นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1370 กังวลใจ
ตอนที่ 1370 กังวลใจ
เมื่อหิมะในเมืองฉางอันหลอมละลาย ฤดูใบไม้ผลิเข้ามาแทนที่
ฉินรั่วเสวียเก็บสัมภาระของตน จากนั้นก็เดินไปนั่งในศาลากลางสวนดอกไม้หลังเรือน พลางทอดสายตามองอาทิตย์อัสดง เสียงกระดิ่งดังเข้ามาในหู ใบหน้าของนางเผยยิ้มออกมาทันใด
และเพียงครู่เดียวหลังจากนั้น รอยยิ้มนั้นก็ค่อย ๆ เลือนหายไปอีกครา กลายเป็นเสียงถอนหายใจ…
วันพรุ่งนี้ นางต้องเดินทางจากเมืองฉางอันไปยังเมืองหลินเจียงแล้ว
นางจะขึ้นฝั่งตรงท่าเรือเขตเหยา จากนั้นค่อยเดินทางจากเขตเหยาไปยังซีซาน ฉินปิ่งจง ท่านปู่ของนางยังคงอาศัยอยู่ที่ซีซาน และยังคงดูแลสำนักศึกษาซีซานอยู่ดังเดิม
เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว เวลาก็ได้ล่วงเลยมาสามปีแล้ว สุขภาพร่างกายของท่านปู่ก็ย่ำแย่ลงในทุกวัน แม้ว่าเยี่ยนซีเหวินสามีของนางจะเชิญหมอที่ดีที่สุดในซีซานมารักษาท่านปู่โดยเฉพาะ ทว่าเมื่อปีกลายหมอกล่าวว่า…ท่านปู่มิได้ป่วย แต่เพราะเขาเป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้วเต็มที
เมื่อปีนั้นตอนที่ท่านปู่สอนอยู่ในสำนักศึกษาหลินเจียง เขาอายุได้ 60 ปี ตอนนั้นฟู่เสี่ยวกวนยังเป็นเพียงบุตรชายเศรษฐีที่ดินผู้เสเพลในเมืองหลินเจียง
ด้วยเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ปีนี้ท่านปู่มีอายุได้ 70 ปีแล้ว ซึ่งถือว่าอายุยืนพอสมควร ในช่วงสิบปีมานี้ ฟู่เสี่ยวกวนเปลี่ยนจากเศรษฐีที่ดินแห่งเมืองหลินเจียงสู่จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย และบัดนี้เขาสละบัลลังก์ให้อู๋เทียนซื่อโอรสพระองค์โตแล้ว บัดนี้เขานำกองทัพเรือของต้าเซี่ยออกไปยังมหาสมุทรอันไกลโพ้น
ส่วนตนนั้น…
นางครุ่นคิดว่าตอนที่นางอยู่ในสำนักศึกษาหลินเจียง นางเพิ่งจะมีอายุได้ 13 ปีเท่านั้น ทว่าบัดนี้นางมีอายุ 30 ปีแล้วพร้อมด้วยบุตรสองคน
ตอนนั้นนางเจอฟู่เสี่ยวกวนที่สำนักศึกษาหลินเจียง เหมือนว่าเจ้าหมอนั่นจะมาไหว้วานขอให้ท่านปู่ลงนามบนขวดสุราของเขา
จริงสิ ! หนังสือเรื่องความฝันในหอแดงเล่มนั้น มีลายมือชื่อของเขาปรากฏอยู่ด้วย หนังสือเล่มนั้นสนุกเป็นอย่างมาก แต่ว่าลายมือชื่อของเขาช่างขี้ริ้วขี้เหร่เสียเหลือเกิน ขี้เหร่ถึงขั้นที่ว่าอยากจะเอาไปอวดที่สำนักศึกษาสักหน่อย…แต่เป็นเพราะลายมือชื่อของเขาทำให้ต้องล้มเลิกความคิดนี้ไปเสีย
หนังสือเล่มนั้น… หนังสือเล่มนั้นอยู่ที่ใดกันนะ ?
