นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1371 กลับประเทศ
ตอนที่ 1371 กลับประเทศ
เมืองกวนหยุนมีหิมะปกคลุมขาวโพลน
แต่เมื่ออู๋เทียนซื่อข้ามประตูบานนั้นเข้าไป เขาก็ต้องเผชิญกับความตื่นตกใจ…
เมื่อเขาก้าวเข้ามา เดิมทีมันควรจะเป็นหิมะสีขาวโพลนดังเดิม ทว่าสิ่งที่ปรากฏสู่สายตาของเขาในตอนนี้กลับเป็นทุ่งหญ้าสีเขียวขจีที่ทอดไกลสุดลูกหูลูกตา !
หลิวจิ่นก็ตกตะลึงอย่างถึงที่สุดเช่นกัน เขามองทุกอย่างด้วยสายตายากที่จะเชื่อ ผ่านไปชั่วครู่เขาจึงหันกลับไปมองอีกครา ประตูบานนั้นยังคงอยู่ แต่มันปิดสนิทพักใหญ่แล้ว
ประตูบานเดียวกัน แต่กลับกั้นท้องนภาสองผืนเอาไว้ นี่มันคือเรื่องอันใดกัน ?
สิ่งใดที่มิเคยทราบมาก่อน มันยิ่งน่ากลัว ดังนั้นหลิวจิ่นจึงกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่แล้วโค้งกายลงคารวะอู๋เทียนซื่อ จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ฝ่าบาท…นี่มันประหลาดเกิดไปแล้ว หรือว่า…หรือว่าพวกเราจะกลับกันดีพ่ะย่ะค่ะ ? ”
อู๋เทียนซื่อก็หันหน้ากลับไปมองเช่นเดียวกัน จากนั้นก็ทอดสายตามองทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล พร้อมกับกำหมัดแน่น “มิมีทางให้ถอยแล้วล่ะ คงต้องเดินหน้าสถานเดียว หรือบางที…ข้าอาจจะมีโอกาสที่นี่ก็เป็นได้”
“…แต่ว่า” หลิวจิ่นรู้สึกกังวลมากยิ่งนัก ดังนั้นเขาจึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอีกครา “ทว่าฝ่าบาท พวกเรามีกันอยู่แค่สองคน ทั้งยังไร้ซึ่งเสบียงใด ๆ สถานที่แห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก มิทราบว่าจะมีภัยอันตรายใดอยู่เบื้องหน้าบ้าง ถ้ารุ่มร่ามเข้าไป…กระหม่อมกังวลเหลือเกินว่าจะเกิดเรื่องมิคาดฝันขึ้นมา หรือต่อให้ไร้ซึ่งเรื่องมิคาดฝัน แต่เรื่องการกินและที่อยู่อาศัยเล่าจะทำเยี่ยงไรพ่ะย่ะค่ะ ? ”
“ดังนั้น…ดังนั้นบ่าวจึงใคร่ขอให้ฝ่าบาทรออยู่ที่นี่ คาดว่าท่านใต้เท้าจัวคงจะคิดหาวิธีมารับฝ่าบาทที่นี่อยู่เป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”
อู๋เทียนซื่อนิ่งเงียบไปชั่วครู่
แม้ว่าเขาจะยังรู้สึกหวั่นกลัวอยู่ก็ตาม เพราะการเปลี่ยนแปลงนี้มันเกินกว่าความเข้าใจของเขา ดังนั้นเขาจึงมิได้กล่าวโทษหลิวจิ่นแต่อย่างใด ทว่าเขาเริ่มขบคิดถึงปัญหานี้อย่างจริงจังแล้วเช่นกัน
และแล้วกระต่ายตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาเบื้องหน้า ซึ่งอยู่ห่างจากเขาราว 3 จั้ง
ดูเหมือนว่ากระต่ายตัวนี้จะมิเคยเห็นมนุษย์มาก่อน ดังนั้นมันจึงยกขาหน้าขึ้นแล้วยืนตัวตรง มันกำลังมองดูพวกอู๋เทียนซื่อด้วยสายตาสงสัย
อู๋เทียนซื่อตาลุกวาวขึ้นมาทันใด “เจ้าดูนั่นสิ แค่นี้ปัญหาเรื่องการกินก็หมดไปแล้วมิใช่หรือ ? ”
