นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1376 ไขข้อสงสัย
ตอนที่ 1376 ไขข้อสงสัย
คราหนึ่งผู้อาวุโสสำนักเต๋าซูฉางเซิงได้ประกาศต่อยุทธภพว่าจะรับฟู่เสี่ยวกวนเป็นศิษย์คนสุดท้าย
ตอนนั้นฟู่เสี่ยวกวนยังมิเคยพบซูฉางเซิงด้วยซ้ำไป ศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ยได้นำมู่โต่วมาให้ตน เขาเคยใช้มู่โต่วเพียงแค่คราเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือตอนที่เขายิงไปยังทะเลสาบซวนอู่ ผลกลายเป็นว่ายิงโดนขันทีเกาเสี่ยน จึงสามารถจับเขาได้เป็น ๆ
หลังจากนั้นของเล่นชิ้นนี้ก็ถูกเก็บไว้ในกระเป๋าแขนเสื้อของฟู่เสี่ยวกวนมาโดยตลอด โดยมิได้นำออกมาใช้แม้แต่ครั้งเดียว บัดนี้ดูเหมือนว่าตนจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามีของสิ่งนี้อยู่ในกระเป๋า
จี้หยุนกุยเอ่ยว่าเป็นเพราะมู่โต่วที่ทำให้ความฝันที่สองหวาดกลัว… เรื่องนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกผิดคาดมากจริง ๆ
ถ้าหากว่าเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นท่านอาจารย์ซูฉางเซิงย่อมทราบถึงอานุภาพอันแข็งแกร่งของมู่โต่วเป็นอย่างดี…
สำนักเต๋านั้นดำรงอยู่ในหน้าที่ของผู้พิทักษ์ มีพลังแข็งแกร่งสามารถต่อกรกับผู้ทำลายล้างได้ สิ่งนี้ถือว่าสมเหตุสมผล แต่สิ่งที่มิอาจอธิบายได้ก็คือ…เหตุใดซูฉางเซิงถึงคิดจะสังหารตน ?
ในฐานะศิษย์คนสุดท้ายของซูฉางเซิง เขาถูกซูฉางเซิงตั้งความหวังเอาไว้อย่างใหญ่หลวง ซูฉางเซิงกล่าวว่าเขาคือเมล็ดพันธุ์ของสำนักเต๋า ทั้งยังหวังให้เขาแตกกิ่งก้านสาขาต่อไป ในเมื่อเป็นเช่นนี้…เดิมทีเขาควรทำหน้าที่ปกป้องตน มิใช่ลงมือกำจัดตนเสียเอง
ฟู่เสี่ยวกวนหันหน้าไปมองจี้หยุนกุย จี้หยุนกุยถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยว่า “รากเหง้าของซูฉางเซิงที่เจ้าทราบมานั้นมิผิด เขาถูกผู้อาวุโสสำนักเต๋าเก็บไปเลี้ยง จากนั้นก็ได้เผยพรสวรรค์ด้านวรยุทธ์ออกมาจนทำให้ทุกคนตกตะลึง หลังจากผู้อาวุโสคนเก่าตกตายไป เขาจึงกลายเป็นผู้อาวุโสคนใหม่ของสำนักเต๋า”
“ศึกบนภูเขาต้าเซียนเปย…จุดประสงค์ของเขามิใช่เพื่อนำทหารชั้นยอดเข้ามาถล่มต้าเซี่ยที่เจ้าสถาปนาขึ้นมาใหม่ แต่เขาต้องการให้เจ้าโจมตีราชวงศ์เหลียวแล้วรวมเข้ากับต้าเซี่ย”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงักงัน จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย “ท่านทราบเรื่องนี้ได้เยี่ยงไร ? ”
จี้หยุนกุยนิ่งเงียบไปชั่วครู่ “เพราว่า…คุณหนูเป็นศิษย์ของสำนักเต๋า ส่วนข้าอาศัยอยู่ที่สำนักเต๋ามานานหลายปี ดังนั้นข้าและเขาจึงกลายเป็นสหายต่อกัน”
เขาชะงักไปชั่วครู่แล้วเอ่ยเพิ่มเติมอีกหนึ่งประโยคงว่า “เป็นสหายที่จริงใจต่อกันและกัน”
“พวกเราดูแลและศึกษาตำราที่ผู้อาวุโสคนก่อน ๆ ได้เก็บรวบรวมเอาไว้ เขาคิดว่าเจ้าคือคนที่สวรรค์ส่งลงมา ดังนั้นเขาจึงส่งซูเจวี๋ยศิษย์คนอื่น ๆ ไปอยู่ข้างกายเจ้า แต่เขาก็ยังหวังว่าเจ้าจะมีความสามารถในการป้องกันตนเองเช่นเดียวกัน นี่คือเหตุผลที่เขารับเจ้าเป็นศิษย์และมอบมู่โต่วให้แก่เจ้า”
