นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 15 จากมัธยัสถ์สู่ความหรูหรา
ตอนที่ 15 จากมัธยัสถ์สู่ความหรูหรา
“นี่… นี่คือฝีมือของฟู่เสี่ยวกวนหรือ” จางเหวินฮั่นลุกขึ้นยืนทันพลัน แต่พัดในมือนั้นกลับไม่สั่นไหวอีก
หลิวจิ่งหางได้ท่องบทกวีทั้งสองโคลงนั้นจบแล้ว และเงียบไปเสียอึดใจ
“คุณชายจางมิเชื่อรึ” ต่งชูหลานยิ้มอย่างไม่แยแส และกล่าวอีกว่า “ช่วงค่ำของวันที่ห้าต้นเดือนห้า ฟู่เสี่ยวกวนแต่งขึ้น ณ หมู่บ้านเสี้ยชุนเรือนซีซาน… ข้าจำได้ว่าคุณชายจางยังได้แต่งชิงผิงเล่อขึ้นมาในคืนที่ห้าของต้นเดือนห้าเช่นเดียวกัน และได้รับคำชื่นชมจากผู้คนอย่างล้นหลาม อีกทั้งยังเป็นบทกวีอันดับหนึ่งในเทศกาลตวนอู่ พรสวรรค์ทางวรรณกรรมของคุณชายจางเป็นเยี่ยงไรตัวข้าย่อมรู้ดี เยี่ยงนั้นคุณชายจางมีความคิดเห็นเยี่ยงไรเกี่ยวกับบทกวีทิศใต้ของฟู่เสี่ยวกวน?”
รอยยิ้มค่อย ๆ หดหายไปจากใบหน้าของจางเหวินฮั่น พัดในมือสั่นเทาเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “ข้าจะกล้ามิเชื่อคำพูดของคุณหนูต่งได้เยี่ยงไร เพียงแค่… ในอดีตคุณชายฟู่นั้นค่อนข้างเหลวไหล และมิเคยแต่งบทกวีมาก่อน ข้าเพียงรู้สึกว่ามันน่าประหลาดใจยิ่งนัก บทกวีทิศใต้ของฟู่เสี่ยวกวนนั้น ที่ข้าต้องถอนหายใจ ก็เพราะมิกล้าจะวิจารณ์ จากที่ได้มองในตอนนี้ ฟู่เสี่ยวกวนเปลี่ยนแปลงไปมากนัก เป็นข้าเองที่เอาแต่ปิดหูปิดตา”
หลิวจิ่งหางย่อมไม่พึงพอใจ ในตอนที่เขากำลังจะกล่าว กลับพบว่าจางเหวินฮั่นโบกมือให้กับเขา “ผู้มีพรสวรรค์แห่งหลินเจียง ฟู่เสี่ยวกวนคู่ควรกับตำแหน่งนั้น เพียงแค่บทกวีสองบทนี้ ก็ทำให้ข้าเลื่อมใสอย่างยิ่ง เพียงแต่น่าเสียดายที่ในวันพรุ่งนี้ข้าจักต้องออกเดินทางไปเมืองหลวงแล้ว พลาดโอกาสที่จะขอคำชี้แนะจากคุณชายฟู่ไปเสียแล้ว… ศิษย์น้องจิ่งหาง ต่อจากนี้ก็เข้าหาคุณชายฟู่ หากได้รับผลงานชิ้นเอกของคุณชายฟู่ ก็อย่าได้ลืมแบ่งปันให้กับศิษย์พี่ และชื่นชมไปด้วยกัน”
หลิวจิ่งหางเงียบไปอึดใจ และตอบกลับว่า “ย่อมเป็นเยี่ยงนั้น”
นอกจากทั้งสองคนที่นั่งอยู่ ส่วนใหญ่นั้นจะเป็นพ่อค้า ถึงแม้จะได้อ่านบทกวีมาผ่าน ๆ แต่ก็มิได้เชี่ยวชาญ จากที่ได้ฟังจางเหวินฮั่นกล่าวมา นั่นย่อมหมายความว่าบทกวีของฟู่เสี่ยวกวนนั้นเหนือกว่าจางเหวินฮั่นอยู่หนึ่งขั้น
