นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1369 ชั้นที่สิบแปด
ตอนที่ 1369 ชั้นที่สิบแปด
ฤดูหนาวในเมืองกวนหยุนยาวนานกว่าเมืองฉางอันเล็กน้อย
วันที่สอง เดือนสอง หิมะในเมืองฉางอันเริ่มหลอมละลายแล้ว กระทั่งต้นหลิวแตกหน่อออกมาให้เห็นมิน้อย ทว่าเมืองกวนหยุนยังคงถูกหิมะถล่มหนักอย่างต่อเนื่อง
และท่ามกลางหิมะที่ตกหนักนั้นเอง อู๋เทียนซื่อได้ฉวยโอกาสตอนที่หยุดพักจากการทำพิธีสักการะแอบย่องไปยังหอเทียนจี
สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ข้างกวนหยุนถาย มันเป็นสถานที่ลับซึ่งมีน้อยคนที่จะรู้จัก
แต่ก่อนปฐมจักรพรรดิฟู่เสี่ยวกวนเคยคิดจะเข้าไปสำรวจชั้นสิบแปดของหอเทียนจี ทว่าท้ายที่สุดถูกเยี่ยนซีเหวินและคนอื่น ๆ ห้ามปรามเอาไว้
คราหนึ่งเขาเคยลอบลงไป ทว่าเขายืนลังเลอยู่หน้าประตูของชั้นสิบแปดอยู่เนิ่นนาน
ท้ายที่สุดเป็นเพราะตนได้แตกรากแตกหน่อแผ่กิ่งก้านสาขาที่ต้าเซี่ยแห่งนี้แล้ว ดังนั้นเขาจึงล้มเลิกความคิดที่จะเปิดประตูบานนั้นออก
มิมีผู้ใดทราบว่าหลังประตูบานนั้นมีอันใดซ่อนอยู่
หากจะเข้าไปในชั้นสิบแปด ต้องมีตราประทับหยกขององค์จักรพรรดิที่สืบทอดต่อกันมาเพื่อเปิดประตู
จัวเปี๋ยหลีคาดมิถึงว่าอู๋เทียนซื่อจะหนีไปพร้อมกับตราประทับหยกตั้งแต่ยังมิทันเสร็จพิธี
นักปราญช์เหวินสิงโจวก็คาดมิถึงเช่นกัน
บัดนี้ในวัดไท่เมี่ยว เหวินสิงโจว จัวเปี๋ยหลี รวมถึงขุนนางคนอื่น ๆ กำลังนั่งล้อมรอบเตาผิงเพื่อดื่มชาพลางสนทนา
บทสนทนาส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องที่ว่าอู๋เทียนซื่อนั้นโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ต้าเซี่ยจะไร้ซึ่งองค์จักรพรรดิมิได้ พวกเขาต่างก็คิดว่าควรเชิญอู๋เทียนซื่อขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิอีกครา หลังจากที่เสร็จพิธีสักการระวัดไท่เมี้ยวและกลับไปยังเมืองฉางอันแล้วเป็นต้น
เพราะถึงเยี่ยงไรเขาก็สั่งสอนอู๋เทียนซื่อมาเองกับมือ เมื่อข่าวอู๋เทียนซื่อถูกปลดออกจากบัลลังก์แพร่มาถึงเมืองกวนหยุนในตอนนั้น ท่านนักปราชญ์เหวินสิงโจวก็ปิดประตูใคร่ครวญเรื่องนี้อยู่เจ็ดวันเต็ม
เพราะอู๋เทียนซื่อเป็นโอรสของฟู่เสี่ยวกวน
เพราะอู๋เทียนซื่อถูกฟู่เสี่ยวกวนมอบหมายให้เขาสั่งสอนมาเองกับมือ
ในฐานะราชครูขององค์รัชทายาท เขาย่อมหวังสั่งสอนให้องค์รัชทายาทดำรงอยู่ในทศพิศราชธรรมดั่งฟู่เสี่ยวกวน ดังนั้นเขาจึงทุ่มเทอย่างสุดกำลัง แต่มิคาดคิดเลยว่าหลังจากที่อู๋เทียนซื่อขึ้นครองบัลลังก์แล้ว เขาได้เป็นปรปักษ์กับกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ฟู่เสี่ยวกวนร่างขึ้นมา