“หลังจากที่เจ้ารวมเอกราชห้าแคว้นเอาไว้ได้แล้ว เขาใจชื้นขึ้นมามากเลยทีเดียว ประการแรกเพราะว่าสำนักเต๋าจะเจริญงอกงามยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก ประการที่สองเจ้าคือคนที่สวรรค์ส่งลงมาและสามารถมีชีวิตอยู่ได้ยืนยาวที่สุดในบรรดาคนอื่น ๆ นี่จึงเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามู่โต่วสามารถสร้างความหวาดหวั่นให้แก่ผู้ทำลายได้อย่างแท้จริง”
“หลังจากนั้นเขายังเอ่ยอีกว่าต้าเซี่ยจะขยายใหญ่ขึ้นกว่านี้”
“ดังนั้นเขาจึงเดินทางไปยังราชวงศ์เหลียว แล้วรวบรวมทหารชั้นยอดมาที่ภูเขาต้าเซียนเปย จากนั้นก็ก่อตั้งกองทัพอสนีบาตขึ้นมา จุดประสงค์เพื่อปูทางให้เจ้าเข้ามากำจัดกองทัพของราชวงศ์เหลียวจนราบคาบเป็นหน้ากลอง และเพื่อให้เจ้ายึดครองราชวงศ์เหลียวได้อย่างราบรื่น”
“แผนการนี้เป็นความคิดของข้าเอง ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนผงะตกใจอีกครา เขามองจี้หยุนกุยด้วยสายตาเหลือเชื่อ ผ่านไปเนิ่นนานเขาถึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วเหตุใดเขาถึงลอบสังหารข้าที่ชื่อเล่อชวนเล่า ? ”
จี้หยุนกุยส่ายศีรษะไปมา “เขามิได้จะลอบสังหารเจ้า ในตอนนั้นเขาคิดว่าสิ่งที่เป็นอันตรายต่อเจ้าคือปรมาจารย์ ดังนั้นเขาจึงคิดว่าปรมาจารย์ในใต้หล้าควรจะตกตายเสียให้สิ้น ! ”
“ดังนั้นเขาจึงแสร้งลอบสังหารเจ้า เพื่อทำการสังหารปรมาจารย์ทั้งห้าที่กระจายอยู่ทั่วทุกถิ่น และในขณะเดียวกันเขาได้แจ้งข้าและฟู่ต้ากวนให้รับทราบแล้ว”
“ฟู่ต้ากวนยิงซูฉางเซิงหนึ่งนัด กระสุนปืนยิงโดนบ่าของซูฉางเซิง เดิมทีเขามิน่าจะตาย แต่เป็นเพราะเขาได้กลืนยาพิษเข้าไปตั้งแต่ต้น เมื่อไปพบเจ้าเป็นคราสุดท้ายจึงลาจากใต้หล้านี้ไปในท้ายที่สุด”
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วแน่น
ในหัวของเขากำลังฉายภาพเหตุการณ์นี้ขึ้นมา
ตอนนั้นพฤติกรรมของซูฉางเซิงล้วนแต่น่าสงสัยทั้งสิ้น ยากที่จะหาคำตอบออกมาได้…
เขามิเข้าใจว่าเหตุใดซูฉางเซิงถึงต้องทำเช่นนั้น !
ซูฉางเซิงถือเป็นผู้ที่มีสติปัญญาล้ำเลิศ เขาสั่งสอนซูเจวี๋ยและศิษย์คนอื่น ๆ จนกลายเป็นผลผลิตที่งอกงาม ถ้าหากว่าเขาต้องการสังหารตนอย่างแท้จริง แท้จริงแล้วเขาก็สามารถคิดหาวิธีการที่ดีกว่านี้ได้เช่นกัน
บัดนี้เมื่อได้ยินจี้หยุนกุยเอ่ยออกมา จึงทำให้เขาเข้าใจในทุกสิ่ง เขาเพิ่งเข้าใจว่าวัตถุประสงค์ที่ซูฉางเซิงทำเช่นนั้นหมายความว่าเยี่ยงไร
เช่น…ตอนที่ซูฉางเซิงเอ่ยกับตนบนทุ่งหญ้าในตอนนั้น
“ราชวงศ์เฉินถูกราชวงศ์หยูกำจัดจนราบเรียบ สิ่งนี้ทำให้เห็นเป็นประจักษ์ว่าราชวงศ์เฉินนั้นเน่าเฟะเกินต้าน ควรกำจัดทิ้งเสีย ราชวงศ์หยูถูกต้าเซี่ยของเจ้ากำจัดออกไป สิ่งนี้ทำให้เห็นเป็นประจักษ์แล้วว่าราชวงศ์หยูมิเหมาะที่จะพัฒนาต่อไป”
“การเปลี่ยนราชวงศ์ย่อมมีเหตุผลเสมอ ดังนั้นข้าจึงมิคิดอยากย้อนกลับไปวันวาน”
“หากหวนย้อนกลับไปวันวาน สู้สร้างยุคสมัยใหม่เสียยังดีกว่า เหมือนดั่งที่เจ้าทำอยู่ในตอนนี้”
“เจ้าทำได้ดีแล้ว ทำได้ดีมากจริง ๆ ! เจ้าคือคนที่สวรรค์ส่งลงมา ดังนั้นการที่อาจารย์พ่ายแพ้ให้แก่เจ้าถือเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”
เขาแพ้อันใดเยี่ยงนั้นหรือ ?