เหมือนว่าจะอยู่ในจวนตระกูลฉินแห่งเมืองจินหลิง เกรงว่าทุกวันนี้คงจะมีฝุ่นเกรอะเสียแล้ว ครานี้นางจะพาท่านปู่ไปอยู่ที่เมืองจินหลิง ถึงตอนนั้นค่อยไปหามาเปิดดู
ท่านปู่ของซีเหวินอายุรุ่นราวคราวเดียวกับปู่ของตน ในฐานะหลานสะใภ้ของตระกูลเยี่ยน นางจะต้องดูแลเยี่ยนเป่ยซีให้ดีเช่นกัน แน่นอนว่าตระกูลเยี่ยนมีบ่าวรับใช้มากมาย นางมิจำเป็นต้องลงมือทำอันใดด้วยตนเอง ทว่าการปรนนิบัติดูแลคนเฒ่าคนแก่ ถือเป็นความกตัญญูที่คนรุ่นหลังพึงปฏิบัติ
ส่วนศูนย์วิจัยซีซาน เมื่อกลับไปถึงซีซานแล้ว นางตั้งใจจะไปเยี่ยมเยียนเช่นเดียวกัน
หลังจากคลอดบุตร นางได้พักรักษาตัวอยู่ที่เมืองฉางอัน และได้ส่งศูนย์วิจัยซีซานให้ผู้อื่นดูแล ซึ่งทุกคนล้วนเป็นบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในต้าเซี่ย พวกเขามีความสนใจใคร่รู้และกระตือรือร้นที่จะเข้ามาอยู่ในศูนย์วิจัยซีซานเหมือนกับตน
และในจำนวนนั้นมีบัณฑิตที่ท่านปู่ของนางสั่งสอนมาเองกับมือ
พวกเขาเหล่านั้นเป็นความภาคภูมิใจของท่านปู่ และเป็นอนาคตของต้าเซี่ย
การทุ่มเทปฏิวัติด้านการศึกษาของฟู่เสี่ยวกวนได้สัมฤทธิ์ผลออกมาอย่างสวยงาม มหาวิทยาลัยเหล่านี้ได้บ่มเพาะบัณฑิตออกมาตามสาขาอาชีพต่าง ๆ แม้ว่าบัดนี้พวกเขาจะยังมิได้สร้างผลงานอันเป็นประจักษ์มากนัก ทว่าในอนาคตพวกเขาจะต้องสร้างผลงานมากมายอย่างแน่นอน
ทุกวันนี้ด้านวิชาการของต้าเซี่ยเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ บัณฑิตในใต้หล้ามิได้มีเป้าหมายแค่การเข้าสู่สนามขุนนางเพียงอย่างเดียว ในทางตรงกันข้าม ความฝันของบัณฑิตเหล่านั้นคือการเข้าไปอยู่ในสาขาอาชีพต่าง ๆ
ยกตัวอย่างเช่น ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์
ด้านศิลปะ
ด้านการแพทย์
ด้านการเกษตรและการปศุสัตว์เป็นต้น
นี่ถือว่าการศึกษาเบ่งบานเต็มที่แล้ว
เป็นดั่งที่สามีได้เอ่ยเอาไว้ว่า…ฟู่เสี่ยวกวนได้สลัดกรงที่ครอบอยู่เหนือศีรษะของพวกเขาทิ้งแล้ว ให้ทุกคนในใต้หล้าได้เลือกแนวทางของตนอย่างอิสระ และให้ทุกคนได้มีพื้นที่ในการทำความฝันของตนเองให้เป็นจริง
เช่นนี้อนาคตของต้าเซี่ยย่อมงดงามและแข็งแกร่งกว่าเดิมอย่างแน่นอน
ดังนั้นนี่จะเป็นยุคสมัยที่ดีที่สุด ท่านปู่ได้มีโอกาสเห็นการเริ่มต้นของยุคสมัยนี้ด้วยตาของท่านเอง ทว่าน่าเสียดายที่ท่านปู่มิมีโอกาสได้เห็นผืนปฐพีอันกว้างใหญ่ไพศาลของต้าเซี่ย ในขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่นั่นเอง สามีของนางก็เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ
ฉินรั่วเสวียผงะอยู่ครู่หนึ่ง เพราะบัดนี้ยังมิถึงเวลาเลิกงานของราชสำนัก เหตุใดสามีที่เลิกงานช้ามาโดยตลอด ถึงรีบกลับมาก่อนได้เล่า ?