ภายในเจ็ดวันนั้น เขาใช้ชีวิตอยู่ในความขัดแย้ง เขามิทราบว่าอำนาจแห่งองค์จักรพรรดิหรือกฎหมายรัฐธรรมนูญอันใดยิ่งใหญ่กว่ากัน
ตลอดพันปีที่ผ่านมามิว่าจะเป็นแคว้นหรือราชวงศ์ใด องค์จักรพรรดิอยู่เหนือทุกสิ่ง ทว่าบัดนี้กฎหมายรัฐธรรมนูญได้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว ทั้งยังระบุเอาไว้อย่างชัดเจนอีกว่า…หากว่าจักรพรรดิประพฤติในสิ่งที่มิสมควรอันเป็นเหตุให้เกิดความมิสงบสุขแก่การปกครองและราษฎร ทั้งสามสำนักสามารถดำเนินการถอดถอนได้ หลังจากที่ผ่านการลงประชามติของคณะรัฐมนตรี ทั้งสามสำนักจะรับหน้าที่ดูแลอำนาจจักรพรรดิต่อไป
เขาลองอ่านกฎหมายรัฐธรรมนูญโดยละเอียดอีกครา ผนวกกับความคิดเหล่านั้นที่ฟู่เสี่ยวกวนเคยกล่าวเอาไว้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจในความทุ่มเทของฟู่เสี่ยวกวน
ประเทศจะมิมีจักรพรรดิก็ย่อมได้ แต่จะมิมีราษฎรมิได้ !
แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็เคยเอ่ยว่ามนุษย์มิใช่เทพเจ้า ดังนั้นย่อมทำผิดพลาดได้เช่นกัน หากผิดก็เพียงแก้ไข หากมิผิดก็พยายามต่อไป ทุกวันนี้หลังจากที่คิดทบทวนตนเองมาแล้วครึ่งปี อู๋เทียนซื่อได้แก้ไขในสิ่งที่พลั้งพลาดแล้ว วันนี้ในงานพิธีสักการะวัดไท่เมี่ยว อู๋เทียนซื่อก็ดูหนักแน่นเป็นอย่างยิ่ง
เขาเป็นเหมือนหินที่เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ทุกวันนี้เหมือนว่าจะถูกขัดเกลาจนเงาวับ ดังนั้นเขาย่อมทราบว่าประเทศมีราษฎรเป็นพื้นฐาน เมื่อเขาขึ้นครองบัลลังก์อีกครา เขาจะต้องเป็นองค์จักรพรรดิที่อ้อนน้อมถ่อมตนและต้องเป็นจักรพรรดิที่ทำเพื่อราษฎรเหมือนเสด็จพ่อของเขาเป็นแน่
ในขณะที่เหวินสิงโจวกำลังโน้มน้าวจัวเปี๋ยหลีและคนอื่น ๆ อยู่นั่นเอง อู๋เทียนซื่อก็ได้ยืนอยู่หน้าประตูของหอเทียนจีเรียบร้อยแล้ว
“ฝ่าบาท…”
หลิวจิ่นเคยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายของฟู่เสี่ยวกวน เขาทราบดีว่ามีความลับซ่อนเร้นอยู่ในหอเทียนจีชั้นที่สิบแปด บัดนี้อู๋เทียนซื่อถือตราประทับหยกเข้ามา และเขาก็คาดเดาเจตนารมย์ของอู๋เทียนซื่อได้ถูกต้อง
เขากลืนน้ำลายลงคอด้วยความร้อนรุ่มกลุ้มใจ จากนั้นก็โน้มกายลงแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “สถานที่แห่งนี้… ฝ่าบาทมิอาจพาตนเองเข้าไปตกอยู่ในอันตรายได้พ่ะย่ะค่ะ ! ”
อู๋เทียนซื่อนำมือทั้งสองข้างไพล่หลังเอาไว้ ท่ามกลางพายุหิมะที่กำลังโถมกระหน่ำ
เขายืนตัวตรง
แล้วเพ่งมองไปยังอาคารโบราณแห่งนั้น
