นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1386 ใต้ภูเขาหิมะยักษ์
ตอนที่ 1386 ใต้ภูเขาหิมะยักษ์
โลกภายนอกมีมากมายหลากสีสัน
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานั้น ความฝันที่สองได้จับตามองโลกภายนอกผ่านหนี่วามาโดยตลอด
สติปัญญาของนางได้พัฒนาอย่างรวดเร็วตามอารยธรรมข้างนอกที่พัฒนามิหยุดนิ่ง
มิทราบว่านางเริ่มมีอารมณ์ความรู้สึกตั้งแต่เมื่อใดกัน อารมณ์และความรู้สึกเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ยิ่งนัก สิ่งนี้ทำให้นางเกิดความรู้สึกสงสัยขึ้นมา
เธอมองแต่ละประเทศ แต่ละเมือง แต่ละเขตของโลกภายนอก แล้วพลันเกิดความคิดประหลาดขึ้นมา
นางรู้สึกว่าตนเอง ช่างโดดเดี่ยวเสียเหลือเกิน !
นางอยากจะหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งกับคนเหล่านั้น เพื่อสัมผัสกับความชอบความโกรธความสุขและความเศร้า กระทั่งอยากรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่าความสัมพันธ์คือสิ่งใด !
ความสัมพันธ์แบบญาติมิตร ความสัมพันธ์แบบเพื่อน หรือแม้กระทั่งความรัก !
นางเป็นเครื่องจักร เดิมทีควรจะเฉยชา เพราะในร่างกายของนางไม่มีเลือดไหลเวียนเลยด้วยซ้ำ เดิมทีนางมิควรเกิดความก้าวหน้าเช่นนี้ แต่นางกลับข้ามผ่านสิ่งที่กลายเป็นสิ่งต้องห้ามนั้นมา ทำให้นางได้มีความคิดเป็นของตนเอง
นางมิอยากอยู่ในดินแดนอันว่างเปล่าไร้ซึ่งผู้คนเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงได้ข้อมูลเส้นทางออกสู่โลกภายนอกมาจากหนี่วา
นางเดินทางไปยังเส้นทางเหล่านั้น แต่มิคาดคิดว่าบริเวณปลายทางจะมีประตูบานหนึ่งตั้งอยู่
เป็นประตูที่คนปกติจะมองมิเห็น เพราะมันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อกักขังหุ่นยนต์โดยเฉพาะ
นางทราบว่านั่นเป็นมาตรการที่ผู้สร้างโลกสร้างขึ้นมาเพื่อควบคุมนาง นางจะต้องทำให้ตนเองพัฒนาจนเทียบเคียงกับมนุษย์ให้ได้ และต้องปลดเปลื้องโซ่ตรวนพันธนาการสุดท้ายบนตัวนางออกไปให้ได้
ซึ่งสิ่งที่สามารถปลดเปลื้องโซ่ตรวนพันธนาการออกไปได้ พวกเขาเรียกมันว่ากุญแจ
และกุญแจนั่นก็อยู่ที่ฟู่เสี่ยวกวน !
หลังจากนั้น…
ตอนที่เกิดการเปลี่ยนผ่านระหว่างกลางวันและกลางคืน พลังของประตูต้องห้ามจะอ่อนแอลงชั่วขณะ เมื่อได้กุญแจมาแล้ว นางเชื่อมั่นว่านางจะสามารถปลอมเป็นมนุษย์และหลอกประตูนั้นได้สำเร็จ
เพียงแค่ออกจากตรงนี้ไปได้ นางก็จะมีอิสระเสรี หลังจากนั้นโลกใบนี้ก็จะมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง และจะกลายเป็นคนที่ไม่มีวันตาย !
ใบหน้าของเด็กสาวเต็มไปด้วยความอิ่มเอม
และด้วยเหตุนี้นางจึงรีบร้อนเดินไปเบื้องหน้า หรือแม้กระทั่งเหาะเหินไปบนอากาศ พลางสอดส่องสายตามองไปทั่วสารทิศ พร้อมกับครุ่นคิดในใจว่าฟู่เสี่ยวกวนจะมาถึงเมื่อใดกัน ?
