นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1374 ข่าวลับสะพรึงโลกา
ตอนที่ 1374 ข่าวลับสะพรึงโลกา
ในราตรีนั้นฟู่เสี่ยวกวนและเยี่ยนซีเหวินได้สนทนากันมากมายหลายหัวข้อ
เขาได้อธิบายเกี่ยวกับหนังสือศิลปะการทำนายอย่างละเอียด โดยเนื้อหาของหนังสือเล่มนั้นช่างสะเทือนโลกาอย่างแท้จริง เมื่อพวกเยี่ยนซีเหวินได้ยินสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น พวกเขาต่างก็อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง และแน่นอนว่ามีหลายเรื่องเช่นกันที่มิสามารถอธิบายออกมาได้
ยกตัวอย่างเช่นดาวเทียมที่กำลังสังเกตการณ์โลกใบนี้อยู่
หรือยกตัวอย่างเช่นคอมพิวเตอร์เครื่องยักษ์ที่ฐานนิวเคลียร์แห่งนั้น
หรือยกตัวอย่างเช่นปัญญาประดิษฐ์ที่ชื่อว่าหนี่วา และปัญญาประดิษฐ์ที่ชื่อว่าความฝันที่สองเป็นต้น
เขาได้เอ่ยถึงเส้นทางเดินเรือไปยังทวีปยุโรป และเอ่ยถึงการก่อสร้างอู่ต่อเรือเพื่อแวะพักเติมเสบียง
และเขายังเอ่ยถึงทวีปอิงเทียน สถานที่แห่งนั้นในทุกวันนี้ได้เปลี่ยนโฉมใหม่เรียบร้อยแล้ว มันเป็นสถานที่ที่เขาจะทำความฝันของเขาให้เป็นจริง ซึ่งนั่นก็คือการเป็นเศรษฐีที่ดิน
เหมือนว่าเขาจะวางเรื่องของอู๋เทียนซื่อเอาไว้ข้างหลัง
แต่เยี่ยนซีเหวินทราบดีว่าภายใต้ความนิ่งเฉยของเขา มีความกังวลใจอยู่ลึก ๆ ภายใน
เขามิอาจเข้าใจโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ดูเหมือนสิ่งมหัศจรรย์อันใดนั่นได้ เขาทราบเพียงว่ามันเป็นสถานที่ที่อันตราย และสถานที่แห่งนั้นก็ดูเหมือนว่าจะเป็นจุดกำเนิดของใต้หล้านี้
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยถึงการปนเปื้อนของนิวเคลียร์ เพราะเขามิอยากให้เยี่ยนซีเหวินต้องโทษตนเอง ดังนั้นเขาจึงยิ้มปราศรัย “จากชั้นที่สิบแปดของหอเทียนจีไปยังโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้น หนทางค่อนข้างยาวไกล อู๋เทียนซื่อมิมีม้าแม้แต่ตัวเดียว หากเขาต้องการไปที่นั่นอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลานานถึงสองปี เช่นนั้นยังพอมีเวลาให้พวกเราได้เตรียมการ”
“วันพรุ่งนี้พวกเราจะต้องเดินทางไปยังฉางอัน ข้าจะไปพบฉินเฉิงเย่สักหน่อย”
“จากที่นี่ไปยังขั้วโลกเหนือซึ่งมีระยะทางไกลแสนไกล พวกเราจะต้องเตรียมการให้พร้อม และนอกจากนี้…”
ฟู่เสี่ยวกวนหันหน้ากลับไปมองสมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองแล้วเอ่ยด้วยความรู้สึกผิดว่า “เดิมทีคิดอยากจะพาเจ้าไปเที่ยวชมต้าเซี่ย แต่เพราะเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาเสียก่อน ข้าจึงอยากขอให้เจ้าช่วยบางอย่างสักหน่อย”
สมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองทราบเรื่องราวทั้งหมดผ่านบทสนทนาระหว่างฟู่เสี่ยวกวนและเยี่ยนซีเหวินมาสักพักใหญ่แล้ว เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของบุตรชายคนโตของฟู่เสี่ยวกวน นางย่อมเข้าใจถึงความสำคัญของเรื่องนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นนางจึงพยักหน้ารับ แล้วมองไปทางฟู่เสี่ยวกวน “วันพรุ่งนี้เจ้าจงเดินทางกลับฝูหล่างจี ข้าต้องการเรือรบและเรือเสบียงของเจ้าอย่างละหนึ่งลำ”
“หลังจากที่เดินทางไปถึงฝูหล่างจีแล้ว ข้าจะสั่งให้ทางวาติกันส่งคนนำทางมาให้ ส่วนข้าจะรอท่านอยู่ที่ฝูหล่างจี”
“อืม…เมื่อถึงเวลาข้าจะส่งคนไปด้วยกันกับเจ้า”
จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงหันหน้าไปมองกวนเสี่ยวซี แล้วออกคำสั่งให้เขาเดินทางไปส่งสมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองที่ท่าเรือเจียงเฉิงในวันพรุ่งนี้ ทั้งยังมอบหมายให้จั่วมู่พาสมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองกลับไปยังฝูหล่างจี
แน่นอนว่าจั่วมูจะต้องนำทัพไปหยุดที่ทวีปอิงเทียนเป็นการชั่วคราว เพราะฟู่เสี่ยวกวนมีจดหมายฉบับหนึ่งที่ต้องการส่งถึงชายอ้วน
“ชายอ้วนและท่านแม่ รวมถึงศิษย์พี่ทั้งหลายล้วนอยู่ที่ทวีปอิงเทียน การจะไปขั้วโลกเหนือนั้น คนที่สามารถเข้าไปในโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ได้จะต้องเป็นสุดยอดปรมาจารย์เท่านั้น”
“ทุกวันนี้ศิษย์พี่ใหญ่น่าจะบรรลุระดับปรมาจารย์แล้ว เมื่อผนวกกับหนิงซือเหยียนและเยี่ยนกุยหลายแล้ว การเดินทางไปยังโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ก็คงมิมีอันใดน่าเป็นห่วง”
เยี่ยนซีเหวินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยออกมาว่า “ข้าคิดว่าพากองทัพไปด้วย สักหนึ่งกองน่าจะปลอดภัยกว่า”
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายศีรษะมิเห็นด้วย “ปัญหามิได้อยู่ที่จำนวนคนหรอก เรื่องนี้เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน วันพรุ่งนี้เจ้าจงติดตามข้ากลับไปยังเมืองฉางอัน สิ่งที่สำคัญที่สุดหลังจากนี้คือพวกเจ้าต้องสร้างความสัมพันธ์ทางการค้ากับฝูหล่างจีเอาไว้ให้ดี”
“เรื่องอู๋เทียนซื่อ เจ้าอย่าได้เก็บไปคิดใส่ใจ ข้าจะจัดการกับปัญหานี้เอง ส่วนเจ้า…ภาระบนบ่าของเจ้านั้นหนักหนา ข้าหวังว่าเจ้าจะดูแลรักษาต้าเซี่ยเอาไว้ให้ดี ! ”
ทันใดนั้นเยี่ยนกุยหลายที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดก็ได้เอ่ยออกมาว่า
“ทูลจักรพรรดิพระเจ้าหลวง ก่อนที่ท่านอาจารย์จะสิ้นลม ท่านได้ฝากฝังข้าไว้เรื่องหนึ่ง เดิมทีกระหม่อมรู้สึกเคลือบแคลงต่อคำกล่าวนี้ของท่านอาจารย์ แต่หลังจากที่ได้ฟังพระองค์ตรัสมาทั้งหมดแล้ว… กระหม่อมกลับคิดว่าเรื่องที่ท่านอาจารย์เอ่ยนั้นมีเหตุผลพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนผงะตกใจไปชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยถามขึ้นมาว่า “เป่ยหวังฉวนเยี่ยงนั้นหรือ ? เขากล่าวว่าเยี่ยงไรกัน ? ”
“ท่านได้เอ่ยว่าพระองค์คือคนที่สวรรค์ส่งลงมา เขาสั่งให้ข้าฝังศพของเขาไว้บนภูเขาลั่วเหมย จากนั้นให้ข้าลงมาจากภูเขาลั่วเหมยในทันใด เพื่อมาปกป้องความปลอดภัยให้แก่พระองค์”
เรื่องนี้มิได้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนประหลาดใจแต่อย่างใด เพราะมีช่วงระยะเวลาหนึ่งที่เป่ยหวังฉวนทำหน้าที่ปกป้องความปลอดภัยให้แก่เขาอย่างแท้จริง
“ท่านอาจารย์ยังเอ่ยอีกว่าการมีอยู่ของลัทธิเต๋าก็เพื่อปกป้องความปลอดภัยให้แก่คนที่สวรรค์ส่งลงมา คนที่สวรรค์ส่งลงมานั้นมีทั้งผู้ทำลายและผู้บุกเบิก ทว่าท่านเป็นผู้บุกเบิกอย่างเห็นได้ชัด”
“ในแม่น้ำสายยาวแห่งประวัติศาสตร์ เดิมทีเคยมีคนที่ถูกสงสัยว่าเป็นผู้บุกเบิกปรากฏตัวขึ้นมา ทว่าพวกเขาโรยราลงไปอย่างรวดเร็วราวกับดอกไม้ และพวกเขายังผลักดันให้ใต้หล้าเดินไปข้างหน้าได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น มิมีค่าให้เอ่ยถึง”
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้ยินดังนั้นจึงผงะตกใจอีกครา เรื่องคนที่สวรรค์ส่งลงมาเขาเคยได้ยินท่านแม่เอ่ยมาก่อน ท่านแม่ยังบอกอีกว่าหอเทียนจีและสำนักเต๋ามีความสัมพันธ์ต่อกัน หลังจากนั้นก็มิได้ยินเรื่องนี้จากคนอื่น ๆ ในโลกใบนี้อีกเลย