แต่ละคนต่างมองหน้ากันไปมา แต่กลับเป็นเถ้าแก่หยางอีชาน พ่อค้าข้าวหยางจี้ที่หัวเราะขึ้นมา “หัวหน้าตระกูลฟู่มักจะไปมาหาสู่กับข้า เรื่องที่น่าปวดหัวที่สุดทุกครั้งที่คุยกันก็มิพ้นเรื่องของฟู่เสี่ยวกวน แต่ในวันนี้ดูเหมือนว่าบุตรชายของตระกูลฟู่จะมีความก้าวหน้าแล้ว นั่นเป็นเรื่องที่ดีนัก สี่ผู้มีพรสวรรค์แห่งหลินเจียง คุณชายจางเดินทางไปเมืองหลวงเพื่อไปสอบเป็นจอหงวนที่จินหลวนเตี้ยน จากนั้นก็โผบินไปอยู่ในราชสำนัก ดังนั้นหลินเจียงจึงเหลือเพียงสามผู้มีพรสวรรค์ แต่ในวันนี้คุณชายตระกูลฟู่ก็ได้แสดงพรสวรรค์ทางด้านวรรณกรรม มาเติมเต็มอย่างได้จังหวะ แสดงให้เห็นว่าหลินเจียงได้เป็นสถานที่ที่ให้กำเนิดยุคทองของวรรณกรรมอย่างแท้จริง”
“ที่อาวุโสหยางกล่าวมาก็มีเหตุผล หากมิใช่คุณหนูต่งนำบทกวีทั้งสองออกมาในวันนี้ ข้าเองก็คงมิทราบเลย มาเถิดดื่มเพื่อขอให้เพิ่มพูนผู้มีพรสวรรค์ให้แก่หลินเจียงอีกสักคน ! ”
ผู้ที่กล่าวก็คือฟ้านขุย หัวหน้าตระกูลค้าข้าวฟ้านจี้ ฟ้านขุยชนจอก ทุกคนต่างก็ชื่นชมและดื่มด้วยกัน
จางเหวินฮั่นรู้สึกว่าสุราจอกนี้ดื่มได้ยากยิ่งกว่าพิษ แต่ใบหน้าของเขาก็ยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้ม ดื่มจนสุราไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว
“บทกวีสองโคลงนี้เป็นผลงานที่มีชื่อเสียงของคุณชายฟู่ คู่ควรที่จะเผยแพร่ไปทั่วหล้า หลังจากที่ข้าจากไป จิ่งหางจงนำบทกวีสองโคลงนี้ไปให้แม่นางฝานตั่วเอ๋อร์ที่หออี้หงได้หรือไม่ การขับร้องของนางถือได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งของหลินเจียง หากถูกขับร้องโดยนาง จะไม่เป็นการดูถูกพรสวรรค์ของคุณชายฟู่เป็นแน่” จางเหวินฮั่นพูดกับหลิวจิ่งหางราวกับสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิ
ในใจของหลิวจิ่งหางเกิดความสงสัย แต่ก็ยังคงพยักหน้ารับ
ด้วยเหตุนี้ บทกวีสองโคลงนี้จึงขจรไปไกล ชื่อเสียงผู้มีพรสวรรค์ของฟู่เสี่ยวกวน จึงกระฉ่อนด้วยประการฉะนี้
และแน่นอน ฟู่เสี่ยวกวนในเวลานี้หาได้รู้ไม่ว่า ณ หอหลินเจียง ต่งชูหลานได้แก้ไขชื่อเสียงให้แก่เขา ด้วยการโยนบทกวีสองโคลงของเขาออกไป
……
…..
