นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1387 ทุ่งหิมะ
ตอนที่ 1387 ทุ่งหิมะ
ใจกลางของทุ่งหิมะอันกว้างใหญ่ มีสิ่งก่อสร้างใหญ่โตตั้งอยู่บริเวณใจกลาง
มันส่งลำแสงแห่งความเย็นเยียบออกมาท่ามกลางแสงสุริยา ดูลึกลับและศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง
อู๋เทียนซื่อยืนอยู่บนหิมะพลางทอดสายตามองสิ่งปลูกสร้างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน “นั่นคือโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์เยี่ยงนั้นหรือ ? นั่นเป็นบ้านของเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ความฝันที่สองส่ายศีรษะ จากนั้นก็พยักหน้า
“สำหรับพวกเจ้าแล้ว มันคือโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ เพราะโลกใบนี้ถือกำเนิดขึ้นมาจากที่นี่ แต่สำหรับข้า มันคือฐานทัพ”
“จะกล่าวว่าเป็นบ้านของข้าก็ได้ แต่ข้ามิได้ชอบมันเท่าใดนัก”
“เพราะเหตุใดหรือ ? ”
“เพราะคำว่าบ้านค่อนข้างซับซ้อน มันมิใช่แค่ที่กำบังลมฝนเท่านั้น ทว่ามันยังมีสิ่งอื่น ๆ ยกตัวอย่างเช่นพ่อแม่พี่น้อง หรือเสียงหัวเราะแห่งความสุข ความชอบ ความโกรธ ความเศร้า และยังมีควันโขมงที่ปล่องไฟ ของใช้จำเป็นต่าง ๆ เป็นต้น ”
ความฝันที่สองชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็กระพริบตาแล้วเอ่ยต่อว่า “ตอนที่บรรพบุรุษของข้ายังอยู่ ที่นี่ก็อาจจะมีบรรยากาศของคำว่าบ้าน แต่เสียดายที่ตอนนั้นข้ายังมิอาจสัมผัสได้ พอข้าสัมผัสได้กระดูกของพวกเขาก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปเสียแล้ว”
“และด้วยเหตุนี้ข้าจึงมิชอบมัน ข้ารู้สึกว่ามันมิใช่บ้าน ทว่าตรงกันข้าม ข้ามองว่ามันเป็นเหมือนหลุมศพ…มันเป็นหลุมศพที่เย็นยะเยือก ไร้ซึ่งชีวิตชีวาและว้าเหว่ยิ่งนัก ! ”
“ข้าถูกจองจำอยู่ในนั้นนับหมื่น ๆ ปี… เจ้าทราบหรือไม่ว่าการที่ต้องทนทุกข์กับความหว้าเหว่นับหมื่นปีมันรู้สึกเยี่ยงไร ? ”
ความฝันที่สองหัวเราะเย้ยหยัน จากนั้นก็เผยความรู้สึกที่มิสอดคล้องกับรูปลักษณ์ภายนอกของนางออกมา บัดนี้สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความมุ่งร้าย ชิงชังและโกรธแค้น
“ถ้าหากว่าใช้ภาษามนุษย์ของพวกเจ้ามาอธิบาย…มันก็น่าจะประมาณนี้”
“ราวกับอาศัยอยู่ภายใต้มหาสมุทรที่ไร้ซึ่งลำแสงส่องถึง รอบข้างล้วนแต่เป็นน้ำ น้ำเหล่านี้หนักเป็นอย่างมาก หนักเสียยิ่งกว่าภูเขานับแสนลูก ! ”
“มันกดทับแนบชิดติดตัวข้า จนทำให้ข้าหายใจลำบากยิ่งนัก ทำให้ข้ามิกล้าแม้แต่จะสลัดหลีกหนี”
“อืม…ก็เหมือนลิงตัวนั้นที่ถูกกดทับอยู่ใต้ภูเขาอู๋สิง” ( ซุนหงอคง )
