นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1380 แม่และลูก
ตอนที่ 1380 แม่และลูก
ณ สวนจัวเจิ้ง หอตงว่าง
บนหอนั้นมีโต๊ะตัวหนึ่งตั้งอยู่ บนโต๊ะนั้นมีอาหารเลิศรสปรุงเสร็จใหม่ ๆ วางไว้จนเต็มโต๊ะ และแน่นอนว่าย่อมมีสุราวางอยู่ด้วย
ผู้ที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะนั้นมีสี่คนด้วยกัน ซึ่งก็คือชายอ้วน สวี่หยุนชิง ฟู่เสี่ยวกวนและยังมีจี้หยุนกุยอีกด้วย
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้พาหนิงซือเหยียนและเยี่ยนกุยหลายเข้ามา เพราะเยี่ยนกุยหลายและสวี่หยุนชิงมีความแค้นบาดหมางกันอยู่
สวี่หยุนชิงเป็นมารดาของฟู่เสี่ยวกวน แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วสวี่หยุนชิงจะเป็นผู้ทำลายล้างก็ตาม แต่ถึงเยี่ยงไรนางก็เป็นมารดาของตนอยู่ดี
ฟู่เสี่ยวกวนเชื่อมาโดยตลอดว่าระหว่างบทบาทมารดาและผู้ทำลายล้างนั้น สวี่หยุนชิงจะต้องเลือกบทบาทมารดาอย่างแน่นอน และเชื่อว่านางจะมิทำเรื่องที่สร้างความเสียหายให้แก่ลูกของนางเป็นแน่
เหมือนดั่งที่สวี่หยุนชิงเคยลอบช่วยเหลือตนเองอย่างลับ ๆ มาโดยตลอดนั่นเอง
เดิมทีนางมีโอกาสสังหารตนตั้งหลายครา ทว่านางมิเลือกที่จะทำเช่นนั้น และแน่นอนว่าฟู่เสี่ยวกวนย่อมหวังให้การคาดเดาของเป่ยหวังฉวนและโหยวเป่ยโต้วนั้นผิดพลาด
เมื่อเห็นมารดาภายใต้แสงของโคมไฟ ฟู่เสี่ยวกวนจึงเหม่อลอยไปชั่วชณะ
มารดาของตนย่างเข้าสู่วัยหกสิบปีแล้ว
ผมของนางขาวหงอกเกือบจะทั้งศีรษะ ริ้วรอยบนใบหน้าของนางก็เพิ่มขึ้นอย่างมิรู้ตัว
ทว่านางยังดูกระฉับกระเฉง โดยเฉพาะนัยน์ตาคู่นั้นที่ปิดซ่อนความดีใจเอาไว้มิมิด รวมถึงความกังวลใจเมื่อได้ยินเรื่องของอู๋เทียนซื่อที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถึง
“เจ้าห้ามไปที่นั่นโดยเด็ดขาด ! ”
บัดนี้ใบหน้าซูบผอมของสวี่หยุนชิงนั้นจริงจังเป็นอย่างมาก นางมองฟู่เสี่ยวกวนแล้วเอ่ยต่อว่า “เจ้ามีบุตรชายตั้งหลายคน หายไปสักคนจะเป็นอันใดไป ? ถือเสียว่าเขาตายก่อนวัยอันควรก็แล้วกัน… เรื่องนี้แม่จะไปสนทนากับหลิงเอ๋อร์เอง”
ฟู่เสี่ยวกวนอมยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ท่านแม่ ถ้าหากว่าบุตรชายของท่านกำลังเผชิญกับสถานการณ์เสี่ยงตายเช่นนั้น ท่านจะมิทำอันใดเลยหรือ ? ”
สวี่หยุนชิงเอ่ยอันใดมิออกไปชั่วขณะ นางหันหน้าไปมองชายอ้วนที่นั่งอยู่ด้านข้าง ชายอ้วนก้มหน้าก้มตาราวกับมิมีความคิดเห็นใดทั้งนั้น
“ปกติเจ้าปากมากมิใช่หรือ ? ”
สวี่หยุนชิงถลึงตาใส่ชายอ้วนด้วยน้ำเสียงกล่าวโทษ “เหตุใดบัดนี้ถึงทำตัวเป็นพระศรีอริยเมตไตรยไปได้เล่า ? ”
“เจ้าอวดโอ้ว่าเป็นบิดาของเขามิใช่หรือ ? บัดนี้เขาจะเดินไปที่นั่น…เจ้าเอ่ยอันใดสักอย่างสิ ! ”
ชายอ้วนยิ้มเจื่อน ๆ พร้อมกับยกขวดสุราขึ้นมารินใส่จอก จากนั้นก็หันไปมองทางฟู่เสี่ยวกวน สายตาของเขามิมีความโกรธแฝงอยู่เลย ยังคงประคบประหงมเหมือนตอนที่ยังอยู่ในจวนหลินเจียง
“เรื่องนี้…ต่างคนต่างก็มีเหตุผลเป็นของตนเอง”
“ก่อนอื่นข้าจะขอเอ่ยว่า…ท่านแม่ของเจ้ามิใช่ผู้ทำลายล้างอันใดนั่น นางมิมีทางใช้เทียนซื่อเป็นเหยื่อล่อเจ้าไปที่โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่”