เรือนหลังใหญ่ ต้นไทรเก่าแก่ และเก้าอี้ตัวใหม่
ฟู่เสี่ยวกวนเอนกายอยู่บนเก้าอี้ ชุนซิ่วคอยเขย่าพัดอยู่ข้างเขา ในมือของเขาถือหนังสือเล่มเล็ก ๆ หนึ่งเล่ม ยังคงเป็นบันทึกผลผลิตทุ่งนาของตระกูล จนถึงวันนี้เขาก็ยังอ่านไม่จบ
“ซิ่วเอ๋อร์ น้ำ”
ชุนซิ่วยื่นน้ำชาอุ่น ๆ ไปถึงมือของเขา
“ซิ่วเอ๋อร์ ร้อน”
ชุนซิ่วไปหยิบน้ำแข็งและแตงโม นางทำแตงโมใส่น้ำแข็งมาให้หนึ่งชาม
“ซิ่วเอ๋อร์…”
“เจ้าค่ะ”
“ต่อจากนี้ ทำสิ่งนี้มาสามถ้วย เจ้า ข้า และเขา——ถึงเขาจะผีเข้าผีออก แต่ทุกคนก็ต้องทานด้วยกัน จึงจะมีรสชาติดี”
“คุณชาย…”
“คุณชายกล่าว เจ้าต้องฟัง”
“เจ้าค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าคำพูดนั้นมีเหตุผลอย่างมาก จากมัธยัสถ์สู่ความหรูหรา
เขารู้สึกว่าตัวเองนั้นใช้ชีวิตอย่างหรูหราสุด ๆ แต่ชีวิตเยี่ยงนี้ก็สบายใจเป็นอย่างมาก
ภายในระยะเวลาสั้น ๆ เขาได้เปลี่ยนแปลงนิสัยเฉื่อยชาของโลกก่อนหน้านี้ไปแล้ว และได้เปลี่ยนนิสัยของตนเองไปอย่างช้า ๆ เมื่อเริ่มผสานเข้าสู่โลกนี้ ก็พยายามแสดงบทบาทที่คุณชายใหญ่ของตระกูลเศรษฐีที่ดินควรจะเป็น
แน่นอนว่าเรื่องแต่งตัวล้างหน้าแปรงฟันอาบน้ำเหล่านั้น เขายังคงจัดการมันด้วยตนเอง เพียงแค่ชีวิตนั้นดูอู้ฟู่ขึ้นเรื่อย ๆ
จากความเข้าใจที่ได้มาจากหนังสือเล่มเล็กเหล่านั้น เขาก็เข้าใจยิ่งขึ้นว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าตระกูลมั่งคั่ง
สิ่งที่เรียกว่าเงิน… สามารถทำให้ชีวิตของตนเองในแต่ละวันนั้นสบายยิ่งขึ้น แน่นอนว่าต้องมีค่าใช้จ่ายออกไป
ได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งหากยังคงตระหนี่เหมือนกร็องเด้ต์[1] คงไร้ความหมายอย่างยิ่ง
“ซิ่วเอ๋อร์… หากมีเวลา… ก็ไปหาสาวใช้มาสักเจ็ดแปดคน เอาที่สามารถทำอาหารได้ เจ้าก็คอยดูแลพวกนางไว้ให้ดี มีลูกน้องสักหน่อย เจ้าจะได้สบายยิ่งขึ้น”
“นั่น…”
“ยังมีอีก ข้าคุณชายผู้นี้จะยังมีธุรกิจอีกมากมายในภายภาคหน้า ข้าต้องการหาหญิงสาวที่งดงามและมีความสามารถหลากหลายเสียหน่อย… ไม่ต้องรีบ เจ้าค่อย ๆ สรรหาไป หากฝ่ายตรงข้ามยินยอม เจ้าก็จงพามาให้ข้าดู”
“คุณชาย…”
ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือ “เรื่องปกติ อย่าได้คิดไร้สาระ”
“บ่าวมิได้คิดไร้สาระเลยเจ้าคะ แต่สาวงามที่มีความสามารถหลากหลาย… หากมิใช่บุตรีของตระกูลขุนนาง เยี่ยงนั้น คาดว่าจะหาได้จากหอนางโลมเพียงเท่านั้นเจ้าค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง “อ่า… เยี่ยงนี้หรอกรึ ข้ารู้แล้ว”
……
…..
