นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1378 ค่ำคืนในเมืองอิงเทียน
ตอนที่ 1378 ค่ำคืนในเมืองอิงเทียน
รัชสมัยต้าเซี่ยที่เจ็ด เดือนห้า วันที่สาม
ณ ทวีปอิงเทียน เมืองอิงเทียน
……
ที่นี่เป็นเมืองที่ถูกก่อตั้งขึ้นมาใหม่
เดิมทีเมืองที่ฟู่เสี่ยวกวนออกแบบมานั้นเป็นเมืองที่มิมีกำแพง ทว่าไป๋ยู่เหลียนที่เป็นผู้รับผิดชอบในการก่อสร้างเมืองน้อมรับความคิดเห็นของชายอ้วนและสวี่หยุนชิง ดังนั้นเขาจึงก่อสร้างกำแพงที่มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งให้แก่เมืองนี้
เมืองแห่งนี้ได้ผสมกลมกลืนเมืองจินหลิงและเมืองกวนหยุนเข้าด้วยกัน ทั้งยังมีเงาของเมืองฉางอันให้เห็นอีกด้วย
ยกตัวอย่างเช่นถนนจากกำแพงเมืองทั้งสี่ทิศซึ่งจะตรงเข้าสู่พระราชวังที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง อาคารบ้านเรือนทั้งสองฝั่งถนนนั้นมีความงดงามเหมือนเมืองจินหลิง
ในทางกลับกันเมืองทางตะวันออกและตะวันตกกลับมีความหยาบเหมือนกับเมืองกวนหยุน
ส่วนพระราชวังที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองนั้น อ้างอิงมาจากโครงสร้างของพระราชวังในเมืองฉางอัน
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวว่าผืนทวีปแห่งนี้จะมิมีองค์จักรพรรดิ แต่สวีหยุนชิงกลับคิดว่าผืนปฐพีที่ใหญ่โตถึงเพียงนี้ ถึงเยี่ยงไรก็ต้องมีคนบริหารจัดการอยู่ดี และด้วยเหตุนี้จึงมีการออกแบบพระราชวังให้กลายเป็นสถานที่ปฏิบัติงานของขุนนาง
ท้ายสุดแล้วก็เป็นเมืองที่มีราชวงศ์ปกครองแห่งหนึ่ง
ซึ่งมันมิได้สอดคล้องกับภาพที่ฟู่เสี่ยวกวนวาดไว้เสียทีเดียว
ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของพระราชวังเป็นที่ตั้งของสถานที่งดงามอีกหนึ่งแห่ง…ซึ่งมีชื่อว่าสวนจัวเจิ้ง !
แน่นอนว่ามันเป็นฝีมือการออกแบบของฟู่เสี่ยวกวน
ตรงทิศเหนือของสวน มีต้นสนสลับเรียงราย ทั้งยังเป็นสวนที่มีการจัดวางองค์ประกอบอย่างเป็นระบบระเบียบ
และเรือนที่สวี่หยุนชิงเลือกอยู่อาศัยก็คือที่นี่
ส่วนเรือนของชายอ้วนอยู่ติดกันกับเรือนของสวี่หยุนชิง
ห้วงราตรีค่อย ๆ ย่างกรายเข้ามา
แสงไฟในสวนจัวเจิ้งพลันสว่างไสว
ดวงดาราสว่างระยิบระยับดูน่ามอง
สวี่หยุนชิงชอบไปนั่งในหอตงว่างชั้นห้ายามราตรี ดื่มสุราหมักซีซานที่นำมาจากต้าเซี่ย พลางทอดสายตามองเมืองที่มีชีวิตชีวาแห่งนี้
ในชั่วขณะนั้นหัวใจของนางสัมผัสได้ถึงความเงียบสงบ รู้สึกราวกับว่าตนเองได้ย้อนวันเวลากลับไปที่เรือนซีซานอีกครา หรือย้อนกลับไปที่กระท่อมหลังคามุงจากบนยอดเขาโดดเดี่ยวที่สำนักเต๋า
โดยปกติแล้วบรรดาลูกสะใภ้และหลาน ๆ จะมิมารบกวนนางในเวลานี้ เว้นเสียแต่จะมีชายอ้วนที่คอยนั่งอยู่เป็นเพื่อนนางเงียบ ๆ บนเก้าอี้
ราตรีนี้ยังคงเป็นเช่นเดิม
เพียงแต่สวี่หยุนชิงกลับรู้สึกร้อนรุ่มกระวนกระวายใจ
ความกระวนกระวายนี้มีอยู่สองเรื่องด้วยกัน…
ดังนั้นนางจึงดื่มสุราถี่ขึ้น
ระหว่างคิ้วของนางขมวดเข้าหากันแน่น
ชายอ้วนเฝ้ามองนางอย่างเงียบ ๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ แล้วหยิบขวดสุราบนโต๊ะขึ้นมารินให้ตนเองพร้อมกับเอ่ยถามว่า “เกิดอันใดขึ้นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องร้ายขึ้น”
