นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1368 ใจพุ่งไปหา
ตอนที่ 1368 ใจพุ่งไปหา
รัชสมัยต้าเซี่ยที่เจ็ด เดือนสอง วันที่สอง เทศกาลมังกรเชิดเศียร
สำนักดาราศาสตร์ได้เลือกวันนี้เป็นฤกษ์งามยามดีในการสักการะวัดไท่เมี่ยว และในวันนี้เช่นกัน กองทัพของฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เดินทางมาถึงหยวนตงเต้าแล้ว
มิทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดฟู่เสี่ยวกวนถึงได้รู้สึกกระวนกระวาย ถึงขั้นที่ว่าเมื่อเรือจอดเทียบท่าที่อิงเทียนแล้ว เขาหยุดเติมเสบียงเพียงแค่สองวันเท่านั้น
และแน่นอนว่าระยะเวลาเพียงแค่สองวันมิอาจไปตรวจการดูได้ว่าการก่อสร้างในอิงเทียนเป็นเยี่ยงไรบ้าง เขามิไปพบกับเหล่าภรรยาเลยด้วยซ้ำ โชคดีที่ไป๋ยู่เหลียนอยู่ที่ท่าเรืออิงเทียนพอดี และเขาก็เพิ่งจะได้ทราบจากไป๋ยู่เหลียนว่าการก่อสร้างที่อิงเทียนใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว
การออกแบบเมืองอิงเทียน ยังเป็นฝีมือของฟู่เสี่ยวกวนดังเดิม แต่รูปแบบของตึกรามบ้านช่องของที่นี่กลับมิเหมือนที่ฉางอัน และจากการออกแบบของฟู่เสี่ยวกวน สถานที่แห่งนี้จะเป็นสถานที่ที่เขาจะใช้ชีวิตอีกครึ่งที่เหลือ และด้วยเหตุนี้มันจึงมิได้ยิ่งใหญ่เหมือนเมืองฉางอัน แต่ก็มีความโดดเด่นงดงามเหมือนเมืองจินหลิง
มันเป็นเมืองในรูปแบบสวน แต่ละห้องล้วนวิจิตรตระการตา แต่ละทิวทัศน์ล้วนมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง จึงทำให้งบประมาณการก่อสร้างนั้นสูงลิบลิ่ว แต่เห็นได้ชัดว่าไป๋ยู่เหลียนดูจะถูกอกถูกใจมิน้อย
“สวนจัวเจิ้งก่อสร้างเสร็จแล้ว ข้าชอบสวนแห่งนี้เป็นที่สุด จวนฟู่ของเจ้าอยู่ทางเหนือของสวนแห่งนี้ ข้าลองครุ่นคิดดูแล้วว่าจะสร้างเรือนตะวันตกสักหลังที่ฝั่งตะวันตกของสวน”
ใบหน้างดงามของไป๋ยู่เหลียนเผยรอยยิ้มออกมา แล้วเอ่ยอย่างเขินอายว่า “เพราะข้าจะแต่งงานแล้ว เมื่ออิงเทียนสร้างเสร็จเมื่อใด รอให้เจ้ากลับมา ข้าก็จะแต่งงาน เพราะแต่งงานก็ต้องมีเรือนหอ เช่นนั้นเรือนตะวันตกหลังนั้นถือว่าเจ้ามอบมันเป็นของขวัญให้ข้าก็แล้วกัน ข้าจะได้คอยปรนนิบัติเจ้าไปด้วย”
“เป็นแม่นางคนใดกัน ? ”
ไป๋ยู่เหลียนยกยิ้มอย่างเขินอาย
“แม่นางซูเกต์ชินจากชนเผ่าซูลี่”
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ทันใดนั้นก็นึกถึงตอนที่ได้พบกับแม่นางผู้นั้นที่ชนเผ่าซูลี่ขึ้นมาได้ เขาตบบ่าของไป๋ยู่เหลียนเบา ๆ พลางเอ่ยออกมาว่า “เหล่าไป๋ เจ้าใช้ได้เลยนี่ แม่นางผู้นั้นมิเลวเลย รอข้ากลับมา ข้าจะเป็นประธานในพิธีแต่งงานของเจ้าเอง”
