หรือ ? ทุก ๆ ที่ในใต้หล้านี้ล้วนเป็นอาณาเขตของพวกเรา เช่นนั้นกิจการย่อมจะขยายใหญ่ขึ้น…นี่เป็นโอกาสทางการค้าที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละท่านด้วยว่าจะฉกฉวยผลประโยชน์ตรงนี้มาได้หรือไม่ ! ”
เมื่อลองตั้งใจฟังบทสนทนาในโรงน้ำชาก็จะพบว่าคนผู้นี้เอ่ยได้มีเหตุผลและหลักการ...
ตอนที่ต้าเซี่ยผนวกรวมทั้งห้าแคว้นเข้าด้วยกัน นั่นเป็นโอกาสทางการค้าคราใหญ่คราแรกของต้าเซี่ย
เมื่อต้าเซี่ยยึดครองแคว้นหลิวแล้วเปลี่ยนให้สถานที่แห่งนั้นเป็นหยวนตงเต้า นี่ถือเป็นโอกาสทางการค้าคราใหญ่คราที่สองของต้าเซี่ย
และเมื่อต้าเซี่ยได้ทำการบุกเบิกเส้นทางเดินเรือไปยังแผ่นดินใหญ่ลีอาห์ ทั้งสามแคว้นบนแผ่นดินใหญ่ลีอาห์ล้วนตกเป็นประเทศราชของต้าเซี่ย และนี่คือโอกาสทางการค้าคราใหญ่คราที่สาม
บัดนี้จักรพรรดิพระเจ้าหลวงกำลังบุกเบิกเส้นทางเดินเรือไปยังทวีปยุโรป และต้าฝานได้ผนวกรวมเป็นหนึ่งเขตการปกครองของต้าเซี่ย นี่ย่อมเป็นโอกาสทางการค้าคราใหญ่คราที่สี่อย่างแน่นอน
เช่นนั้นพวกเราจะคว้าโอกาสทางการค้านี้มาได้เยี่ยงไร และจะคว้าผลกำไรจากส่วนนั้นมาได้เยี่ยงไร ?
บ้างก็ใคร่ครวญ บ้างก็วาดฝันจินตนาการถึง บ้างก็ฮึกเหิมจนกระโดดโลดเต้น
ทว่าเมื่อประชุมใหญ่ราชวงศ์เสร็จสิ้นลงแล้ว หยุนซีเหยียนที่นั่งอยู่ในที่ทำการของกรมคลังกำลังกลัดกลุ้มใจมากยิ่งนัก
เขาขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นจนเกิดรอยย่น พลันรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มิน้อย จำต้องไปหารือกับเยี่ยนซีเหวินอีกสักครา
ทันใดนั้นเขาก็เดินออกไปจากกรมคลังเพื่อไปยังสำนักเสนาบดี เยี่ยนซีเหวินที่นั่งอยู่ในสำนักเสนาบดีตอนนี้กำลังถือสมุดพับเล่มหนึ่งไว้ในมือ
“ท่านเสนาบดีเยี่ยน”
หยุนซีเหยียนเดินเข้าไปนั่งหน้าโต๊ะชา “พวกเราจำเป็นต้องลงทุนในต้าฝานจำนวนมหาศาลเลยทีเดียว ! ”
เยี่ยนซีเหวินยังคงถือสมุดพับเล่มนั้นพลางเดินไปนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับหยุนซีเหยียน จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ต้าฝานเป็นประเทศที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล…มันมีขนาดเท่ากับการผนวกรวมอดีตราชวงศ์หยู แคว้นฝานและราชวงศ์อู๋เข้าด้วยกัน เพียงแต่ว่าจำนวนประชากรอาจจะน้อยสักหน่อย”
“จากคำบอกเล่าของคูฉาน สถานที่แห่งนั้นล้าหลังยิ่งนัก ทว่าความล้าหลังมิใช่ประเด็นสำคัญ สิ่งที่ข้ามองเห็นก็คืออนาคตเบื้องหน้า ดังนั้นทั้งสามสำนักจึงมัวแต่สาละวนอยู่กับเรื่องนี้ตลอดหลายวันที่ผ่านมา เพื่อร่างนโยบายที่จะใช้ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนา”
“เจ้าลองดูนี่เถิด”
เยี่ยนซีเหวินส่งสมุดพับไปให้หยุนซีเหยียน “นี่เป็นแผนการเบื้องต้นของต้าฝานเต้า ! ”
หยุนซีเหยียนรับสมุดพับไปพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ส่วนเยี่ยนซีเหวินกำลังจัดแจงชงชา “สิ่งที่พวกเราปรารถนา มิใช่การขยายอาณาเขต ทว่าพวกเราปรารถนาให้ต้าเซี่ยสามารถปกครองได้อย่างสงบสุข”
“ต่อจากนี้ไป เส้นทางสายไหมทางบกจำต้องผ่านต้าฝาน ถ้าหากว่าต้าฝานยังดำรงอยู่ มันก็ยากที่จะรับประกันได้ว่าองค์จักรพรรดิพระองค์ใหม่ที่ครองบัลลังก์ต่อจากคูฉานจะมีทัศนคติที่ดีต่อต้าเซี่ย”
“แม้ว่าต้าเซี่ยจะมิเกรงกลัวแคว้นใด แต่การที่นำต้าฝานเข้ามาผนวกรวมเป็นอาณาเขตของต้าเซี่ยอย่างสันตินั้น…ย่อมเป็นเรื่องที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน พวกข้าวิเคราะห์กันว่า…ถ้าหากจักรพรรดิพระเจ้าหลวงทรงประทับอยู่ในวัง พระองค์ย่อมตัดสินใจทำเช่นนี้แน่นอน ”