เยี่ยนซีเหวินเดินเข้ามาในสวน เมื่อนางเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเยี่ยนซีเหวิน จึงรีบลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงว่า “เกิดเหตุอันใดขึ้นกัน ? ”
“เฮ้อ…”
เยี่ยนซีเหวินถอนหายใจยาวออกมา ก่อนจะตอบว่า “เกิดเรื่องขึ้นกับเทียนซื่อแล้ว ! ”
“เกิดเรื่องใดขึ้นกัน ? ” ฉินรั่วเสวียตื่นตกใจขึ้นมาทันใด
“พิธีสักการะวัดไท่เมี่ยว จัวเปี๋ยหลีได้นำเอาตราประทับหยกไปจากข้ามิใช่หรือ ? ช่วยข้าเก็บสัมภาระก่อนเถิด ข้าจะรีบไปเมืองกวนหยุน”
“…อืม ! ”
คู่สามีภรรยาเดินเข้าไปที่เรือนหลัก ฉินรั่วเสวียทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “เขาสักการะวัดไท่เมี่ยวแทนองค์จักรพรรดิ คำสักการะจำต้องมีตราประทับหยกที่สืบทอดต่อกันมา แล้วเช่นนี้จะเกิดเรื่องกับอู๋เทียนซื่อได้เยี่ยงไร ? ”
“เจ้ามิทราบหรอกว่าตราประทับหยกนั้นเป็นกุญแจสำหรับเปิดหอเทียนจีชั้นที่สิบแปด ! ”
“อ่า…”
ฉินรั่วเสวียผงะตกใจจนอ้าปากค้าง นางเคยได้ยินเยี่ยนซีเหวินเอ่ยถึงหอเทียนจีชั้นที่สิบแปด เพราะฟู่เสี่ยวกวนเคยคิดจะเข้าไปพิสูจน์
“เขาเปิดหอเทียนจีชั้นที่สิบแปดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“อืม” เยี่ยนซีเหวินพยักหน้ารับ “เขาเปิดประตูหอเทียนจีชั้นที่สิบแปด จัวเปี๋ยหลีและจี้หยุนกุยช้าเพียงแค่ก้าวเดียว ตอนที่พวกเขาไปถึง…”
“อู๋เทียนซื่อได้ก้าวเข้าไปในประตูบานนั้นแล้ว ! ”
ฉินรั่วเสวียตื่นตกใจขึ้นมาอีกครา แม้ว่าบัดนี้เขาจะมิได้เป็นองค์จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยแล้ว ทว่าถึงเยี่ยงไรเขาก็เป็นบุตรชายของฟู่เสี่ยวกวน ทั้งยังเป็นบุตรชายคนโตอีกด้วย
การที่สามีถอดถอนอู๋เทียนซื่อออกจากตำแหน่ง ท้ายที่สุดอู๋เทียนซื่อก็ยังถูกขังอยู่ในพระราชวัง แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องใหญ่เทียมฟ้า แต่อู๋เทียนซื่อก็ยังคงปลอดภัย เพียงรอให้ฟู่เสี่ยวกวนกลับมาอธิบายให้เขาได้ฟัง คาดว่าฟู่เสี่ยวกวนคงจะมองด้วยใจที่เปิดกว้างและเขาย่อมมิกล่าวโทษสามีอย่างแน่นอน
ทว่าบัดนี้อู๋เทียนซื่อได้เข้าไปในหอเทียนจีชั้นที่สิบแปดแล้ว…
“พวกเขามิได้ตามเข้าไปหรือ ? ”
ด้วยความสามารถของจัวเปี๋ยหลีและจี้หยุนกุย ฉินรั่วเสวียมองว่าการไล่ตามอู๋เทียนซื่อเข้าไป มิใช่เรื่องยากแต่อย่างใด
เยี่ยนซีเหวินหัวเราะออกมาอย่างขมขื่นพลางส่ายศีรษะ “อู๋เทียนซื่อนำเอาตราประทับหยกติดไปด้วย ประตูบานนั้นปิดลงทันใดหลังจากที่เขาและหลิวจิ่นก้าวเข้าไป”