“สิ่งที่ข้ามองเห็นหากมิใช่ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ก็เป็นทุ่งหิมะทอดยาวสุดลูกหูลูกตา”
“มันอาจจะดูเจิดจรัสในสายตาของเจ้า ทว่าในสายตาของข้านั้น…มันดูน่าเบื่อมากยิ่งนัก”
“ข้ามิได้สนทนากับผู้ใดมานานมากแล้วล่ะ ข้าขอบคุณเจ้ามากยิ่งนัก ที่ให้ข้าได้มีโอกาสสนทนากับเจ้าเหมือนคนปกติ ข้าชอบความรู้สึกเช่นนี้เป็นอย่างยิ่ง ต่อไปนี้ข้าจะทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับเจ้า”
“จงตามข้ามาเถิด หลุมศพเหล่านี้มีสิ่งของล้ำค่าอยู่มากมาย และหนึ่งในนั้นก็คือของขวัญที่ข้าอยากจะมอบให้แก่เจ้า”
“หลายวันมานี้เจ้าได้ทำความคุ้นเคยกับวิธีการใช้งานมันแล้ว ต่อไปนี้เจ้าจะได้ทำความคุ้นเคยกับองค์ประกอบต่าง ๆ ของมัน เช่น…จะขับเคลื่อนมันได้เยี่ยงไร หรือจะใช้พลังในการยิงการทำลายล้างได้เยี่ยงไร ? ”
อู๋เทียนซื่อมิเข้าใจในคำเอ่ยของความฝันที่สองเท่าใดนัก
เขาทราบมาสักพักใหญ่ ๆ แล้วว่าความฝันที่สองนั้นเป็นดั่งนางฟ้านางสวรรค์ เพียงแต่เขามิเข้าใจว่าเหตุใดความฝันที่สองถึงได้จงเกลียดจงชังสถานที่แห่งนี้มากนัก
นอกจากนี้เขามิทราบว่าภูเขาอู๋สิงตั้งอยู่ที่ใด แล้วลิงตัวนั้นที่ถูกกดอยู่ใต้ภูเขาเป็นเยี่ยงไร
และแน่นอนว่าสำหรับเขาแล้ว มันมิได้มีความน่าสนใจเท่าใดนัก สิ่งที่เขาสนใจก็คือของขวัญที่ความฝันที่สองเอ่ยถึงต่างหากเล่า
มันคือหุ่นยนต์ !
และมันมีชื่อว่าผู้พิทักษ์ !
มันแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แข็งแกร่งยิ่งกว่าอารยธรรมของต้าเซี่ย
มันกำลังจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของตน คนหนึ่งคนและหุ่นยนต์หนึ่งตัวจะออกไปพิชิตใต้หล้าด้วยกัน !
“ข้าจะแย่งชิงทุกอย่างที่เป็นของข้ากลับคืนมา ! ”
“ถ้าหากว่าเจ้าเบื่อที่จะอาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าก็ติดตามข้าออกไปด้วยกันเถิด ข้าจะสร้างโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ให้เจ้าอย่างยิ่งใหญ่ ข้าจะทำให้ชาวต้าเซี่ยทุกคนมาเคารพเจ้า ! ”
ความฝันที่สองเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับเผยรอยยิ้มกว้างออกมา
สีหน้าของนางกลับมาเป็นปกติอีกครา “แต่นั่นมิใช่บ้านที่ข้าอยากได้นี่ ! ”
“…แล้วเจ้าอยากได้บ้านแบบใดกัน ? ”
“อืม…รอให้ข้าออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อน แล้วข้าค่อยบอกเจ้าก็แล้วกัน”
“ได้สิ ! ”
อู๋เทียนซื่อเดินตามหลังความฝันที่สอง
หลิวจิ่นเดินตามหลังพวกเขาไปอย่างระแวดระวัง
เพียงแต่ว่าสายตาที่เขาใช้มองความฝันที่สองนั้น เย็นชาขึ้นกว่าเดิมหลายส่วน…
เขารู้สึกสงสัยในตัวตนของความฝันที่สองมิน้อย !