เขามิได้แพ้อันใดสักหน่อย !
เขาเชื่อมาโดยตลอดว่าตนคือคนที่สวรรค์ส่งลงมา ทั้งยังลงมือปกป้องเขาจากภยันอันตรายอีกด้วย
สิ่งที่เขาคาดหวังหากมองผิวเผินเหมือนจะเป็นการทำให้สำนักเต๋าเจริญรุ่งเรือง แต่แท้ที่จริงเขาหวังจะรวบรวมเอกราชเข้าด้วยกันต่างหาก
เมื่อตนทำสำเร็จแล้ว เช่นนั้นก็หมายความว่าเขาคือผู้ชนะ
เพียงแต่ว่าเหตุใดเขาถึงเลือกที่จะฆ่าตัวตายเล่า ?
“บางทีเขาอาจจะคิดว่าตนเองเป็นปรมาจารย์ และมิควรอยู่ในใต้หล้าต่อไป หรือบางทีเขาอาจจะคิดว่าตนเองได้ทำหน้าที่ผู้พิทักษ์ได้สุดความสามารถแล้ว”
จี้หยุนกุยถอนหายใจออกมาอีกหนึ่งครา “เขาเป็นผู้ที่มีสติปัญญาหลักแหลม ข้าคิดว่าเขาอาจจะมีอีกเหตุผลหนึ่ง… คาดว่าเขาเป็นกังวลว่าตนเองจะมิอาจต้านทานอำนาจนั้นได้ ! ”
ความหมายของประโยคนั้นก็คือ…ซูฉางเซิงเห็นฟู่เสี่ยวกวนสถาปนาต้าเซี่ยมาเองกับมือ และขนาดของต้าเซี่ยยังกว้างใหญ่ไพศาลมากยิ่งนัก นี่คือเมล็ดพันธุ์ที่งอกงามเป็นหนักหนา ต่อให้เป็นซูฉางเซิงก็มิอาจต้านทานความปรารถนาที่จะคว้าเมล็ดพันธุ์นี้มาครอบครองได้
ทว่าฟู่เสี่ยวกวนมิเห็นด้วยกับความคิดนี้ของจี้หยุนกุย เพราะหากสิ่งที่จี้หยุนกุยเอ่ยเป็นเรื่องจริง จะเห็นได้ชัดว่าซูฉางเซิงได้ปล่อยวางอำนาจแล้ว
เดิมทีเขามิจำเป็นต้องฆ่าตัวตาย ทว่าเหตุใดเขาถึงเลือกที่จะตายเล่า ?
ฟู่เสี่ยวกวนนึกถึงคำเอ่ยของซูฉางเซิงก่อนที่เขาจะสิ้นลมอีกครา…
“ชั้นสิบแปดของหอเทียนจี เจ้าอย่าได้ริไปเปิดมันเป็นอันขาด ! ”
“หากเจ้าจำเป็นต้องเปิดมันออกจริง ๆ ศาสตราเทพมู่โต่วที่อาจารย์ให้เจ้าไว้ จงนำมันติดตัวไปด้วย”
ตอนนั้นสวีหยุนชิงก็นั่งอยู่ข้างกายตนเช่นกัน
ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นก็เอ่ยถามออกมาว่า
“เจ้าติดตามมารดาของข้ามาช้านาน มารดาของข้า นาง…นางเป็นคนเยี่ยงไรกัน ? ”
สีหน้าของจี้หยุนกุยวูบไหวชั่วครู่ เพียงแต่ว่าเขานั่งอยู่ในจุดที่แสงสลัว ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงมิทันได้สังเกตเห็น
“มิว่านางจะเป็นคนเยี่ยงไร ท้ายที่สุดแล้วนางก็เป็นมารดาของเจ้า ! ”
จี้หยุนกุยลุกขึ้นยืน เขานิ่งเงียบราวสามลมหายใจ แล้วเอ่ยออกมาอีกว่า “ข้าคิดว่าเจ้ามิจำเป็นต้องไปเยือนดินแดนอันตรายแห่งนั้นเพื่อบุตรชายคนโตของเจ้าหรอก เพราะเจ้ายังมีโอรสอีกตั้งมากมาย ส่วนเจ้าก็ยังอยู่ในวัยที่กำลังรุ่งโรจน์ ! ”
“ดึกมากแล้ว เจ้าพักสักหน่อยเถิด… มารดาของเจ้า… นางมิเคยคิดทำสิ่งใดที่เป็นภัยต่อเจ้าเลยสักครา ! ”