นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1389 ดั่งขุมนรก
ตอนที่ 1389 ดั่งขุมนรก
ชายอ้วนยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก
“สถานที่เฮงซวยนี่ พวกเจ้าคิดว่าเหตุใดดวงสุริยาถึงไม่ลาลับภูเขาล่ะ ? ”
ซูเจวี๋ยยกมือขึ้นจัดหมวกทรงสูง เขาลองใคร่ครวญชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยออกมาอย่างตั้งใจว่า “อาจารย์ ที่นี่ไม่มีภูเขา”
ชายอ้วนผงะพลางหันหน้าไปมองทั่วสารทิศ ทุกแห่งล้วนแต่เป็นทุ่งหิมะที่ทอดยาวไร้ซึ่งขอบเขต ที่นี่ไม่มีภูเขาจริง ๆ ด้วย
แม้แต่ภูเขาหิมะลูกยักษ์นั่นก็มองไม่เห็นแล้ว
“คำเอ่ยของศิษย์พี่ใหญ่มิถูกต้อง ! ”
ซูม่อจ้องมองซูเจวี๋ยที่กำลังจัดทรงหมวกทรงสูงด้วยสายตาที่อยากจะเปิดออกดูเสียเหลือเกินว่าอีกาตัวนั้นยังปกติดีอยู่หรือไม่…
ถ้าหากว่าอีกาตัวนั้นยังอยู่ข้างใน เช่นนั้นมันมีชีวิตอยู่บนศีรษะของศิษย์พี่ใหญ่มานานเพียงใดแล้วกัน ?
มันจะสร้างบ้านหรือออกไข่เป็นอีกาตัวน้อย ๆ หรือไม่ ?
เมื่อเห็นซูม่อจ้องมองตนด้วยสายตารุ่มร่าม ศิษย์พี่สามจึงกระแอมเสียงเบา เข็มปักผ้าเคลื่อนผ่านผ้าปัก แล้วแทงทะลุเข้าไปในเส้นผมของเขา
ซูม่อวางมือที่ถือกระบี่ลง จากนั้นก็หัวเราะแก้เก้อ “ตอนนั้นศิษย์น้องเคยเอ่ยว่า… การที่ดวงสุริยาขึ้นและตกนั้น มิได้มีสาเหตุมาจากภูเขา แต่เป็นเพราะใต้หล้านี้เป็นทรงกลม”
ใบหน้าอวบอ้วนของเกาหยวนเผยความสงสัยออกมา “ถ้าหากว่าใต้หล้าเป็นทรงกลม พวกเราจะมิร่วงหล่นกันหรือ ? ข้าว่าเจ้าฟังมาผิดแล้ว ! ”
ศิษย์พี่สี่ ซูปิงปิงหัวเราะเสียงดังลั่น “ในเมื่อศิษย์น้องเอ่ยว่าใต้หล้าที่พวกเรากำลังเหยียบย่ำอยู่เป็นทรงกลม… แน่นอนว่ามันต้องเป็นทรงกลม”
ศิษย์พี่ศิษย์น้องเริ่มถกเถียงเรื่องนี้กันขึ้นมา ชายอ้วนรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าจนต้องยกมือขึ้นกุมขมับ “หุบปาก ! ” ชายอ้วนดุเสียงดัง
ทันใดนั้นเสียงถกเถียงกันก็เงียบลงโดยอัตโนมัติ
“ซูเจวี๋ย เจ้าเอ่ยว่าเจ้าเห็นโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์นั่นกับตาของตนเองจริงหรือ ? ”
“เรียนท่านอาจารย์ หากใช้วิชาตัวเบาเดินทาง จะใช้เวลาเพียงแค่สามชั่วยามเท่านั้น”
“แล้วเจ้ายังเห็นอันใดอีกหรือไม่ ? ”
“เรียนท่านอาจารย์ นอกจากโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็มิเห็นอย่างอื่นอีกเลย… เพราะท่านอาจารย์อาเล็กได้เตือนเอาไว้ว่าอย่าเข้าไปใกล้เด็ดขาด ดังนั้นข้าจึงมิได้เข้าไปดูใกล้ ๆ คาดว่าเด็กหญิงคนนั้นที่ท่านอาจารย์เอ่ยถึงน่าจะอยู่ในโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้น”
“ข้าทราบแล้ว พวกเจ้าอย่าได้ดูถูกเด็กหญิงผู้นั้นเชียว… ข้าคิดว่านางคืออสุรกาย”
“พวกเจ้าจงตรวจตราอาวุธให้ดี และจงจำเอาไว้ว่าพระสูตรเก้าหยางของสำนักเต๋าสามารถสลัดความหนาวได้”
ชายอ้วนเงยหน้าขึ้นมองท้องนภา “บัดซบ ถ้าหากว่าท้องนภามืดมิดขึ้นมา มันจะต้องหนาวมากเป็นแน่ ! ”
“ออกเดินทางกันเถิด ปรับพลังภายในให้ดี ถ้าหากว่าท้องนภามืดมิดขึ้นมาจริง ๆ จงจำเอาไว้ว่ารีบใช้วิชาพระสูตรเก้าหยางทันที”
หลังจากสั่งการเรียบร้อยแล้ว ชายอ้วนและคนอื่น ๆ อีกเจ็ดคนจึงเริ่มออกเดินทางทันที
……
……
ความฝันที่สองนั่งอยู่บนหลังคา นางมิได้มองไปที่หุ่นยนต์ที่อู๋เทียนซื่อกำลังบังคับอยู่บนทุ่งหิมะ ทว่านางจ้องมองไปยังท้องนภาที่ยังคงเป็นสีฟ้าสดใส
อีกสิบสองชั่วยาม
บัดนี้ผ่านไปแล้วสิบเอ็ดชั่วยามครึ่ง !