“เมื่อพวกเราเห็นรายงานจากกรมคลัง พวกเราต่างก็ทราบกันดีว่า…บัดนี้กรมคลังมิมีเงินทุนมากพอที่จะเจือจุนให้แก่นโยบายนี้ ดังนั้นพวกเราต้องมีการพลิกแพลงให้เข้ากับสถานการณ์… ดั่งเช่นที่ได้เอ่ยไปแล้วก่อนหน้านี้ ต้าเซี่ยจะลงทุนก่อสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ส่วนที่เหลือก็ให้บรรดาพ่อค้ารับผิดชอบไป”
“เจ้าจะต้องเชื่อมั่นในพ่อค้าชาวต้าเซี่ยของพวกเรา พวกเขาคาดการณ์ได้ค่อนข้างแม่นยำ ข้าเชื่อว่าพวกเขาจะต้องยินยอมไปลงทุนขนานใหญ่ที่ต้าฝานอย่างแน่นอน… ดังนั้นแล้วพวกเราคาดว่าภายในระยะสามถึงห้าปีราษฎรชาวต้าเซี่ยจะต้องร่ำรวยขึ้นไปอีกขั้นอย่างแน่นอน”
เมื่อหยุนซีเหยียนอ่านสมุดพับจนจบแล้ว เขาจึงเอ่ยออกมาอีกคราว่า “แม้ว่าจะเป็นการลงทุนในด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานก็ตาม บัดนี้มีเงินในกรมคลังจำนวน 2,300 ล้าน ครึ่งหนึ่งในนั้นจำต้องนำมาใช้จ่ายในเรื่องพื้นฐานเสียก่อนยกตัวอย่างเช่นการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์หรือก่อสร้างระบบพื้นฐานในชนบทเป็นต้น”
“ส่วนที่เหลืออีกพันล้านอาจจะดูเหมือนมาก แต่หากนำไปลงทุนกับต้าฝานเต้าที่ใหญ่โตเพียงนั้น มันก็เป็นแค่น้ำหนึ่งแก้วกับรถขนฟืนไหม้เท่านั้น1 ”
“ทางรถไฟจากหยวนเป่ยเต้าไปยังต้าฝานมิได้สร้างกันง่าย ๆ มันเปรียบได้ดั่งการฆ่าตัวตาย เพราะจากการคำนวณราคาเบื้องต้นแค่สร้างทางรถไฟไปที่นั่นเงินพันล้านยังมิพอจุนเจือ ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงการสร้างรถไฟภายในต้าฝานเลย”
เยี่ยนซีเหวินรินชาหนึ่งจอกด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมลงทันใด
“สิ่งที่เจ้าเอ่ยมานั้น ล้วนแต่เป็นปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นจริงทั้งนั้น เจ้าคิดเห็นว่าเยี่ยงไร ? ”
“นอกเสียจากว่าพวกเราจะหาเงินมาได้จำนวนหมาศาล มิเช่นนั้นเห็นทีต้าฝานเต้าคงต้องพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งพวกเราสามารถแบ่งระยะการก่อสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของต้าฝานเป็นรอบได้ ยกตัวอย่างเช่น…ร่างแผนพัฒนาระยะห้าปีของต้าฝานออกมาก่อน”
“เพราะข้าเห็นว่ามิสมควรที่จะใช้เงินในคลังจนหมดเกลี้ยง จำต้องเหลือเอาไว้เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินบ้าง”
ในขณะที่เยี่ยนซีเหวินกำลังครุ่นคิดถึงปัญหานี้ ฉินโม่เหวินก็เดินเข้ามาพอดี
“เมื่อครู่กรมพิธีการได้ส่งข่าวคราวมาแจ้งว่า…อู๋เทียนซื่อมีเรื่องจะร้องขอ”
ฉินโม่เหวินนั่งลง เมื่อเยี่ยนซีเหวินได้ยินดังนั้นจึงผงะตกใจมิน้อย จากนั้นก็เอ่ยถามว่า “เรื่องใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เขาเอ่ยว่าใกล้ถึงปีใหม่แล้ว เขาอยากกลับไปไหว้บรรพบุรุษที่สุสานจักรพรรดิในเมืองกวนหยุน”
เยี่ยนซีเหวินขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะนี่ถือเป็นเรื่องปกติ แม้ว่าอู๋เทียนซื่อจะมิใช่องค์จักรพรรดิแล้ว ทว่าเยี่ยงไรเขาก็เป็นบุตรชายของฟู่เสี่ยวกวน และยังเป็นบุตรหลานของอดีตจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋
“อืม ให้กรมพิธีการจัดการเรื่องผู้เข้าร่วมขบวนก็แล้วกัน ข้าขอเสนอให้ใช้พิธีการตาม…ธรรมเนียมปฏิบัติขององค์ชาย เจ้ามาได้จังหวะพอดี พวกเรากำลังหารือเกี่ยวกับปัญหาของต้าฝานเต้ากันอยู่”
1น้ำหนึ่งแก้วกับรถขนฟืนไหม้ หมายความว่า กำลังน้อยกว่ามักจะพ่ายแพ้กำลังที่มากกว่า