“มันเปิดมิได้เลยหรือ ? ข้าหมายความว่าถ้าหากว่าพวกเราระเบิดประตูบานนั้นเสีย”
เยี่ยนซีเหวินส่ายศีรษะไปมา “พวกเขาเคยลองแล้ว มิทราบว่าประตูและกำแพงบานนั้นทำมาจากอันใด มันแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าเหล็กกล้า ทำเยี่ยงไรก็มิอาจเปิดออกได้”
“…เช่นนั้นเจ้าจะไปทำอันใดกัน ? ”
เยี่ยนซีเหวินสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองท้องนภา แล้วตอบว่า “ถึงเยี่ยงไรเรื่องนี้ก็มีต้นเหตุมาจากข้า มิว่าเยี่ยงไรข้าก็ต้องไปดู อีกอย่าง…อีกอย่างต้องกลับไปจัดการเรื่องงานศพของท่านนักปราชญ์เหวินสิงโจว”
ฉินรั่วเสวียผงะตกใจอีกครา “ท่านนักปราชญ์เหวินสิงโจวสิ้นแล้วหรือ ? ”
“อืม…เดิมทีท่านก็เป็นดั่งแสงเทียนท่ามกลายสายฝนอยู่แล้ว1 อีกประการหนึ่งเดิมทีท่านนักปราชญ์หวังว่าอู๋เทียนซื่อจะขึ้นครองบัลลังก์เป็นองค์จักรพรรดิเหมือนเสด็จพ่อของเขา มิมีผู้ใดคาดคิดว่าอู๋เทียนซื่อจะก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา เมื่อท่านอาจารย์โมโห หมอหลวงก็มิอาจลากตัวเขากลับมาจากประตูผีได้”
ฉินรั่วเสวียก้มหน้าลง นางรู้สึกมิสบายใจอย่างแท้จริง ครู่หนึ่งหลังจากนั้น นางเงยหน้าขึ้นมาอีกครา แล้วเอ่ยถามอย่างเป็นกังวลว่า
“ถ้าหากพวกเราหาอู๋เทียนซื่อมิพบ พวกเราจะกล้าสู้หน้าจักรพรรดิพระเจ้าหลวงได้เยี่ยงไร”
“ข้าเองก็มิทราบเช่นกัน เรื่องนี้อย่าได้ประกาศให้ผู้ใดทราบเป็นอันขาด เจ้าอย่าเพิ่งไปบอกผู้ใดเล่า ข้ากับหยุนซีเหยียนจะเดินทางไปยังเมืองกวนหยุน โดยนำเอาเรื่องการตรวจสอบบัญชีบังหน้า ทว่าแท้ที่จริง…แท้ที่จริงพวกเราไปจัดการเรื่องงานศพของท่านเหวินสิงโจว จากนั้นค่อยไปหารือเรื่องนี้กับจี้หยุนกุยว่าจะเข้าไปหลังประตูบานนั้นได้เยี่ยงไร”
ฉินรั่วเสวียพยักหน้ารับ จากนั้นก็เดินเข้าไปในเรือนหลัก เพื่อเก็บข้าวของให้แก่เยี่ยนซีเหวิน
“แล้ววันพรุ่งข้ายังต้องไปยังหลินเจียงอยู่หรือไม่ ? ”
“ไปเถิด เรื่องนี้เจ้าอย่าได้เป็นกังวลมากจนเกินไป บัดนี้เวลาได้ล่วงเลยไปสามปีแล้ว ข้าคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนใกล้จะกลับมาเต็มทีแล้วเช่นกัน หากเขากลับมาแล้ว ข้ายังหาอู๋เทียนซื่อมิพบ”
เยี่ยนซีเหวินหยุดชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยออกมาเสียงแผ่วว่า “ต่อให้เขาจะโทษโกรธเคืองข้า แต่คาดว่าเขาคงมิโกรธเคืองพวกเจ้าด้วย ดังนั้นเจ้าจงพาลูก ๆ กลับไปยังเมืองจินหลิงแล้วใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเสียเถิด”
1แสงเทียนท่ามกลายสายฝน หมายถึง คนที่ชราเต็มทีแล้ว