“เรื่องเสี่ยวกวนเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“อืม…อาจจะเกี่ยวกับเสี่ยวกวนก็เป็นได้”
ชายอ้วนดื่มสุราหนึ่งจอก คิ้วทั้งสองข้างดูบางจนเห็นได้ชัดเชิดขึ้นเล็กน้อย “หรือว่าเขาจะเปิดหอเทียนจีชั้นที่สิบแปด ? ”
ตอนนั้นที่เมืองกวนหยุน สวี่หยุนชิงเคยห้ามปรามมิให้ฟู่เสี่ยวกวนเปิดหอเทียนจีชั้นที่สิบแปดนั่น
ในตอนนั้นฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกสงสัยใคร่รู้ในสถานที่แห่งนั้นมิน้อย และท้ายที่สุดก็เป็นเพราะการโน้มน้าวใจของนาง หรืออาจเป็นเพราะเขากำลังทำเพื่อต้าเซี่ย เขาจึงเลิกล้มที่จะเปิดหอเทียนจีชั้นที่สิบแปด
ทว่าบัดนี้…
ผืนปฐพีต้าเซี่ยมีรากฐานที่มั่นคงแล้ว และเขาได้เจริญสัมพันธ์ทางการค้ากับฝูหล่างจีในขั้นต้นแล้ว
บัดนี้เขาได้ทำสิ่งที่เขาปรารถนาจนสำเร็จทั้งหมดแล้ว ความปรารถนาสุดท้ายของเขาคือการเป็นเศรษฐีที่ดินอยู่ในทวีปอิงเทียน
หากลองคำนวณตามวันเวลาแล้ว ต่อให้เขาจะเดินทางบ้างหยุดบ้าง บัดนี้เขาน่าจะเดินทางไปถึงต้าเซี่ยแล้ว เช่นนั้นเขาจะเปิดหอเทียนจีชั้นที่สิบแปดอีกคราหรือไม่ ?
สวี่หยุนชิงส่ายศีรษะไปมา
“จี้หยุนกุยอยู่ที่ต้าเซี่ย เขาต้องห้ามปรามเสี่ยวกวนเป็นแน่ ! ”
ชายอ้วนเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้า…ดูเหมือนเจ้าจะทราบว่าในหอเทียนจีชั้นที่สิบแปดมีอันใดอยู่อย่างนั้นแหละ เจ้าเคยเข้าไปเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
สวี่หยุนชิงพยักหน้า
“ข้าเคยเข้าไป”
ชายอ้วนผงะตกใจ จากนั้นสวีหยุนชิงก็เอ่ยต่อว่า “เมื่อปีนั้นตอนที่ข้าเดินทางออกมาจากเมืองหลินเจียง ข้าได้เดินทางไปยังราชวงศ์อู๋เพื่อพบกับอู๋ฉางเฟิง แล้วนำเอาตราประทับหยกลงไปที่หอเทียนจีชั้นที่สิบแปด”
“เหตุใดเจ้าถึงคิดอยากเข้าไปดูเล่า ? ” ชายอ้วนเอ่ยถาม
“ศิษย์พี่ใหญ่บอกข้ามา”
สวี่หยุนชิงชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็ยกจอกสุราขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “ข้าสงสัยมาโดยตลอดว่าบันทึกหนานเคอสามหน้าสุดท้ายที่ขาดหายไปอยู่ที่ใด”
นางหันกลับไปมองชายอ้วนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“พวกเจ้าหลงเชื่อมาโดยตลอดว่านั่นคือบันทึกความทรงจำของข้า ทว่าพวกเจ้าคิดผิด เพราะนั่นมิใช่สิ่งที่ข้าเขียน ! ”
“คำทำนายข้างในนั้น ข้าเคยตรวจสอบมาก่อน ข้าเข้าร่วมลัทธิจันทราก็เพราะคำทำนายที่เขียนเอาไว้ในนั้น ทว่าสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ…ในคำทำนายได้ระบุการมาเยือนของเสี่ยวกวนเอาไว้ ! ”
“เสี่ยวกวนเป็นบุตรชายของข้า”
“การที่ข้าแสร้งทำเป็นตายจากก็เพื่อหลบหนี เพื่อมองดูว่าบุตรของข้าจะเปลี่ยนเป็นคนอีกคนได้เยี่ยงไร ? ”
แม้ว่าคำเอ่ยของนางจะฟังดูวกวนแต่ชายอ้วนก็เข้าใจ
“เจ้าทราบอันใดหรือไม่ ? ในรัชสมัยเซวียนลี่ที่แปด ปลายเดือนสี่ ยามราตรี บุตรชายของข้าหายไปจากจวน ท้ายที่สุดพบเขานอนหมดสติอยู่หลังเขา คนของต่งชูหลานได้ลงมือทำร้ายเขา เจ้าคิดว่าเขาตกตายในตอนนั้นใช่หรือไม่ ? ”
สวี่หยุนชิงส่ายศีรษะเบา ๆ “ทว่าตอนนั้น…เขามิได้ตายเพราะเงื้อมมือของต่งชูหลานด้วยซ้ำไป”