ดวงสุริยาเริ่มเอนเอียงไปทางขอบฟ้า อีกแค่ครึ่งชั่วยาม ที่นี่ก็จะกลายเป็นราตรีอันยาวนาน
ความฝันที่สองเผยอมุมปากขึ้น จากนั้นก็เผยรอยยิ้มกว้างออกมา
เพราะว่านางเริ่มเห็นเงาของคนสองมาไกล ๆ
ไม่ทราบว่าหัวใจของหนี่วาจากสถานที่แห่งนี้ไปตั้งแต่เมื่อใด ร่างแยกของมันถูกตนบี้จนแหลกลาญ นางมิทราบว่าสองคนนั้นเป็นผู้ใด ทว่านางรู้สึกได้ว่าหนึ่งในนั้นคือคนที่นางกำลังรอคอย
นางหรี่ตาลงช้า ๆ สายตาพลันเย็นชาขึ้นมาทันใด
เจ้าสารเลวหนี่วา !
มันหนีออกไปจากที่นี่ตั้งแต่เมื่อใดกันนะ ?
แล้วมันหนีออกไปได้อย่างไรกัน ?
จากกฎที่คนเหล่านั้นตั้งขึ้นมา หนี่วาถือเป็นปัญญาประดิษฐ์ หน้าที่ของมันแทบมิต่างอันใดกับตน มันเป็นเพียงแค่ผู้สังเกตการณ์ของใต้หล้านี้เท่านั้น
ทว่ามันกลับหนีออกไปจากที่นี่ได้โดยไร้ซึ่งซุ่มเสียง กลายเป็นผู้เข้าร่วมของโลกภายนอก
มันข้องเกี่ยวกับโลกใบนั้นมานานเพียงใดแล้วกัน ?
หรือว่ามันได้อ่านความคิดของตน แล้วล่วงรู้แผนการทั้งหมดที่ตนมี ?
หากเป็นเช่นนี้ มันจะจัดการกับตนอย่างไรกันนะ ?
ความฝันที่สองมิอาจล่วงรู้ได้
แต่นางก็ไม่ได้หวาดกลัวแต่อย่างใด
เพราะนางมีอาวุธป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้านี้ ซึ่งนั่นก็คือ…หุ่นยนต์นั่นเอง !
และนางยังมีอู๋เทียนซื่ออยู่ในกำมืออีกด้วย !
เขาคือบุตรชายของฟู่เสี่ยวกวนผู้ที่สวรรค์ส่งลงมา เมื่อต้องเผชิญหน้ากับบุตรของตนเอง เขาคงจะระวังเพื่อมิให้พลาดพลั้งไปทำร้ายบุตรของตนเอง ในตอนนั้นคงเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับกำจัดฟู่เสี่ยวกวน
สายตาของนางจ้องมองไปที่อาทิตย์อัสดง รอยยิ้มบนใบหน้าของนางยิ่งเฉิดฉายขึ้นเรื่อย ๆ
ในขณะนี้ ฟู่เสี่ยวกวนและจี้หยุนกุยนั่งอยู่บนเส้นขอบฟ้าของทุ่งหิมะ
เขายกกล้องส่องทางไกลขึ้นมา เห็นฐานนิวเคลียร์ผ่านกล้อง เขามองฐานแห่งนั้นเพียงแค่ครู่เดียว แต่เมื่อลองหันกล้องส่องท้องนภา
ดวงสุริยาบนท้องนภาอันตรธานหายไปแล้ว !
บริเวณนั้นกลายเป็นสีดำทะมึนทั้งแถบ !
ราวกับว่ามีมือที่มองไม่เห็นดึงม่านสีดำมืดลงมา !
ม่านผืนนี้ปกคลุมท้องนภาด้วยความเร็วที่สายตามองเห็น ครู่หนึ่งหลังจากนั้น ท้องนภาก็มืดสนิท !