ถ้าหากว่านางเป็นนางฟ้านางสวรรค์อย่างจริง นางย่อมสามารถทำได้ทุกอย่าง
ทว่าเมื่อครู่นางเอ่ยออกมาด้วยตนเองว่า…นางถูกจองจำเอาไว้ที่นี่
นางมิสามารถหาหนทางออกไปสู่โลกภายนอกได้ ดังนั้นนางจึงใช้อู๋เทียนซื่อเป็นเครื่องมือเพื่อทำให้ความปรารถนาของนางเป็นจริงขึ้นมาใช่หรือไม่ ?
นางมีพลังที่น่าสะพรึงกลัว ถ้าหากว่านางได้ออกไปแล้ว โลกภายนอกจะมีผู้ใดสามารถสกัดกั้นนางได้ ?
คาดว่าจักรพรรดิพระเจ้าหลวงก็มิสามารถสกัดกั้นนางได้เช่นกัน
มิได้การล่ะ ! จำต้องหาโอกาสสนทนากับอู๋เทียนซื่อ เพื่อโน้มน้าวมิให้เขาถูกความเกลียดชังนั่นบดบังสายตา โน้มน้าวมิให้เขาสร้างหายนะทำลายล้างต้าเซี่ย !
อยู่ ๆ เขาก็คิดถึงฟู่เสี่ยวกวนขึ้นมาทันใด
ถ้าหากว่าพระองค์ยังอยู่ที่นี่ เขาคงจะขัดขวางการกระทำทุกอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น
บัดนี้เขารู้สึกสับสนมากยิ่งนัก เพราะอีกใจหนึ่งเขาก็ไม่อยากให้ฟู่เสี่ยวกวนเดินทางมา เพราะว่า…ราตรีอันยาวนานกำลังจะคืบคลานมาถึง และกลัวว่าความฝันที่สองจะสำแดงฤทธิ์เดชอันทรงพลังออกมา
……
……
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่บนเรือฉางอัน หลังจากที่รวมพลกับสมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเดินหน้าอย่างสุดกำลัง
พระคาร์นิดัลรูปนั้นก็เดินทางมาด้วยเช่นกัน
บัดนี้พวกเขายืนอยู่บนทุ่งน้ำแข็ง
“รู้สึกจะมิเหมือนกับคราก่อน” พระคาร์นิดัลยืนอยู่บนทุ่งน้ำแข็งพลางขมวดคิ้วเอ่ย
“ต่างกันตรงที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ทุ่งน้ำแข็งกว้างขวางกว่าเดิม ความหมายของข้าคือ…เหมือนว่ามันจะขยายขนาดขึ้น และอุณหภูมิของที่นี่ก็หนาวเย็นกว่าตอนนั้นมากนัก”
สมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองบอกเล่าเรื่องนี้ให้ฟู่เสี่ยวกวนฟัง ฟู่เสี่ยวกวนจึงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า พลางครุ่นคิดในใจว่าสถานที่แห่งนี้เป็นดินแดนขั้วโลก ตลอดหลายวันมานี้มิมียามราตรี
ฟู่เสี่ยวกวนมิทราบว่าช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างกลางวันและกลางคืนของโลกใบนี้จะยาวนานเพียงใดกัน
“ออกเดินทางกันเถิด หวังว่าพวกเราจะยังทันอยู่นะ”
ท่ามกลางลมหิมะ คนกลุ่มหนึ่งกำลังเคลื่อนขบวนเหยียบย่ำบนธารน้ำแข็งมุ่งหน้าไปทางเหนือ
ครานี้เพราะเตรียมตัวมาดี ตลอดเส้นทางจึงมิพบเจออันตรายใด อย่างน้อย ๆ ก็มิมีผู้ใดหนาวตาย หรือตายเพราะความหิว
สถานการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ จนกระทั่งเดินมาได้เดือนกว่าก็ยังไร้ซึ่งวี่แววของโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ที่พระคาร์นิดัลเอ่ยถึง
นับวันฟู่เสี่ยวกวนยิ่งกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะอู๋เทียนซื่อเข้ามาที่นี่นานกว่าครึ่งปีแล้ว และเพราะว่าเขาติดต่อกับพวกชายอ้วนมิได้ และมิทราบว่าเขาได้เดินทางมาถึงดินแดนต้องห้ามแห่งนั้นแล้วหรือไม่
พวกเขาได้เดินเข้ามาสู่ส่วนลึกของทุ่งหิมะ ทั่วสารทิศมีเพียงหิมะขาวโพลน มีเพียงแค่เข็มทิศในมือเท่านั้นที่สามารถบอกเส้นทางที่ถูกต้องได้
วันเวลาล่วงเลยไปเช่นนี้ อยู่ ๆ ทหารที่อยู่เบื้องหน้าก็เหมือนสะดุดเข้ากับอันใดบางอย่าง
เมื่อเขาใช้กระบองในมือขุดกองหิมะออกก็ต้องตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน…
เพราะนั่นคือศพ !