ราวกับว่ากระต่ายน้อยรับรู้ได้ถึงภัยคุกคามที่กำลังคืบคลานเข้ามา ดังนั้นมันจึงมุดเข้าไปในพุ่มไม้ จากนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
“ที่นี่มีอากาศอบอุ่น มิแน่พวกเราอาจจะพบม้าป่าก็เป็นได้”
สายตาของอู๋เทียนซื่อเต็มไปด้วยความหวัง เพราะที่นี่คือความหวังเดียวที่เขาจะได้กลับไปเป็นองค์จักรพรรดิอีกครา
“ไปเถิด หากต้องจองจำอยู่ในวังหลวงที่เมืองฉางอัน สู้ไปตายเอาดาบหน้าเสียยังดีกว่า”
“ถ้าหากว่าได้พบกับวรยุทธ์ที่ไร้เทียมทาน หรือว่า…หรือว่ากองทัพแห่งเทพเจ้าที่หลบซ่อนอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ข้า…จะหวนกลับต้าเซี่ยอีกครา ! ”
“ข้าจะเปลี่ยนกฎเกณฑ์ในราชสำนักต้าเซี่ย และสังหารพวกเล่ห์เหลี่ยมประจบสอพลอในท้องพระโรงเหล่านั้นเสียให้หมด ! ”
เขาสาวเท้าต่อไปอย่างเด็ดเดี่ยว โดยมิหันหลังกลับไปมองอีก
……
……
กองทัพเรือร่วมได้แล่นเข้าเทียบท่าเรือเจียงเฉิงอย่างเอิกเกริก
ฟู่เสี่ยวกวนนำมือไพล่หลังแล้วยืนอยู่บนเรือฉางอัน
เขาทอดสายตามองท่าเรือเจียงเฉิงที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความปรีดา
ความปรีดานี้เกิดจากการที่เขาได้กลับมาเยือนผืนปฐพีอันคุ้นตาอีกครา และเกิดจากความเจริญเบื้องหน้าด้วยเช่นกัน
เวลาล่วงเลยไปแล้วสามปี มิว่าจะเป็นแผ่นดินใหญ่ลีอาห์ หยวนตงเต้าหรือท่าเรือเจียงเฉิง เขาก็ล้วนแต่ได้เห็นภาพของความเจริญรุ่งเรืองทั้งสิ้น นี่ก็เพียงพอที่จะอธิบายได้แล้วว่านโยบายของต้าเซี่ยยังคงมิเปลี่ยนแปลง และก็พอจะเข้าใจได้ว่าอู๋เทียนซื่อได้จดจำในสิ่งที่ตนกำชับเอาไว้ในใจ
เขาน่าจะใช้งานขุนนางเหล่านั้นที่ตนเตรียมเอาไว้ให้ คาดว่าเขาคงให้พื้นที่ขุนนางเหล่านั้นได้พัฒนาความสามารถของตนเองอย่างเพียงพอ
เมื่อเขานึกถึงพวกเยี่ยนซีเหวิน ใบหน้าของเขาก็ผุดรอยยิ้มอบอุ่นออกมา
ตนได้รู้จักกับพวกเยี่ยนซีเหวินที่เมืองจินหลิง เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวเวลาก็ล่วงเลยผ่านลมผ่านฝนมาแล้วสิบปี พวกเขาได้เติบใหญ่ขึ้นมาแล้ว ทั้งยังมีความคิดล้ำยุคล้ำสมัย ซึ่งตนเคยถ่ายทอดเอาไว้ให้พวกเขาอีกด้วย
นี่เป็นเรื่องที่มิง่ายดายนัก
ระบบสามสำนักหกกรมและคณะรัฐมนตรีทำให้อำนาจขององค์จักรพรรดิมิได้สูงเทียมฟ้าอีกต่อไป นี่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่แห่งอารยธรรม หากเดินหน้าต่อไปมิสั่นไหว อารยธรรมของต้าเซี่ยก็จะงดงามยิ่งขึ้นไปอีก
ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังครุ่นคิดอยู่นั่นเอง ราษฎรที่อยู่บนชายฝั่งย่อมเห็นการเข้าเทียบท่าของกองทัพเรือขนาดใหญ่ยักษ์
พวกเขาต่างก็ตื่นตกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะมิทราบว่ากองทัพเรือนี้มาจากที่ใด ทว่าหลังจากนั้นมินานก็มีเสียงแซ่ซ่องดังขึ้นมา
“ธงดาบเทวะ…นั่นเป็นธงของทหารต้าเซี่ย ! ”