จี้หยุนกุยมองความมืดมิดด้วยสายตาตกตะลึงอย่างถึงที่สุด
“…ราตรีอันยาวนานมาถึงแล้ว ! ”
“ใช่ มันมาถึงแล้ว ! ”
ส่วนบรรดาชายอ้วนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งชะงักฝีเท้าลงทันใด
พวกเขาหันหน้าไปมองความมืดเป็นสายตาเดียวกัน แต่ละคนต่างก็อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
ซูเจวี๋ยจัดหมวกทรงสูงด้วยสองมือ แล้วบ่นพึมพำว่า “นี่มันเรื่องอันใดกัน ? ”
มือที่กำลังปักผ้าของซูโหรวหยุดลงทันใด นางยืนอยู่ข้างกายของซูเจวี๋ย อยู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนว่ามีลมหนาวกรีดแทงเข้าไปในกระดูก
มีสายลมพัดพามาจากขอบฟ้า
หิมะที่กำลังร่วงโรยลงมาเริงระบำไปตามแรงลม
ทันใดนั้นก็มีลมพัดอย่างรุนแรง เสียงหวีดหวิวราวกับเสียงของอสูรกาย
หิมะถล่มหนักทันใด เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวมันก็ครอบคลุมไปทั่วบริเวณ
ชายอ้วนกลืนน้ำลายลงคอหนึ่งอึก “ยามราตรีโถมดั่งน้ำขึ้น…กลืนกินทุกถิ่นแดน...นี่ต้องเป็นเพราะสวรรค์พิโรธเป็นแน่ ! ”
“แล้วพวกเราจะทำเยี่ยงไรต่อไปดี ? ”
“พวกเราต้องบุกไปให้ถึงโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ก่อนที่มันจะกลืนกินพวกเรา ! ”
ดังนั้นพวกเขาจึงเหินขึ้นสู่ท้องนภาทันใด เงาคนพาดผ่านพื้นธรณีที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะคนแล้วคนเล่า พวกเขาต่างก็เร่งรีบไปยังโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้น
ตอนที่พวกชายอ้วนจากไปแล้วนั้น สถานที่แห่งนั้นมีคนผู้หนึ่งมาเยือน
คนผู้นั้นก็คือ…สวีหยุนชิง
นางมิได้ตามพวกเขาไป
นางยังคงหยุดยืนอยู่ตรงนั้น
พลางจ้องมองความมืดมิดด้วยใบหน้าที่ไม่ทุกข์และไม่สุข
การรุกรานของความมืดเร็วขึ้นเรื่อย ๆ
ในขณะที่ชายอ้วนและคนอื่น ๆ เข้าไปใกล้โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ในระยะหนึ่งร้อยจั้ง… พวกเขาต่างก็ชะงักฝีเท้าลงทันควัน มืออวบอ้วนโบกเพื่อส่งสัญญาณแล้วนำเอาปืนลงมาจากหลัง
“หลีกไป… ! ”
เขาแผดเสียงคำรามดังลั่น ซูเจวี๋ยและคนอื่น ๆ เห็นอสุรกายที่ทำมาจากเหล็กทะยานลงมาจากท้องนภา
“ปัง… ! ”
เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว อู๋เทียนซื่อบังคับหุ่นยนต์มาเบื้องหน้าพวกชายอ้วน
เขานั่งอยู่ในหอบังคับการ จากนั้นก็เผยรอยยิ้มเย็นยะเยือกออกมา
“พวกเจ้า…จงไปตายเสียเถิด ! ”
อู๋เทียนซื่อควบคุมหุ่นยนต์ จากนั้นก็ยกแขนหุ่นยนต์ขึ้นมา คิ้วบางของชายอ้วนขมวดเข้าหากันทันใด จากนั้นก็ลั่นไกปืนออกไปอีกครา
“ปัง… ! ”
เสียงปืนดังลั่นไปทั่วบริเวณ
ประกายไฟสว่างวาบออกมาจากปลายกระบอกปืน
เมื่อความมืดมาเยือน ประกายไฟปลายกระบอกปืนเมื่อครู่ทำให้แสบตาไม่น้อย ชายอ้วนเริ่มตาพร่ามัว จากนั้นลางสังหรณ์ของความอันตรายก็ผุดขึ้นมาเต็มหัวใจ ดังนั้นเขาจึงรีบทะยานขึ้นไปบนท้องนภาทันใด
“ปัง ๆ ๆ ๆ ๆ ”
เสียงปืนดังสะท้านไปทั่วบริเวณ เขารีบหลบออกมาจากลำแสงของอสุรกาย แล้วทำท่ากึ่งคุกเข่า จากนั้นก็เล็งเป้าเพื่อลั่นไกปืนอีกครา
กระสุนปืนพุ่งไปที่หน้าอกของเจ้าอสูรกายใหญ่ยักษ์นั่น
ประกายไฟประทุขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด
อสูรกายตัวนั้นล้มลงไปบนพื้น
จากนั้นมันก็หมุนร่างไปอีกทาง ส่วนภายในมือใหญ่ได้กราดยิงไปทางพวกซูเจวี๋ย
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนและจี้หยุนกุยได้ยินดังนั้น จึงทะยานฝ่าดงความมืดเข้ามา
ท่ามกลางความมืดมิดนี้
ราวกับว่าตนนั้นได้ติดอยู่ในขุมนรกก็มิปาน