ไป๋ยู่เหลี่ยนจ้องมองสมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองซึ่งนั่งอยู่ข้างกายฟู่เสี่ยวกวนอย่างเงียบ ๆ พลางครุ่นคิดในใจว่าตนช่างแตกต่างกับฟู่เสี่ยวกวนมากเสียจริง
เจ้าหมอนี่ไปทำสงครามที่ทวีปยุโรป มิเพียงแค่รบชนะเท่านั้น ทว่ายังสามารถฉกตัวสมเด็จพระราชินีแห่งฝูหล่างจีมาได้อีกด้วย
เมื่อเห็นสมเด็จพระราชินีผมทองตาสีน้ำข้าวจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาเคารพศรัทธา เขาก็ทราบได้ทันทีว่าแม่นางผู้นี้จะต้องติดกับดักของเขาแล้วเป็นแน่
“จะรีบกลับไปเพื่ออันใดกัน ? มิไปดูอิงเทียนก่อนหรือเยี่ยงไร ? บัดนี้ถ้าหากประสงค์จะแก้ตรงที่ใดก็ยังพอจะแก้ทัน แต่หากเจ้ากลับมาอีกคราจะมิสามารถแก้ได้แม้แต่อิฐสักก้อนหรือต้นไม้สักต้น”
“มิทราบว่าเพราะเหตุใดข้าถึงคิดอยู่เสมอว่ามีเรื่องเกิดขึ้นที่ต้าเซี่ย แต่คิดไปคิดมาก็เหมือนว่าจะมิมีอันใด… มีเยี่ยนซีเหวิน ฉินโม่เหวิน และหนิงหยู่ชุนรวมถึงหยุนซีเหยียน ต้าเซี่ยจะเกิดเรื่องร้ายอันใดได้กัน ? ”
“หรือว่าเจ้าคูฉานจะยกทัพบุกต้าเซี่ยกัน ? ” ไป๋ยู่เหลียนชะงักงัน
แต่ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะเสียงดังลั่น “ต่อให้คูฉานยกทัพมาจริง แต่จะมีทหารที่ใดเป็นคู่ปรับของต้าเซี่ยได้ เจ้ากังวลในเรื่องที่มิควรจะกังวลเลยด้วยซ้ำ”
“เช่นนั้นการที่ข้ารู้สึกกระวนกระวายนั้นเป็นเรื่องแปลก ทั้งเอเชีย หรือแม้กระทั่งทั่วใต้หล้า มิว่าจะเป็นแคว้นใดล้วนแต่มิใช่คู่ปรับของต้าเซี่ยทั้งสิ้น ต่อให้พวกเขาร่วมมือกันก็ยังมิอาจสู้ได้…”
สีหน้าของฟู่เสี่ยวกวนพลันเคร่งขรึมขึ้นมาทันใด “หวังว่าลางสังหรณ์ของข้าจะผิด ทว่าเยี่ยงไรก็ต้องกลับไปอยู่ดี ข้าถึงจะรู้สึกสบายใจ เช่นนั้นครานี้ข้ายังมิไปอิงเทียนก็แล้วกัน รอให้เรือเติมเสบียงเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะออกเดินทางต่อทันที ครานี้จะมิจอดแวะที่แผ่นดินใหญ่ลีอาห์เช่นกัน ข้าจำต้องเร่งรีบกลับไปให้เร็วที่สุดจะได้รู้สึกโล่งใจสักที”
ท้ายที่สุดนายน้อยเศรษฐีที่ดินแห่งหลินเจียงก็มิอาจปล่อยปละละเลยความเป็นอยู่ของต้าเซี่ยได้
ไป๋ยู่เหลียนรู้สึกพึงพอใจกับสิ่งนี้เป็นอย่างมาก เพราะต้าเซี่ยผ่านอันใดมามากกว่าจะมีวันนี้ได้
“ข้าจะเดินทางไปเป็นเพื่อนเจ้าเอง”
“มิต้อง เจ้าอยู่ฝึกทหารดาบเทวะเถิด มีกวนเสี่ยวซีเดินทางกลับเป็นเพื่อนข้าก็เพียงพอแล้ว”
หลังจากที่คิดตริตรองชั่วครู่ ไป๋ยู่เหลียนก็มิได้เดินทางติดตามฟู่เสี่ยวกวนไป เขายังคงอยู่บนทวีปอิงเทียนเพื่อวางแผนก่อสร้างอิงเทียนและก่อตั้งกองทัพดาบเทวะของอิงเทียน
นั่นเป็นกองทัพจำนวน 10,000 นาย