หยู๋จงถานจากร้านขายกระจกและเจียงชั่งโหลวจากร้านเครื่องลายครามเจียงชื่อที่ซีฝาง ต่างก็ถือกล่องมาคนละใบ เดินเข้ามาในสวนหลังบ้าน ภายใต้การนำทางของพ่อบ้านใหญ่หวง
หวงเวยเกิดความสงสัยเป็นอย่างมาก
ช่วงนี้เขาได้ยินข่าวคราวของคุณชายมาอย่างหนาหู ส่วนมากเป็นข่าวที่มาจากเรือนซีซาน อย่างเช่นคุณชายได้ผลิตสุราชั้นดีขึ้นมามีนามว่ายอดสุราซีซาน หรือไม่ก็คุณชายได้ซื้อที่รกร้างผืนใหญ่ข้างเรือนแล้ว หรืออย่างเช่นคุณชายกำลังรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับนายช่างด้านต่าง ๆ
เขาย่อมเข้าใจเป็นอย่างดีว่าคุณชายตระกูลฟู่นั้นมีพฤติกรรมน่าระอาขนาดไหน ความกำเริบของเขาเมื่อหลายวันก่อน เกือบจะคร่าชีวิตน้อย ๆ ของเขาไปแล้ว แต่จากที่เห็นในวันนี้ ราวกับว่าคุณชายได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างแท้จริง
ทั้งสองคนนี้เป็นคนที่คุณชายเชื้อเชิญมา เขามิทราบว่าต้องการทำอะไร ดังนั้นจึงพาคนทั้งสองเข้ามา และเขาก็ไม่ได้จากไป
“นั่งเถิด ซิ่วเอ๋อร์ รินชา”
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นจากเก้าอี้เอน แล้วนั่งลงที่โต๊ะหินในศาลา ทั้งสามคนต่างทักทายกัน จากนั้นคุณชายก็มองไปที่หยู๋จงถานและกล่าวยิ้ม ๆ “เถ้าแก่หยู๋ นำมาให้ข้าดูสิ”
หยู๋จงถานส่งกล่องไปให้ แล้วกล่าวว่า “ตามความต้องการของคุณชายฟู่ นายช่างของข้าหลายคน ต่างก็พยายามใช้ความคิดกันอย่างมาก ท่านลองดูว่าถูกใจหรือไม่”
ฟู่เสี่ยวกวนเปิดกล่องออก หยิบแก้วทรงสูงออกมา ลูบคลำจากบนลงล่างอย่างพินิจ และนำขึ้นส่องกับแสงแดดเพื่อดูประกาย แล้วเอ่ยถาม “สามารถทำให้ใสกว่านี้ได้หรือไม่”
หยู๋จงถานส่ายหน้า “ขั้นตอนการฟอกสีสามารถทำได้เพียงเท่านี้”
ของสิ่งนี้ออกสีเหลืองเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่ไม่เลวเลยทีเดียว
“ยังคงมีช่องว่างให้ต้องปรับปรุงอีกมาก ให้นายช่างทำการศึกษาเข้าเสีย สำหรับตอนนี้ก็ให้เป็นเยี่ยงนี้ไป ข้าต้องการ 1,000 ชิ้น ต้องใช้เวลานานเท่าใดจึงจะนำมาส่งได้”
“การจัดทำค่อนข้างยุ่งยาก ข้าคาดไว้ว่าเร็วที่สุดคือสิบวัน”
“เสนอราคามา”
ในใจของหยู๋จงถานได้เตรียมพร้อมเอาไว้แต่เนิ่น ๆ แล้ว เนื่องจากเป็นการเสนอราคา ฝ่ายตรงข้ามย่อมต่อราคาเป็นแน่ เยี่ยงนั้นย่อมเสนอราคาให้สูงไว้ก่อน
“1 ชิ้น 100 อีแปะ”