“กองทัพที่ยิ่งใหญ่เพียงนี้ ต้องเป็นกองทัพเรือร่วมที่จักรพรรดิพระเจ้าหลวงทรงนำทัพกลับมาเป็นแน่”
“จักรพรรดิพระเจ้าหลวงทรงกลับมาแล้วหรือ ? ”
“พระองค์ต้องคว้าชัยกลับมาแล้วเป็นแน่ ! ”
“รีบไปแจ้งให้ผู้รักษาการณ์เมืองเจียงเฉิงทราบเร็วเข้า ! ”
“……”
บ้างก็ตื่นเต้นจนต้องนำเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาโบกสะบัด บ้างก็กระโดดโลดเต้น หรือกระทั่งบางคนดีใจจนน้ำตาไหลออกมา…
สามปีกว่าแล้ว ในที่สุดจักรพรรดิพระเจ้าหลวงก็กลับมาเสียที !
บุรุษผู้ซึ่งบุกเบิกต้าเซี่ย ทั้งยังเป็นผู้ที่พระราชทานชีวิตอันงดงามให้แก่พวกเขา บุรุษที่เป็นดั่งเทพเจ้า เขาได้กลับมาบ้านเกิดเมืองนอนแล้ว !
ได้ยินมาว่าจักรพรรดิพระเจ้าหลวงทรงนำทัพไปยังดินแดนตะวันตกซึ่งมิเคยมีผู้ใดเคยไปเยือนมาก่อน เพื่อบุกเบิกเส้นทางการค้าให้แก่ต้าเซี่ย ในเมื่อพระองค์เสด็จกลับมาแล้ว แสดงว่าเส้นทางสายนั้นจะต้องไปมาหาสู่กันได้แล้วอย่างแน่นอน เช่นนั้นต่อไปนี้ชาวต้าเซี่ยย่อมสามารถเดินตามรอยพระบาทของพระองค์ เพื่อกอบโกยผลกำไรอันมหาศาลจากดินแดนทางตะวันตกได้แล้วเป็นแน่
และนี่จะนำมาซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นของราษฎรในท่าเรือ และมันจะนำมาซึ่งกำไรอันมหาศาลให้แก่ต้าเซี่ย
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกอบอุ่นหัวใจเป็นอย่างมาก เขาชื่นชอบราษฎรเหล่านี้ ทำให้เขาหวนนึกถึงตอนที่อยู่ซีซานอีกครา ดังนั้นเขาจึงโบกมือให้ราษฎรเหล่านั้น ทุกคนบนท่าเรือต่างก็ส่งเสียงเรียกดังกังวาน เสียงที่คลาคล่ำไปด้วยความยินดีนี้ เป็นเสียงที่เขาวาดหวังเอาในใจพอดี
สมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองซึ่งยืนอยู่ข้างหลังฟู่เสี่ยวกวนราวสองก้าว นางเบนสายตากลับมามองแผ่นหลังของฟู่เสี่ยวกวน ดวงตางามคู่นั้นโค้งเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว และบัดนี้นางได้ตัดสินใจบางอย่างอยู่ในใจ…
เสียงของความยินดีนี้ดังออกมาจากข้างใน นี่เป็นการสนับสนุนที่ราษฎรมอบให้แก่เขา
การสนับสนุนเช่นนี้เป็นสิ่งที่ตนมิเคยได้รับเมื่อคราที่ยังอยู่ฝูหล่างจี ในฐานะสมเด็จพระราชินี ตนมีความห่างเหินต่อราษฎร ทว่าบุรุษผู้นี้ในฐานะองค์จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย เขากลับใกล้ชิดกับราษฎรมากถึงเพียงนี้
นี่คือสิ่งที่เขามิเหมือนผู้ใด
เรือฉางอันจอดเทียบท่าที่เมืองเจียงเฉิง ฟู่เสี่ยวกวนพาสมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองและพวกกวนเสี่ยวซีขึ้นฝั่ง
บนฝั่งมีเจ้าเมืองของเมืองเจียงเฉิงเตรียมการต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว
สีหน้าของเจ้าเมืองผู้นั้นมีทั้งดีใจ และเผยความกังวลออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน...