“ตอนที่พ่อเป็นจักรพรรดิอยู่ในเมืองกวนหยุน แท้ที่จริงเป่ยหวังฉวนกับโหยวเป่ยโต้วก็ได้เอ่ยถึงความระแวงสงสัยของพวกเขา… และแน่นอนว่าเมื่อได้ยินการวิเคราะห์เหล่านั้นแล้ว พ่อจึงเริ่มสงสัยในตัวแม่ของเจ้า ซึ่งเรื่องนี้พ่อทำมิถูกต้อง”
“หลังจากที่พ่อมอบตำแหน่งจักรพรรดิให้แก่เจ้าแล้ว แท้ที่จริงพ่อค้นหาความจริงมาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้พ่อจึงเดินทางไปหลายแห่ง… หลัก ๆ เพื่อตรวจสอบการตายของผู้ที่สวรรค์ทรงเลือกคนก่อน ๆ ”
“ซึ่งได้ข้อสรุปสามกรณีด้วยกัน”
“หนึ่งในนั้นคือจู๋ซีปรมาจารย์แห่งราชวงศ์เฉิน ! ”
“เขามีอาชีพหลอมเหล็ก เหล็กที่เขาหลอมออกมายอดเยี่ยมยิ่งกว่าเหล็กในยุคสมัยนั้นมากโข และด้วยเหตุนี้เขาจึงตีศาสตราเทพออกมาเจ็ดสิ่งด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่นมู่โต่วของเจ้า หรือเช่นธนูสุริยะพินาศของเป่ยหวังฉวน”
“และนอกจากนี้เขายังสร้างอาวุธป้องกันวิเศษ ซึ่งก็คือชุดจักจั่นที่เจ้าสวมใส่อยู่”
“แท้ที่จริงเขาได้คิดค้นชุดจักจั่นขึ้นมาสองชุดด้วยกัน โดยอีกชุดหนึ่งแม่ของเจ้าสวมใส่อยู่ ! ”
“ดังนั้นแล้วแม่ของเจ้ามิได้ตกตายอย่างแท้จริง ชุดนั้นได้ปกปักรักษาชีวิตของแม่เจ้าเอาไว้”
บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจแล้วว่าเหตุใดมารดาของตนถึงตายแล้วเกิดใหม่ !
ชุดจักจั่นเป็นอาวุธป้องกันพิเศษที่มิมีผู้ใดเหมือน...
สมัยราชวงศ์อู๋ เจี่ยหนานซิงหรือขันทีเจี่ยได้มอบชุดจักจั่นให้ตนหนึ่งชุด ทั้งยังกล่าวถึงสรรพคุณของชุดนี้
โดยปกติแล้ว ดาบและกระบี่ทั้งหลายมิอาจทำร้ายตนได้ และชุดจักจั่นยังสามารถสกัดกั้นจากการโจมตีของผู้มีฝีมือระดับสูงได้ หรือแม้แต่ตอนที่เผชิญหน้ากับปรามาจารย์ก็ยังสามารถหลบหนีออกมาได้อีกด้วย
“การที่ปรมาจารย์จู๋ซีสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา มีวัตถุประสงค์เพื่อต่อกรกับผู้ทำลายล้างที่จะสังหารเขาในอนาคต”
“แต่ที่น่าเสียดายคือท้ายที่สุดแล้วเขาสิ้นใจอยู่ในโรงหลอมเหล็กของเขาเอง ส่วนเหตุผลยังคงเป็นปริศนา”
“ที่เล่าเรื่องพวกนี้ให้เจ้าฟังความหมายของพ่อก็คือ ต่อให้เจ้ามีศาสตราเทพครบเจ็ดสิ่ง ต่อให้เจ้าสวมชุดจักจั่นเอาไว้ เจ้าก็ยังมิใช่คู่มือของผู้ทำลายล้างอยู่ดี ตามที่ศิษย์พี่…ซึ่งก็คืออดีตอาจารย์ของเจ้าได้เอ่ยเอาไว้ เขาคิดว่าผู้ทำลายล้างมีอาวุธที่น่าหวั่นเกรงกว่านี้”
“พวกเรามิรู้ด้วยซ้ำว่าผู้ทำลายล้างมีอาวุธเยี่ยงไร จนกระทั่งเจ้าประดิษฐ์ปืนขึ้นมา”
ชายอ้วนจิบสุราหนึ่งอึก จากนั้นก็หันไปทางฟู่เสี่ยวกวนแล้วเอ่ยต่อว่า “เดิมทีศิษย์พี่คิดว่ามู่โต่วเป็นอาวุธวิเศษที่สามารถต่อกรกับผู้ทำลายล้างได้ เพราะว่ามันมีขนาดเล็กและสามารถส่งพลังโจมตีได้อย่างฉับพลัน”
“ทว่าหลังจากนั้นศิษย์พี่ก็ได้ปฏิเสธความคิดนี้ไปตอนที่เขาเห็นปืนของเจ้าด้วยสายตาของตนเอง”
“ตอนนั้นที่อยู่ในชื่อเล่อชวน พ่อได้ยิงเขาหนึ่งครา ตอนนั้นพ่อมิได้คิดที่จะสังหารเขา แต่เป็นเพราะเขาร้องขอด้วยตนเอง เขาอยากจะทราบว่าปืนมีอานุภาพมากเพียงใด และด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินว่าปืนของเจ้ามีอานุภาพทำลายล้างไร้เทียมทาน ”