“100 อีแปะรึ?” ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้ว หยู๋จงถานใจกระตุก แต่กลับพบว่าฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยกับชุนซิ่วเยี่ยงนี้ “ซิ่วเอ๋อร์ นำพู่กันและน้ำหมึกมา”
“หยู๋หลงจู๊ นี่คือการทำธุรกิจครั้งแรก ข้าจะไม่ต่อรองกับเจ้า 100 อีแปะต่อ 1 ชิ้นตามนั้น ข้าให้เวลาเจ้าสิบวัน แต่เจ้าจงจำไว้ สินค้าจะต้องเป็นเยี่ยงแก้วนี้ หากคุณภาพต่ำกว่าแก้วนี้ ข้าไม่ต้องการ นอกจากนี้ ใต้แก้วนั้นข้าต้องการประทับตัวอักษรเทียนฉุนด้วย พวกเรามาเซ็นสัญญาซื้อขายสินค้าชุดนี้กันก่อนเถิด ข้าจะจ่ายมัดจำให้เจ้า 2 ส่วน อีกสักประเดี๋ยวข้าจะให้กระดาษใบเล็กแก่เจ้า หลังจากนั้นจงนำไปเบิกที่ห้องคลัง”
หยู๋จงถานดีใจเป็นอย่างยิ่ง และรีบกล่าวอย่างรวดเร็ว “คุณชายฟู่วางใจเถิด ข้าจะรักษาคุณภาพของสินค้าไว้ ต่อจากนี้หากต้องการสิ่งใด เพียงแค่คุณชายฟู่สั่งมา ข้าจะหาทุกวิถีทางเพื่อทำออกมาให้ได้”
หวงเวยไม่คาดคิดว่าคุณชายจะตัดสินใจอย่างเด็ดขาดไปเสียแล้ว
สิ่งนี้ดูแล้วเหมือนจะเป็นแก้วสุรา ของเล็ก ๆ ชิ้นนี้ หนึ่งชิ้นมีค่าถึง 100 อีแปะเชียวหรือ สินค้าฟอกสีถึงแม้จะมีราคาสูง แต่สินค้านี้มีขนาดเล็กยิ่งนัก คุณชายยังอยากจะได้อีก 1,000 ชิ้นหรือ? ต้องการทำอันใดกันแน่?
แน่นอน เมื่อคุณชายตัดสินใจเยี่ยงนั้นแล้ว ในฐานะหัวหน้าพ่อบ้านตระกูลฟู่ ย่อมไม่สามารถพูดอะไรได้มากไปกว่านี้
ฟู่เสี่ยวกวนได้ทำสัญญากับหยู๋จงถาน เขียนใส่กระดาษเล็กหนึ่งใบแล้วส่งให้กับหยู๋จงถาน แก้วสุรานี้ทิ้งไว้ที่เขา หยู๋จงถานจากไปด้วยความยินดี
เมื่อได้เห็นขวดลายครามที่เจียงชั่งโหลวนำมา ก็พึงพอใจยิ่ง สนนราคา 15 อีแปะต่อหนึ่งชิ้น เขาไม่ได้ต่อราคาเช่นกัน แต่ยื่นความต้องการให้บนขวดนั้นประทับอักขระ
“ที่ตัวขวดตรงนี้ ให้ลงซีชานเทียนฉุน ส่วนตรงนี้ให้ลงไว้ว่าสุราหาได้ยากยิ่งในใต้หล้า 42 ดีกรี หลังจากนั้นด้านล่างขวดนั้นให้ลงอักขระว่าซีชาน แบบนี้ข้าต้องการ 500 ชิ้น”
“อีกอย่าง ตามรูปลักษณ์แบบนี้ ข้าต้องการให้ทำขวดสีฟ้าและตกแต่งด้วยดอกบ๊วยสีแดง ลงอักขระว่าซีชานเซียงเฉวียน 42 ดีกรี ด้านล่างขวดให้ลงคำว่าซีชานเช่นเดียวกัน แบบนี้ข้าต้องการ 1,000 ชิ้น”
“ขวดเทียนฉุนต้องมีขนาดเล็ก บรรจุได้ 3 ตำลึงต่อขวดก็พอ ส่วนขวดเซียงเฉวียนต้องใหญ่กว่า สามารถบรรจุได้ 5 ตำลึงต่อขวดก็พอ หากแต่ราคาเท่าเดิม ท่านคิดว่าอย่างไร?”