เพราะเขาได้รับคำสั่งลับมาจากท่านเยี่ยนซีเหวินว่าเมื่อได้ข่าวการกลับมาของพระเจ้าหลวงเมื่อใดให้รีบส่งข่าวกลับโดยด่วน
อีกอย่างคือต้องเชิญจักรพรรดิพระเจ้าหลวงเสด็จกลับเมืองกวนหยุนทันที !
เขามิทราบว่าเกิดอันใดขึ้นที่เมืองกวนหยุน ทว่ามันจะต้องเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน
เรื่องนี้ทำให้เสนาบดีเยี่ยนหวาดหวั่น ถึงกับรอให้จักรพรรดิพระเจ้าหลวงกลับไปจัดการด้วยตัวเองเช่นนี้ สำหรับต้าเซี่ยในปัจจุบัน…เกรงว่าเรื่องนี้คงจะเป็นเรื่องใหญ่เทียมฟ้า
จักรพรรดิพระเจ้าหลวงเพิ่งจะขึ้นฝั่งได้มิทันไร หากเป็นแต่ก่อนคงต้องเชื้อเชิญพระองค์พักผ่อนเสียก่อนแล้วค่อยเดินทางกลับไปยังเมืองฉางอัน ทว่าในรายงานลับของเสนาบดีเยี่ยนกล่าวว่า…เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วน
ดังนั้นเขาจึงเดินเข้าไปแล้วโค้งคารวะฟู่เสี่ยวกวน หลังจากนั้นก็เข้าไปกระซิบบางอย่างข้างหูของฟู่เสี่ยวกวน
รอยยิ้มของฟู่เสี่ยวกวนค่อย ๆ เลือนหายไปทันใด เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันเบาว่า “มิทราบว่าเป็นเรื่องใดกัน ? ”
“เรื่องนี้…ท่านเสนาบดีเยี่ยนมิได้แจ้งเอาไว้ กระหม่อมจึงมิทราบพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงแค่ได้ยินมาว่าท่านราชครูขององค์รัชทายาทได้เดินทางกลับสวรรค์แล้ว ท่านเสนาบดีเยี่ยนจึงเดินทางมาจัดการพิธีศพของท่านเหวินสิงโจวด้วยตนเอง…”
“ฝ่าบาทมิไปด้วยหรือ ? ”
“…ทูลจักรพรรดิพระเจ้าหลวง” เจ้าเมืองผู้นั้นโค้งกายลงคารวะอีกครา แล้วเอ่ยด้วยความลังเลว่า “พระองค์ถูกเสนาบดีเยี่ยนและคณะรัฐมนตรีปลดออกจากพระราชบัลลังก์ตามกฎหมายรัฐธรมนูญ ซึ่งเวลาก็ได้ล่วงเลยมากว่าครึ่งปีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนผงะชั่วครู่ สีหน้าของเขามืดครึ้มขึ้นมาทันใด จนทำให้เจ้าเมืองผู้นั้นตื่นตกใจจนรีบคุกเข่าลงกับพื้น “ทูลจักรพรรดิพระเจ้าหลวง เรื่องรายละเอียดเป็นเยี่ยงไรนั้น กระหม่อมมิอาจทราบได้พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าลุกขึ้นมาเถิด ข้ามิได้กล่าวโทษเจ้า”
เขาหันหลังกลับไปสั่งการกวนเสี่ยวซี “นำทหาร 1,000 นายออกมา พวกเราจะออกเดินทางทันที ! ”
“ไปที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เมืองกวนหยุน ! ”