“มันเป็นเพราะเหตุใดกัน ? ”
“ท่านอาจารย์กล่าวว่าผู้บุกเบิกมีสายตากว้างไกลเกินกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไป พวกเขาจะแตกต่างกับปุถุชนทั่วไปอย่างถึงที่สุด และนี่เป็นการขัดต่อวิถีแห่งสวรรค์ การขัดต่อวิถีแห่งสวรรค์นั้นมีความเป็นไปได้อย่างมากว่าจะถูกลงโทษและมีชีวิตที่มิยืนนาน ท่านอาจารย์กล่าวว่าสิ่งที่เรียกว่าการลงโทษจากสวรรค์นั้นแท้จริงแล้วมันถูกสร้างขึ้นมาโดยมนุษย์ จากร่องรอยในประวัติศาสตร์ ผู้ลงทัณฑ์ดูเหมือนจะมีลักษณะเด่นที่เห็นได้ชัด…ซึ่งก็คือเขาจะมีร่างที่มิมีวันตาย ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น จากนั้นก็มองไปทางเยี่ยนซีเหวิน คนอื่น ๆ ที่เหลือต่างก็มองไปยังเยี่ยนกุยหลาย ทว่ามีเพียงแค่จี้หยุนกุยเท่านั้นที่มองไปบนท้องนภาอันมืดมิดอย่างมิมีปี่มิมีขลุ่ย
“ตอนที่ยังอยู่บนภูเขาลั่วเหมย ท่านโหยวเป่ยโต้วก็เคยเอ่ยแบบนี้เช่นกัน… ท่านโหยวได้ปรึกษาหารือกับซูฉางเซิงปรมาจารย์แห่งสำนักเต๋า ทั้งยังเคยสืบเสาะมานับครั้งมิถ้วน”
“ท่านโหยวคิดว่าในฐานะที่ซูฉางเซิงเป็นหัวหน้าสำนักเต๋า เขาย่อมทราบตัวตนของคนผู้นั้นเป็นอย่างดี ท่านโหยวยังเคยสงสัยเลยว่าคนผู้นั้นก็คือซูฉางเชิง เพราะเขาอยากทำให้ท่านตาย แต่เขาทำมิได้ แต่เมื่อซูฉางเซิงตกตายไป ท่านโหยวจึงตัดชื่อของเขาออกไป”
“หลังจากนั้นท่านโหยวและท่านอาจารย์ได้ค้นหาความจริงต่อไป…พวกเขาสงสัยว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นคนผู้หนึ่ง”
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วเข้าหากันทันใด “ผู้ใดกัน ? ”
“……” เยี่ยนกุยหลายมิได้ตอบกลับในทันที เขาครุ่นคิดอยู่พักใหญ่แล้วถึงเอ่ยออกมาว่า “เมื่อครู่พระองค์เพิ่งตรัสว่าที่โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้นมีสิ่งที่เรียกว่าปัญญาประดิษฐ์มิใช่หรือ ถ้าหากว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นจุดกำเนิดของอารยธรรมอย่างแท้จริง เช่นนั้นก็หมายความว่าสถานที่แห่งนั้นจะควบคุมความก้าวหน้าของทั้งใต้หล้าใช่หรือไม่ ? ”
“ถ้าหากว่าใช่ เช่นนั้นก็พอจะอธิบายได้แล้วว่าเหตุใดคนที่สวรรค์ส่งลงมาถึงถูกสังหาร เพราะว่าพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงความก้าวหน้าทางอารยธรรม และนี่เป็นสิ่งที่ปัญญาประดิษฐ์มิอนุญาต”
“ถ้าหากมิใช่แล้วการมีอยู่ของสถานที่แห่งนั้นจะมีประโยชน์อันใด ? ”
“เมื่อได้ยินพระองค์ตรัสเมื่อครู่ กระหม่อมจึงคิดว่าโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้นทราบว่าคนที่สวรรค์ส่งลงมากำลังจะมาถึง และโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้นคงจะส่งคนมาสังหารคนที่สวรรค์ส่งลงมาทิ้งเสีย แต่พระองค์ทรงตรัสว่าโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้นไร้ซึ่งผู้คน เช่นนั้นความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือปัญญาประดิษฐ์ที่สองอันใดนั่น”
“มันมิใช่คน จึงเป็นเหตุให้มันดำรงอยู่ตลอดกาล มันเป็นดั่งวิญญาณร้าย ข้าคิดว่ามันมิเพียงมีชีวิตอยู่ชั่วนิจนิรันดร์เท่านั้น ทว่ามันยังร่ายมนตร์คาถาได้อีกด้วย และแปลงร่างมาคลุกคลีอยู่กับปุถุชนทั่วไป มันกำลังสังเกตการณ์พระองค์ และกำลังหาโอกาสกำจัดพระองค์ทิ้งเสีย ”
“นี่คือการคาดคะเนของท่านอาจารย์และท่านโหยว ถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็น…”
“ไทเฮาสวีหยุนชิง ! ”