มุมปากของเขาเผยอขึ้น สายตาค่อย ๆ หรี่ลงเล็กน้อย “ข้ามิใช่ฝ่าบาทอันใดนั่นหรอก”
“ข้าถูกปลดนานแล้ว”
“ข้าเป็นจักรพรรดิพระองค์แรกที่ถูกปลดในประวัติศาตร์ต้าเซี่ย ไม่สิ…ข้าเป็นจักรพรรดิพระองค์แรกที่ถูกปลดในประวัติศาสตร์พันปีต่างหาก ! ”
“เสด็จพ่อออกเดินทางพิชิตแดนไกลสามปีแล้ว ทว่าบัดนี้ไร้ซึ่งวี่แววข่าวสารจากเสด็จแม่และพี่น้องของข้าตลอดทั้งสามปี”
“หลิวจิ่นเอ๋ย เจ้าเคยติดตามเสด็จพ่อออกเดินทางทางเรือ เจ้าคงทราบว่ามหาสมุทรอันตรายมากเพียงใด”
“สามปีแล้วยังมิกลับมา… ใต้หล้ามันกว้างใหญ่ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ? ”
“ถ้าหากว่าเสด็จพ่อเกิดอุบัติเหตุในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่แห่งนั้นขึ้นมา แล้วผืนปฐพีต้าเซี่ยจะตกไปอยู่ในมือของผู้ใด ? ”
“ข้าเป็นโอรสคนโตของเสด็จพ่อ ! ”
“มีสายเลือดของตระกูลอู๋ไหลเวียนอยู่ในตัวข้า ! ”
“ถ้าหากว่าข้ามิคว้าผืนปฐพีของตระกูลอู๋มาครอง แล้วข้าจะมีหน้าไปสักการะบรรพบุรุษที่วัดไท่เมี่ยวได้เยี่ยงไร ? ”
“ข้ามิทราบว่ามีอันใดอยู่ข้างในนั่นกันแน่”
“แต่ในเมื่อบัดนี้ข้าตกต่ำถึงเพียงนี้แล้ว ยังมีอันใดให้อาลัยอาวรณ์อีก ? ยังมีอันใดให้ต้องหวั่นเกรงอีกกัน ? ”
“ไปเถิด พวกเราเข้าไปข้างในกันเถิด ไปดูว่าหอเทียนจีชั้นที่สิบแปด ซึ่งแม้แต่เสด็จพ่อยังล้มเลิกที่จะเข้าไปว่าเป็นนรกหรือสวรรค์กันแน่ ! ”
หลิวจิ่นฟังอย่างตั้งใจ หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงโน้มกายลงแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาทยังคงเป็นฝ่าบาทในใจของกระหม่อม หากว่าฝ่าบาทอยากจะเข้าไปจริง ๆ เช่นนั้นกระหม่อมก็จะติดตามฝ่าบาทเข้าไปด้วย”
อู๋เทียนซื่อก้าวเท้าไปเบื้องหน้าสองก้าว เขายืนอยู่หน้าประตูโบราณบานนั้นแล้วยื่นมือออกไป จากนั้นก็ผลักประตูที่ถูกปิดมานานท่ามกลางหิมะที่โถมกระหน่ำ
หลิวจิ่นเดินตามหลังไปติด ๆ ทั้งสองก้าวเท้าเข้าไป เดินลงไปทีละชั้นโดยมิมีทีท่าว่าจะหยุดพัก
ในที่สุดพวกเขาก็เดินมาถึงชั้นสุดท้าย
ห้องโถงกว้างขวางเป็นอย่างมาก ด้านหนึ่งมีตู้สีดำทะมึน ประตูของตู้นั้นปิดอยู่ มิทราบเช่นกันว่าข้างในนั้นมีอันใด สิ่งที่สะดุดตาในห้องโถงนี้คือแท่นหินที่สูงราวครึ่งตัวคน
อู๋เทียนซื่อยืนอยู่เบื้องหน้าแท่นหิน เขาทั้งประหม่าและทั้งตื่นเต้น
เขามองเห็นรอยยุบบริเวณกลางแท่นหิน เขาทราบว่าเพียงแค่นำตราประทับหยกวางลงไปตรงนั้น ประตูบานสุดท้ายก็จะเปิดออกทันใด
เขาเงยหน้าขึ้นมองประตูบานนั้นที่มิทราบว่าทำมาจากอันใด สายตาพลันเหลือบไปเห็นตัวหนังสือเรียงรายหนึ่งแถว
ความสงสัยอาจทำให้แมวตายได้ !