เจียงชั่งโหลวพยักหน้า “คุณชายฟู่สบายใจได้ ข้าจะรีบกลับไปดำเนินการ”
“ดี พวกเราเองก็เซ็นสัญญาหนึ่งฉบับ ใช้เวลาเท่าใดจึงจะส่งของได้?”
“1,500 ขวด ใช้เวลาประมาณ 7 วัน”
“ข้าให้เวลาเจ้า 10 วัน จะต้องทำให้ดี! โดยเฉพาะการเคลือบและการประทับอักขระ… ประเดี๋ยวก่อน เรื่องอักขระ ข้าจะให้แบบอักขระเจ้าในภายหลัง”
คว้าทั้งสัญญาทั้งเงินมัดจำ หลังจากนั้นเจียงชั่งโหลวก็จากไปอย่างมีความสุขเช่นเดียวกัน
เพียงเวลาไม่นาน สองข้อตกลงซื้อขายชุดใหญ่ของคุณชายตระกูลฟู่ก็ได้กระจายไปทั่ว หลังจากนั้นเถ้าแก่ร้านเครื่องลายครามเหยาจี้ก็โกรธจัด และไล่หลี่หลงจู๊ที่อยู่กับเขามานานนับสิบปีออก
แน่นอนว่าฟู่เสี่ยวกวนมิทราบเรื่องนี้ ในเวลานี้เขากำลังเดินอย่างเชื่องช้าที่ลานจวน
เพียงชั่วครู่ เขาก็หยุดฝีเท้าลง และกล่าวว่า “เสี่ยวไป๋ เจ้าช่วยวิ่งธุระให้ข้าสักรอบหนึ่งสิ”
“อย่าเรียกข้าว่าเสี่ยวไป๋ ! ไปที่ใด ? ” ไป๋ยู่เหลียนกระโดดลงมาจากต้นไม้ จนทำให้พ่อบ้านหวงตื่นตกใจ
“นำขวดใบนี้ ไปบรรจุสุราเทียนฉุนที่หยู๋ฝูจี้ บรรจุมา 7 ส่วน แล้วนำกลับมาให้ข้า”
“นอกจากนั้นซิ่วเอ๋อร์ ช่วยไปหาผ้าไหมสีแดงเข้มให้ข้าหนึ่งผืน ใหญ่กว่าฝ่ามือของข้าก็พอ”
หวงเวยเฝ้าดู จนกระทั่งในจวนเรือนเหลือเพียงแค่ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้เอ่ยถาม “การลงมือครานี้คุณชายมีความหมายว่าเยี่ยงไรหรือขอรับ?”
“อือ ขายสุรา”
“อุปกรณ์นี้แพงยิ่งกว่าสุราเสียอีก!”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ “ลุงหวง อย่าได้กลัวไปว่าสิ่งนี้มีราคาสูง เจ้าสบายใจเถิด ข้าย่อมรู้ดีแก่ใจ”