“หลังจากกระสุนนัดนั้น ศิษย์พี่เผยรอยยิ้มออกมา”
“เขาเอ่ยกับข้าว่า…อาวุธที่สามารถกำจัดผู้ทำลายล้างได้คือปืนของเจ้า ! ”
“มันมิใช่สิ่งของของใต้หล้านี้ มันมีอานุภาพมากพอที่จะขจัดผู้ทำลายล้าง หรือแม้กระทั่งทำลายโบสถ์ลึกลับแห่งนั้น”
ฟู่เสี่ยวกวนมองชายอ้วนด้วยสายตาตกตะลึง บัดนี้เขาค่อนข้างสับสนงุนงง
เพราะสิ่งที่ชายอ้วนเอ่ย แตกต่างกับสิ่งที่จี้หยุนกุยเอ่ยอย่างลึกลับ เมื่อลองพิจารณาดูดี ๆ แล้ว ข้อมูลที่จี้หยุนกุยทราบนั้นค่อนข้างคร่ำครึ ทว่าข้อมูลที่ชายอ้วนทราบกลับสามารถโน้มน้าวใจได้มากกว่า
ตนเดินทางทะลุมิติมา แท้ที่จริงตอนที่ตนเดินทางทะลุมิติมานั้น หนี่วาก็น่าจะทราบเรื่องนี้แล้ว
ความฝันที่สองซึ่งประจำการอยู่ในโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ก็คงจะทราบด้วยเช่นกัน
และสิ่งที่นอกเหนือความคาดหมายไปอีกนั้นคือตนได้นำปืนขนาดมโหฬารมาด้วย !
ปืนนี้ปะทุดังคราแรกที่เมืองเปียนเฉิง กระสุนปืนฝังอยู่ที่บ่าของปรมาจารย์เป่ยหวังฉวน ถ้าหากว่ามีดวงตาของหวี่วาจับจ้องอยู่มากมายบนท้องนภาจริง ๆ ฉากนั้นก็คงจะถูกหนี่วาบันทึกเอาไว้ ทำให้ความฝันที่สองเกิดความรู้สึกกระดากใจ จนมิกล้าส่งผู้ทำลายล้างอันใดนั่นออกมา
ตามหนังสือศิลปะการทำนาย ว่ากันว่าหนี่วามีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเป็นอย่างยิ่ง ความรู้ภูมิปัญญาเหล่านั้นควบคุมโดยความฝันที่สอง นางสามารถสร้างอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงมากำจัดตนได้
ทว่าเรื่องนี้ก็มิได้เกิดขึ้น
นี่เป็นเพราะสาเหตุใดกัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนมิทราบ ชายอ้วนยิ่งมิทราบเข้าไปใหญ่
“เช่นนั้นถ้าหากว่าพวกเรานำปืนไปที่โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้น พวกเราจะสามารถกำจัดศัตรูได้ในคราเดียวหรือไม่ ? ”
ชายอ้วนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “พวกเรามิทราบอันใดเกี่ยวกับสถานที่แห่งนั้นเลย หากหุนหันพลันแล่นเช่นนี้… แล้วเกิดเรื่องเกินความคาดหมายล่ะก็… ข้าเห็นด้วยกับแม่ของเจ้า เจ้ามิสามารถเดินทางไปที่นั่นได้ ทว่าข้าสามารถไปได้ ! ”
“ข้าจะพาศิษย์สำนักเต๋า พร้อมทั้งอาวุธปืนไปค้นหาความจริงที่นั่นเอง”
“มิได้ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนปฏิเสธทันควัน “ข้าเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้น และมีความเข้า…”
เขายังมิทันได้เอ่ยจนจบ จี้หยุนกุยก็นำนิ้วมาจี้ที่เอวของเขา
สวี่หยุนชิงรีบรับร่างของฟู่เสี่ยวกวนทันใด จากนั้นก็หันหน้าไปมองชายอ้วน แล้วเอ่ยออกมาว่า “ข้าจะดูเสี่ยวกวนเอง ส่วนเจ้าพาพวกซูเจวี๋ยไปเถิด”
“จงไปเชิญภรรยาของไป๋ยู่เหลียนมา นางทราบว่าโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ที่ใด ! ”
“อืม ! ”
ชายอ้วนลุกขึ้นยืนอย่างมิลังเล
“ข้าจะรอเจ้ากลับมา… หลังจากนั้นพวกเราจะกลับไปยังหลินเจียงด้วยกัน”
ชายอ้วนหันหน้ากลับมาแล้วฉีกยิ้มกว้างให้นาง