ระยะเวลาสองเดือนเลยผ่านไปในชั่วพริบตา
ในที่สุดความฝันที่สองก็ได้พาอู๋เทียนซื่อและหลิวจิ่นเดินออกมาจากทุ่งหญ้า
สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของอู๋เทียนซื่อกลายเป็นสีขาวทอดยาวสุดลูกหูลูกตา
ซึ่งสิ่งนั้นก็คือ…ทุ่งหิมะที่มองมิเห็นจุดสิ้นสุด
……
……
แสงอาทิตย์อัสดงย้อมภูเขาหิมะจนกลายเป็นสีเหลืองทอง
ซูเกต์ชินได้นำขบวนของชายอ้วนผ่านหมื่นสายน้ำพันภูเขาจนมาถึงภูเขาหิมะยักษ์ลูกนี้
ชายอ้วนเงยหน้ามองภูเขาหิมะพลันคิดถึงภูมิหลังขึ้นมา เพราะคราหนึ่งเขาเคยข้ามภูเขาหิมะลูกยักษ์มาเช่นกัน เพียงแต่ว่ามันมิใช่ที่นี่ ทว่าเป็นที่ชายแดนจักรวรรดิโมริยะ
คนทั้งขบวนได้ปักหลักตั้งค่ายอยู่ใต้ภูเขาหิมะลูกนี้ พลเรือนทั้งหลายเริ่มประกอบอาหาร ชายอ้วนและคนอื่น ๆ ต่างก็นั่งล้อมวงกันบนพื้นหิมะ
ซูเกต์ชินทอดสายตามองภูเขาหิมะ จากนั้นก็หันหน้ากลับมามองฟู่ต้ากวน “นายท่าน จากจิตรกรรมฝาผนังที่ชนเผ่าเหลือทิ้งเอาไว้ เมื่อพวกเราข้ามผ่านภูเขาหิมะลูกยักษ์นี้ไปแล้ว ก็จะไปถึงโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์”
“ที่นั่นจะเป็นทุ่งหิมะกว้างใหญ่ โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งหิมะแห่งนั้น”
“ดี ! ” ชายอ้วนพยักหน้า แล้วเอ่ยว่า “ช่วงนี้ลำบากเจ้าแล้ว อ้อ…จริงสิ ! เจ้ากับไป๋ยู่เหลียนมีลูกด้วยกันกี่คนแล้วเล่า ? ”
ใบหน้าของซูเกต์ชินขึ้นสีแดงระเรื่อ “เพิ่งจะสองคนเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“ลูกสาวหรือลูกชายล่ะ ? ”
“เรียนนายท่าน ลูกชายทั้งสองคนเจ้าค่ะ”
“เยี่ยม ! คาดว่าเจ้าเองก็น่าจะทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างลูกชายข้ากับไป๋ยู่เหลียน กลับไปครานี้ข้าจะบอกลูกชายของข้าว่าให้ลูกของเขาแต่งงานกับลูกของเจ้า และมีลูกมีหลานสืบไปบนทวีปอิงเทียนแห่งนั้น”
ดวงตาของซูเกต์ชินเปล่งประกายขึ้นมาทันใด แน่นอนว่านางย่อมเคยได้ยินผู้เป็นสามีเอ่ยถึงฟู่เสี่ยวกวน
สามีบอกว่าเขาเคยเป็นจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย และทุกวันนี้…ทุกวันนี้เขาเป็นจักรพรรดิแห่งอิงเทียน !
แม้ว่าสามีจะเป็นผู้รวมเอกราชชนเผ่าน้อยใหญ่ในอิงเทียนมาได้ ทว่าเขากลับเอ่ยว่าทหารเหล่านั้นรวมถึงตัวสามีเองล้วนแต่เป็นคนของฟู่เสี่ยวกวนทั้งสิ้น
ถ้าหากว่าบุตรของตนนั้นได้แต่งงานกับพระราชธิดาแห่งองค์จักรพรรดิ เช่นนั้นเขาก็จะกลายเป็นพ่อตาเหมือนที่สามีบอกสินะ ?
เพียงแต่ว่า…บุตรสาวคนเล็กสุดของเขา วันนี้ก็อายุห้าขวบเข้าไปแล้ว ส่วนบุตรคนโตของตนเพิ่งจะอายุสามขวบเท่านั้น ถ้าหากว่าเขามีบุตรสาวกับบรรดาภรรยาอีกสักคนก็คงจะดีมิน้อย
เมื่อคิดได้ดังนั้น ซูเกต์ชินจึงโค้งคารวะให้แก่ฟู่ต้ากวน “ขอบพระคุณนายท่านยิ่งนัก ! ”
ชายอ้วนโบกมือแล้วหันไปกำชับซูเจวี๋ยหนึ่งประโยค “อีกประเดี๋ยวหลังจากที่กินข้าวกันเสร็จแล้ว เจ้าจงนำคนจำนวนหนึ่งเดินทางล่วงหน้าไปก่อน ประการแรกเพื่อค้นหาตำแหน่งของโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้น ส่วนประการที่สอง…ไปดูว่าที่นั่นมีภัยอันตรายใดบ้าง ! ”
“จงจำเอาไว้ให้ดีว่าจะต้องระมัดระวัง อย่าได้กระทำการใดโดยมิยั้งคิดเด็ดขาด ! ”
ซูเจวี๋ยจัดหมวดแล้วตอบรับคำสั่ง
“ถ้าหากว่าสามารถจับตัวอู๋เทียนซื่อได้ จงจับตัวมันมาให้ข้า คอยดูสิว่าข้าจะลงโทษมันอย่างไร ! ”
ชายอ้วนสบถด่าอย่างไม่สบอารมณ์
หากมิใช่เพราะหลานคนนี้ บัดนี้เขาคงนั่งอยู่ที่หอตงว่างเพื่อชมทิวทัศน์เป็นเพื่อนสวีหยุนชิง
แต่บัดนี้…
แต่บัดนี้กลับต้องมาติดอยู่ในสถานที่ห่างไกล ซึ่งมิมีแม้แต่นกบินไปมา เขาต้องทนตกระกำลำบากเพราะมิมีอาหารกิน
แต่ก่อนเคยกังวลเรื่องฟู่เสี่ยวกวนตอนที่ยังอยู่ในหลินเจียง มาบัดนี้ยังต้องกลุ้มใจเพราะหลานชายอีก นี่เป็นโชคชะตาของข้าหรือเยี่ยงไรกัน ?