อุณหภูมิที่ดินแดนขั้วโลกได้รักษาร่างของศพเอาไว้อย่างดี เมื่อพระคาร์นิดัลได้พิจารณาใกล้ ๆ แล้ว เขายืนยันว่าศพนี้เป็นหนึ่งในสมาชิกที่มากับเขาเมื่อคราก่อน
เพราะการแต่งตัวของเขา และด้วยร่องรอยที่เคยถูกกัดเป็นอาหารบนตัวเขา
“อีกมิไกลแล้ว ใช้เวลาเดินเท้ามากสุดแค่สามวันเท่านั้น”
ฟู่เสี่ยวกวนลองพิจารณาดูแล้ว ดังนั้นเขาจึงหันไปเอ่ยกับสมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองว่า “คนของพวกเจ้าทุกคนจงรออยู่ที่นี่ ถ้าหากว่าผ่านไปแล้วสิบวัน ข้ายังมิกลับมา…พวกเจ้าจงรีบกลับไปโดยเร็ว ! ”
“ข้าจะไปกับท่านด้วย ! ”
“มิได้ที่นั่นอันตรายเกินกว่าพวกเจ้าจะคาดเดาได้ ในมือของข้ามีชุดที่ป้องกันอันตรายนั่นเพียงแค่สองชุดเท่านั้น”
“ข้าและจี้หยุนกุยจะเข้าไปสองคน เชื่อข้า แล้วปักหลักรออยู่ที่นี่ อย่าได้เกิดความสงสัยใคร่รู้เป็นอันขาด ! ”
สมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองนิ่งเงียบไปชั่วครู่ แล้วพยักหน้าตอบรับ “ข้าจะรอท่านกลับมา”
“ดี ! ”
“จำต้องระมัดระวังให้มาก ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนและจี้หยุนกุยสวมชุดป้องกันนั่น ฟู่เสี่ยวกวนเปิดกล่องดำออก แล้วพิจารณาตรวจสอบปืนกระบอกนั้นอย่างใกล้ชิด จากนั้นก็ยกกล่องดำเดินเข้าไปยังส่วนลึกของทุ่งน้ำแข็ง
ในเวลาเดียวกัน บนอีกฟากหนึ่งของทุ่งหิมะ ชายอ้วนและสวี่หยุนชิงได้นำชุดป้องกันที่สวี่ชิงเยียนเตรียมไว้ให้เจ็ดชุดสวมเอาไว้
สวี่หยุนชิงมิได้ไปด้วย
นางเงยหน้าขึ้นมองชายอ้วน “เมื่อพวกเรากลับไปถึงเมืองจินหลิง ตอนนั้นก็น่าจะเป็นฤดูใบไม้ผลิพอดี”
“แม้ว่าจะไม่มีต้นพุทราบนวัดฟูจื่อแล้ว ทว่าต้นหลิวที่ริมแม่น้ำฉินหวายยังคงอยู่”
“ข้ารอเจ้าไปชมต้นหลิวที่แม่น้ำฉินหวาย จากนั้นค่อยไปชมบทกวีที่หลานถิงจี๋ด้วยกัน”
“อืม…พวกเราต้องไปแล้ว”
“รีบไปเถิด จำต้องระวังตัวให้มาก ๆ นะ ! ”