เป็นกองทัพที่คัดเลือกมาจากชายชาตรีร่างกายกำยำจากชนเผ่าท้องถิ่นของอิงเทียน
ปัญหาด้านภาษา บัดนี้ทวีปอิงเทียนได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว ทว่าพวกเขายังคงรักษาเอกลักษณ์ของชนเผ่าและความเชื่อเอาไว้ตามคำกล่าวของฟู่เสี่ยวกวน แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ยอมรับวัฒนธรรมของต้าเซี่ยด้วย
“นอกเมืองอิงเทียนมีการบุกเบิกที่นากว่าแสนหมู่ หวางเอ้อเป็นคนไปเลือกเองกับมือ โดยไปขอที่ดินของแต่ละชนเผ่า หวางเอ้อตั้งใจให้ชาวเผ่าเหล่านั้นเป็นทาสของเจ้าให้หมด เหมือนกับตอนที่ยังอยู่ในหลินเจียง ให้พวกเขาคอยดูแลที่นา ส่วนเจ้าก็เป็นเจ้าของที่ดินของพวกเขา”
“เมื่อข้าลองตริตรองดูแล้วเห็นว่าเป็นความคิดที่ดี จึงเห็นด้วยกับความคิดนี้ของหวางเอ้อไป ทั้งยังให้หวางเอ้อสร้างเรือนซีซานขึ้นมาหนึ่งหลังซึ่งอยู่ห่างจากฝั่งตะวันออกของเมืองอิงเทียนไปราว 300 ลี้…”
“ที่นั่นมีภูเขา มีแม่น้ำ มีพื้นที่กว้างขวาง มีอากาศที่เหมาะแก่การอยู่อาศัย มีที่นามากมาย ทั้งยังสร้างโรงงานเหมือนซีซานในตอนนั้น ข้าคิดว่าหากเจ้ามาอยู่อาศัยที่อิงเทียน เจ้าคงมิยอมอยู่เฉยไปวัน ๆ ดังนั้นหากเจ้าออกเดินทางไปข้างนอกก็สามารถพักอาศัยที่นั่นได้เช่นกัน”
“ชุนซิ่วกับต่งชูหลานเป็นผู้รับผิดชอบการก่อสร้างเรือนซีซาน พวกนางกล่าวว่าจะก็สร้างให้เหมือนกับเรือนซีซานในตอนนั้น เพียงแต่จะขยายใหญ่อีกหลายเท่าตัว เพราะว่าทุกวันนี้สมาชิกในครอบครัวของเจ้ามีมากมายพอสมควร เมื่อถึงเวลานั้นทุกคนจะได้มิต้องอยู่เบียดเสียดกัน”
ฟู่เสี่ยวกวนอมยิ้มเพราะคิดว่าคนที่คิดถึงซีซานคงมิได้มีเพียงตน ต่อให้เป็นหวางเอ้อหรือไป๋ยู่เหลียน รวมไปถึงชุนซิ่วและต่งชูหลานล้วนแต่มีความผูกพันกับเรือนซีซานทั้งสิ้น
ทว่าสมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองซึ่งนั่งอยู่ข้างกายของฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกประหลาดใจมิน้อย บัดนี้นางฟังภาษาต้าเซี่ยเข้าใจทุกคำแล้ว ตลอดทางมานี้ฟู่เสี่ยวกวนได้เอ่ยเรื่องอิงเทียนให้นางฟังมาตลอดทาง นางเข้าใจในอดุมการณ์ของฟู่เสี่ยวกวนดี เพียงแต่ในความเข้าใจของนางนั้น นางคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนจะตั้งตนเป็นจักรพรรดิที่อิงเทียน แต่คาดมิถึงเลยว่าเขาจะเป็นเพียงเศรษฐีที่ดินเท่านั้น
บุรุษผู้นี้น่าสนใจอย่างแท้จริง
สมาชิกในครอบครัวมีมากมายพอสมควร…ก็มีมากมายจริง ๆ นั่นแหละ บัดนี้เขามีภรรยาแล้ว 9 คน ส่วนตน…ตนจะกลายเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวของเขาหรือไม่กัน ?