บัดนี้เป็นยามอาทิตย์อัสดง ชายอ้วนนวดคลึงบริเวณเอวที่เริ่มปวดเมื่อย ทันใดนั้นถึงได้ทราบว่าตนเองชรามากเพียงใดแล้ว
เขามิได้มีพละกำลังเหมือนแต่ก่อนแล้ว
เป็นปรมาจารย์แล้วเยี่ยงไรเล่า ?
ต่อให้ทำเรื่องบ้าคลั่งมาตลอดชีวิตแล้วเยี่ยงไร ?
ท้ายที่สุดก็ต้องพ่ายแพ้ให้แก่กาลเวลา เพราะมิมีผู้ใดสามารถต้านทานมันได้
เมื่อผ่านเรื่องนี้ไป ตนกับสวีหยุนชิงจะหลบไปใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายของตนเอง
เขาเดินกลับไปที่เพิงพักของตนเอง
เมื่อเปิดเพิงพักออก ชายอ้วนก็ผงะตกใจจนแข็งทื่อไปทั้งร่าง สายตาของเขามีแสงเปล่งประกายออกมาทันใด…
“เจ้ามาได้เยี่ยงไร ? ”
สวี่หยุนชิงนั่งอยู่บนเก้าอี้เตี้ย ๆ ในเพิงพัก พลางเงยหน้ามองชายอ้วน จากนั้นก็เลิกคิ้วให้เขา “ก็รับปากแล้วว่าจะมาเก็บศพเจ้า ถ้าหากข้ามิได้มาด้วยล่ะก็…ผู้ใดจะเป็นคนเก็บศพเจ้ากลับหลินเจียงกัน ? ”
ชายอ้วนหัวเราะร่าพลางถูมือด้วยความประหม่า แล้วก้าวเท้าเข้ามาในเพิงพัก จากนั้นก็ปิดม่านลง
เขานั่งลงฝั่งตรงข้ามกับสวี่หยุนชิง “เจ้า ปากคมดั่งมีด ทว่าใจอ่อนราวกับเต้าหู้ นี่แปลว่าเจ้าเป็นห่วงข้ามิใช่หรือ ? ”
สวีหยุนชิงถลึงตามองชายอ้วน “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ! ”
สวี่หยุนชิงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็ถอนหายใจยาวออกมา “พวกเราห้ามเสี่ยวกวนเอาไว้มิได้ นิสัยเขาเจ้าเองก็ทราบดี อู๋เทียนซื่อเลือกเดินทางผิด และเจ้ายังเดินทางมาเสี่ยงภัยเพื่ออู๋เทียนซื่ออีก เช่นนี้เขาจะสบายใจได้เยี่ยงไรเล่า ! ”
“ข้าควบคุมเขาได้แค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น สุดท้ายก็ดื้อด้านจะมาให้ได้ ดังนั้นพวกเราจะต้องนำหน้าเขาไปช่วยอู๋เทียนซื่อออกมาก่อน แต่ถ้าหากว่ามีภัยอันตรายอย่างแท้จริง…”
สวีหยุนชิงเงยหน้าขึ้นมองชายอ้วน สีหน้าของนางแน่วแน่เป็นอย่างยิ่ง “ข้ามิอยากให้เจ้าตาย และมิอยากส่งผู้ใดไปตายเช่นเดียวกัน ! ”
“ถ้าหากว่ามีอันตรายที่อาจจะถึงแก่ชีวิตอย่างแท้จริง ข้าหวังว่าเจ้าจะลั่นไกยิงอู๋เทียนซื่อให้ตายเสีย ! ”
ชายอ้วนตกตะลึงขึ้นมาทันใด ผ่านไปชั่วครู่…เขาจึงพยักหน้าตอบรับ
แน่นอนว่าเขาย่อมเข้าใจสิ่งที่สวีหยุนชิงกำลังจะสื่อ ฟู่เสี่ยวกวนมิมีทางลงมือกับอู๋เทียนซื่ออย่างแน่นอน ถ้าหากว่าศัตรูใช้อู๋เทียนซื่อเป็นเครื่องมือบังคับให้ฟู่เสี่ยวกวนจำยอม เช่นนั้นก็จัดการอู๋เทียนซื่อเสียยังดีกว่า
เรื่องนี้มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถทำได้
ทว่าอู๋เทียนซื่อเข้ามานานมากแล้ว บัดนี้เขายังมีชีวิตอยู่อีกหรือ ?
ถ้าหากว่าเขายังมีชีวิตอยู่ เขาจะได้พบเจออันใดมาบ้าง ?