เขามิเข้าใจประโยคนี้ บัดนี้สิ่งที่เขามองหาเพียงสิ่งเดียวก็คือสิ่งเร้นลับที่แอบซ่อนอยู่หลังประตูบานนั้น ซึ่งเล่าขานสืบต่อกันมา มิว่าจะเป็นวรยุทธที่โดดเด่นมิเหมือนผู้ใด หรืออาวุธลับที่สามารถสังหารทหารได้นับหมื่น หรืออาจจะเป็นโลกอีกใบซึ่งอยู่ข้างหลังประตูบานนี้ และในโลกอีกฝั่งนั้นมีกองทหารไร้เทียมทานกำลังรอตราประทับของตนไปบัญชาการเป็นต้น
เขาสูดลมหายใจลึก แล้วข่มความตื่นเต้นในใจลงไป พลางเฝ้ารอให้ปาฏิหาริย์บังเกิดขึ้น
จากนั้นก็นำตราประทับหยกออกมา แล้ววางลงไปตรงรอยยุบอย่างระมัดระวัง
……
ณ วัดไท่เมี่ยว
คำสักการะถูกอ่านออกมาแล้ว ต่อจากนี้เป็นขั้นตอนที่อู๋เทียนซื่อต้องสักการะอย่างเป็นทางการ
ทว่าอู๋เทียนซื่ออยู่ใดกันเล่า ?
หนังตาของจี้หยุนกุยกระตุกอย่างแรง “ตราประทับหยกอยู่ที่ใด ? ”
“อยู่ในห้องทรงพระอักษร”
จี้หยุนกุยรีบร้อนออกไปท่ามกลางหิมะที่โถมกระหน่ำ จัวเปี๋ยหลีรีบตามออกไปติด ๆ
ทั้งสองไปยังสถานที่ที่คราหนึ่งเคยเป็นห้องทรงพระอักษร ทว่ามิมีวี่แววของตราหยกประทับหยกอยู่เลย
“แย่แล้ว ! หอเทียนจี ! ”
ทั้งสองรีบทะยานไปยังกวนหยุนถาย พวกเขารุดหน้าเข้าไปในหอเทียนจี อยู่ ๆ ก็มีเสียงสนั่นลั่นปานภูเขาสั่นไหวดังขึ้นมา
อู๋เทียนซื่อได้นำตราประทับหยกใส่เข้าไปในรอยยุบนั่นแล้ว
หลังจากนั้น…
เขาเห็นเส้นหลายเส้นพุ่งออกมาทั่วสารทิศ โดยมีรอยยุบนั้นเป็นศูนย์กลาง
เส้นเหล่านั้นเป็นเส้นสีทอง ซึ่งไหลออกมาอย่างรวดเร็วราวกับเป็นของเหลว
มันไหลรวมกันอยู่บนประตูบานนั้น
ประตูบานนั้นที่มิทราบว่าอยู่มานานเพียงใดแล้ว ค่อย ๆ ปรากฏลายภาพสีทองที่ซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจ หลังจากนั้นก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นมาจากส่วนที่ลึกเข้าไป ทันใดนั้นประตูบานใหญ่ก็ค่อย ๆ เปิดออก...
มันเผยให้เห็นฉากหลังประตูทีละนิด ๆ