เรื่องที่เขามีลางสังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นที่ต้าเซี่ย ลางสังหรณ์ของเขาจะแม่นยำหรือไม่ ?
ถ้าหากเกิดเรื่องขึ้นมาจริง ๆ จะเป็นเรื่องอันใดกัน ?
เมื่อเติมเสบียงเสร็จก็มุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออกต่อไป
เมื่อผ่านท่าเรือที่เจริญรุ่งเรืองอย่างท่าเรือบนแผ่นดินใหญ่ลีอาห์ ทว่าเขามิได้จอดแวะอย่างจริง ๆ เขาเพียงแค่ชี้นิ้วอยู่บนเรือฉางอัน พลางบอกเล่าเรื่องราวของท่าเรือแห่งนั้นให้นางได้ฟัง…
“นั่นเป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของแผ่นดินใหญ่ลีอาห์”
“แผ่นดินใหญ่ลีอาห์นั้นมีสามแคว้นด้วยกัน และทุกวันนี้ล้วนเป็นประเทศราชของต้าเซี่ยทั้งสิ้น”
“ต้าเซี่ยและแผ่นดินใหญ่ลีอาห์มีความสัมพันธ์ทางด้านการค้า และในอนาคตคาดว่าคงจะมีมากกว่านี้ เพราะสินค้าที่จะนำไปวางขายในทวีปยุโรปจะต้องเดินทางออกจากตรงนี้”
“รอให้ข้ากลับไปอิงเทียนอีกครา ข้าจะพาเจ้าแวะเที่ยวชม”
วันนี้เรือได้เดินทางมาถึงหยวนตงเต้าแล้ว ทว่าเขาก็ยังมิจอดแวะอยู่ดี
เดิมทีหยวนตงเต้าเป็นที่ประจำการของกองทัพเรือ ทว่าฟู่เสี่ยวกวนก็ยังพาพวกเขาเดินทางไปยังท่าเรือเจียงเฉิง
“เดิมทีหยวนตงเต้าเป็นแคว้นหนึ่ง ทว่าท่านส่งกองทัพไปยึดครองที่นั่น หลังจากนั้นกองทัพเรือของข้าก็ได้โจมตีกองทัพเรือของท่านแล้วพ่ายแพ้ไป ที่นี่จึงกลายมาเป็นอาณาเขตของต้าเซี่ย…”
ฟู่เสี่ยวกวนหันหน้ากลับไปมองสมเด็จพระราชินีมารีอาที่สอง “เจ้าโกรธเคืองข้าหรือไม่ ? ”
สมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองหันไปกลอกตาใส่เขาแล้วส่งถ้วยชาไปให้ “สัจธรรมของใต้หล้านี้คือผู้ใดแข็งแกร่งผู้นั้นย่อมเป็นราชา อีกอย่างหากมิใช่เพราะศึกครานั้น ท่านก็คงมิได้เดินทางมาฝูหล่างจี”
“หากท่านมิมาฝูหล่างจี ข้าก็จะมิได้พบท่าน และยิ่งมิอาจไขปริศนาจากหนังสือศิลปะการทำนายเล่มนั้นได้เลย ดังนั้นแล้ว…นี่คือโชคชะตาฟ้าลิขิต”
บางทีหลาย ๆ เรื่องคงจะเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิตอย่างแท้จริง
ฟู่เสี่ยวกวนทอดสายตามองท้องนภาที่สว่างเจิดจ้า
ทว่าอยู่ ๆ หนังตาของเขาก็กระตุกอย่างรุนแรง
เขาขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น พลางหันไปมองตำแหน่งที่ตั้งของต้าเซี่ย
หรือว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับอู๋เทียนซื่อกัน ?