“…เช่นนั้นเขาตายได้เยี่ยงไร ? ”
“เขาถูกกล่องดำฟาดศีรษะจนตาย ! ”
ก้อนเนื้อบนใบหน้าของชายอ้วนกระตุก เขาจ้องมองสวีหยุนชิงด้วยสายตาที่ยากจะเชื่อ จากนั้นก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่แล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าหมายความว่า…กล่องดำนั้นตกลงมาจากท้องนภาฟ้า แล้วฟาดศีรษะของเขาจนตายเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ใช่ ข้าอยากจะช่วยเขา แต่ก็เข้าไปช่วยมิทัน”
สวี่หยุนชิงถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกผิด “นี่เป็นเรื่องที่ข้ารู้สึกผิดต่อเขา ทว่าหลังจากนั้นเขาก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมา…และนี่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าคำทำนายในบันทึกหนานเคอเป็นเรื่องจริง ! ”
“เขาคือคนที่สวรรค์ส่งลงมา ! ”
“หลังจากนั้นสิ่งที่เขาทำทั้งหมดก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเขาเป็นคนที่สวรรค์ส่งลงมาอย่างแท้จริง ดังนั้นศิษย์พี่ใหญ่จึงส่งซูม่อกับไป๋ยู่เหลียนมาอยู่ข้างกายเขา ทั้งยังส่งพวกซูเจวี๋ยตามมาในภายหลัง”
“หลายปีมานี้ข้าตามหามาตลอดว่าบันทึกหนานเคอมาจากที่ใด”
“เพราะมันมีเพียงแค่สามหน้าเท่านั้น ตามหลักแล้วน่าจะมีบันทึกที่ละเอียดมากกว่านี้ ดังนั้นศิษย์พี่ใหญ่จึงคิดว่ามันน่าจะมาจากด้านในหอเทียนจีชั้นที่สิบแปด”
“แล้วเจ้าเห็นอันใดในหอเทียนจีชั้นที่สิบแปดบ้าง ? ชายอ้วนผงะตกใจอีกครา
สวี่หยุนชิงเผยความหวาดผวาออกมา
“ข้าใช้ตราประทับหยกเปิดประตูบานนั้นออก ด้านในประตูบานนั้น…เป็นทุ่งหญ้าเขียวขจี และห่างจากตัวข้าไปสามจ้างมีเด็กหญิงเก็บเห็ดยืนอยู่ ! ”
“เด็กหญิงเก็บเห็ดเยี่ยงนั้นหรือ ? ” ชาวอ้วนโน้มกายเข้าไปถาม
“ใช่ ! อายุราวแปดเก้าปี นางเป็นเด็กน้อยหน้าตาสละสลวย มือของนางมีตะกร้าไม้ไผ่คล้องอยู่ ในตะกร้ามีเห็ดแห้งอยู่ราวสองสามดอก”
“…เห็ดแห้งเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ใช่ นางเอ่ยว่า…นางยืนอยู่ที่นั่นร่วมหนึ่งพันปีมาแล้ว ! ”
ชายอ้วนลุกพรวดขึ้นมาทันใด เขารู้สึกตกตะลึงกับสิ่งที่สวี่หยุนชิงเอ่ยในวันนี้เสียเหลือเกิน
เพราะว่ามิมีผู้ใดที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้นับพันปี !
บัดนี้สวี่หยุนชิงมิมีความจำเป็นอันใดต้องโกหกตนอีกแล้ว
“นางเอ่ยอันใดอีก ? ”
“และนางยังเอ่ยอีกว่า…ในเมื่อผู้ที่สวรรค์เลือกมาถึงแล้ว เช่นนั้นผู้ทำลายล้างก็คงจะมาถึงในมิช้านี้ การละเล่นกำลังจะเริ่มต้นขึ้น มันต้องน่าชมมากเป็นแน่”
“แล้วหลังจากนั้นเล่า ? ”
“หลังจากนั้นนางก็ถือตะกร้าไม้ไผ่เดินจากไป”
“นางมีนามว่าอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ข้ามิได้ถาม”
“แล้วผู้ใดเป็นผู้ทำลายล้าง ? ”
สวี่หยุนชิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “เดิมทีข้าคิดว่าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ หลังจากนั้นข้าก็เริ่มสงสัยในตัวเจ้า ทว่าบัดนี้…ข้ากลับรู้สึกว่าผู้ทำลายล้างกำลังจะปรากฎตัวออกมา”
“นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้อารมณ์ของข้ามิสงบนิ่ง”