นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 153 เหยื่อ
ตอนที่ 153 เหยื่อ
เรือนหลังซีซาน หมอกลงราวกับเส้นด้าย สะท้อนให้เห็นแสงของโคมไฟ สลัวลอยในอากาศอยู่เนิ่นนานให้สัมผัสของแดนสวรรค์บนโลกมนุษย์อยู่เล็กน้อย
ท่ามกลางสายหมอก ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบโต๊ะหิน บนโต๊ะนั้นมีอาหารสองสามอย่างที่เป็นกับแกล้มสุรา กำลังร้อนได้ที่จนมีควันลอย
“มา หนึ่งจอก” ฟู่เสี่ยวกวนยกจอก ไป๋ยู่เหลียน ซูม่อ ซูเจวี๋ยและซูโหรวชนจอกกัน
ทันใดนั้นไป๋ยู่เหลียนก็มองฟู่เสี่ยวกวนและเอ่ยถามด้วยความสงสัยเล็กน้อย “ตอนที่เจ้าซักถามหลิวซานเปี้ยน ท่าทางใจเย็นนั้นเป็นของจริงหรือแสร้งทำกัน”
นี่กำลังถามสิ่งใดกัน ? ฟู่เสี่ยวกวนจ้องไป๋ยู่เหลียน “เอาเถิด เจ้าก็คิดว่าข้าแสร้งไปแล้วกัน”
ไป๋ยู่เหลียนจ้องมองเขาอย่างครุ่นคิด ก้มหน้าดื่มสุราหนึ่งแก้ว เจ้าจักกล่าวว่าคนผู้นั้นเมินเฉยต่อสิ่งมีชีวิต แต่เขาก็ได้ช่วยชีวิตผู้ประสบภัยไว้อีกนับหมื่น หากจะกล่าวว่าเขานั้นให้ความเคารพยำเกรงต่อชีวิตอย่างเต็มที่ การขยับมีดของเขาก็เหมือนกับการฆ่าไก่ฆ่าสุนัขก็มิปาน
“ซ่งต้าเป่าล่ะ” ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สนใจสายตาของไป๋ยู่เหลียน และหันไปถามซูม่อ
“หนีไปแล้ว”
ไป๋ยู่เหลียนหัวเราะ ซูม่อเดือดดาลอย่างยิ่ง “ข้าบั่นแขนเขาไปหนึ่งข้าง และเป็นข้างที่ถือกระบองหนามนั้นด้วย หนีไปได้แล้วยังไง ? ไอ้เวรนั้นไร้ประโยชน์แล้ว”
“ตามที่หลิวซานเปี้ยนกล่าวมา อีกสองวันหวงซื่อหลางจะพากองโจรมาอีกห้าร้อย พวกเราวางแผนดักซุ่มโจมตีเขาเสียหน่อย ดีหรือไม่” ไป๋ยู่เหลียนเอ่ยถาม
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดและปฏิเสธคำแนะนำนี้ “ที่นี่คือสนามรบ ให้เป็นสงครามที่ปะทะซึ่ง ๆ หน้า หากหวงซื่อหลางใช้พิษ ก็เชิญหมอให้มาวินิจฉัยว่าจะตายหรือไม่ นานเท่าใดจึงจะตาย แก้พิษได้หรือไม่ หากแก้ได้ เยี่ยงนั้นก็ให้พวกเขาได้รับยาพิษและได้เรียนรู้”
ซูม่อลอบคิดว่าคนผู้นี้ช่างบ้าเสียจริง เขาจนปัญญาแล้วจริง ๆ ทหารเหล่านั้นโชคร้ายเสียแล้ว
แต่ภายในใจของฟู่เสี่ยวกวนกลับคิดว่ามิเป็นอะไร นึกถึงชาติก่อนยามที่ตนเองได้เข้ารับการฝึก เป็นเรื่องยากที่จะป้องกันยามอาจารย์ผู้ฝึกวางยาพิษ จนกระทั่งหลังจากที่ได้ออกมาจากฐานแล้ว แม้แต่การดื่มน้ำก็จะทำการตรวจสอบเสียก่อน มันได้ฝังลึกเข้ากระดูกจนถึงสัญชาตญาณ มีเพียงแบบนี้ จึงจะสามารถมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
“เรื่องการแก้พิษนั้น หมอเชื่อถือมิได้ ให้ข้าจัดการเถิด”
เป็นซูเจวี๋ยที่กล่าวขึ้นมา เขาเพิ่งจะคีบเนื้อท้องปลาและกลืนลงไปหลังจากที่เคี้ยวละเอียดดีแล้ว
ฟู่เสี่ยวกวนมองซูเจวี๋ยด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “ศิษย์พี่ใหญ่ยังทำสิ่งนี้ได้อีกหรือ”
“เข้าใจเล็กน้อย”
ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้ม ซูม่อเองก็หัวเราะ “ศิษย์พี่ใหญ่เป็นปรมาจารย์ฉีหวงอย่างแท้จริง และก็เป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้พิษ ใต้หล้านี้ยังมิมีพิษใดที่เอาชนะศิษย์พี่ใหญ่ได้”
ซูเจวี๋ยโบกมือ “ศิษย์น้องโปรดอย่ากล่าวเยี่ยงนั้น การใช้พิษนั้นเป็นหนทางเล็ก ๆ แต่สามารถแปรเปลี่ยนได้เป็นพัน ศิษย์พี่ใหญ่เพียงศึกษาตามอำเภอใจ ยังห่างไกลจากปรมาจารย์มากนัก”
ซูโหรวเงยหน้าใช้ตาเรียวชำเลืองมองซูเจวี๋ย ลอบคิดว่าศิษย์พี่ใหญ่ศึกษาตามอำเภอใจนั้นเป็นเรื่องจริง และเกือบจะทำอาจารย์สิ้นชีพมาแล้ว
“เยี่ยงนั้นเรื่องนี้คงต้องลำบากศิษย์พี่ใหญ่แล้ว ต่อจากนี้พวกเจ้าต้องทราบว่าหวงซื่อหลางใช้พิษเมื่อใด และใช้ที่ใด เรื่องนี้มีเพียงเจ้าและซูม่อเฝ้าติดตาม”
ไป๋ยู่เหลียนพยักหน้า นึกไปถึงหลิวซานเปี้ยนที่พาไปไว้ที่สนามฝึก และเอ่ยถาม “เยี่ยงนั้นท่านไว้ชีวิตหลิวซานเปี้ยนเพื่อการใดกัน”
“ไว้ชีวิตเขา แล้วพรุ่งนี้ก็แขวนเขาเอาไว้กับเสา ปักไว้หน้าอนุสาวรีย์วีรชน”
ซูโหรวก็ได้เหลือบมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างพิจารณาอีกครา ลอบคิดว่าคนผู้นี้จะโหดเหี้ยมไปหรือไม่
แต่ไป๋ยู่เหลียนกลับเห็นด้วยอย่างยิ่ง “สามารถทำเยี่ยงนั้นได้ ประการแรกเพื่อให้เหล่าทหารใหม่ได้เห็น ประการที่สองเพื่อล่อให้หวงซื่อหลางติดกับ”
ทั้งห้าคนนั่งทานอาหารดื่มสุราและคุยเล่นกัน ดังนั้นจึงได้เอ่ยถึงเรื่องของชาวฮวงขึ้นมา
“ข้าคาดมิถึงจริง ๆ ว่าคนที่มาสังหารท่านในครานี้จะเป็นชาวฮวงที่ส่งมา ทั้งยังเป็นท่าป๋าชิวที่โด่งดังในหมู่ชาวฮวงอีกด้วย ข้าว่า สรุปแล้วที่เมืองหลวงท่านได้ก่อหายนะอันใดให้แก่ชาวฮวงกัน” ไป๋ยู่เหลียนเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ชาวฮวงหน้าตาเยี่ยงไรข้ายังมิรู้ด้วยซ้ำ เจ้าว่าข้าเสียเปรียบหรือไม่ วันนั้นที่พระราชวังจินเตี้ยน เหล่าขุนนางพลเรือน ทหารและเสนาบดีกำลังหารือกันเรื่องการอภิเษกสมรสขององค์หญิงสามและท่าป๋าเฟิง ข้ารึก็ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังสุดและครุ่นคิดถึงเรื่องอื่นอยู่ พวกเจ้าลองกล่าวมา เรื่องเกี่ยวดองนี้เกี่ยวข้องอันใดกับข้ากัน แค่ฝ่าบาททรงเอ่ยนามของข้า และต้องการให้ข้าพูดออกไป”
“ข้าจักกล่าวเยี่ยงไรได้ ข้ามิรู้ธรรมเนียมในท้องพระโรงด้วยซ้ำ ดังนั้นข้าจึงกล่าวไปส่ง ๆ องค์หญิงสามเป็นถึงกิ่งไม้สีทองและใบหยกของราชวงศ์หยู สภาพแวดล้อมของชาวฮวงทุรกันดารเกินไป เยี่ยงนั้นสู้ให้ชาวฮวงสร้างตำหนักองค์หญิงเหมือนของต้าหยูขึ้นมา ผลลัพธ์ก็คือพวกเขาได้สร้างพระราชวังในนามของชาวฮวงขึ้นมาได้ ข้าเพียงเอ่ยออกไปเยี่ยงนั้น ไหนเลยจะไปคาดคิดได้ว่าฝ่าบาทจะสั่งให้คนจดลงไป”
ฟู่เสี่ยวกวนแบสองมือออก ด้วยใบหน้าใสซื่อ “ชาวฮวงก็ไร้เหตุผล จู่ ๆ ก็เชิญคนมาสังหารข้า เรื่องนี้มิใช่เกิดจากข้าเสียหน่อย”
ทุกคนต่างมีความสุข ไป๋ยู่เหลียนส่ายหน้า “ท่านนี่นะ แบบนี้เขาเรียกปากพาซวย”
เขายกสุราขึ้นมาดื่ม และกล่าวต่อว่า “เจ้ามิรู้ว่าชาวฮวงนั้นยากจนเพียงใด ในอดีตนั้นพวกเขาต่างเลี้ยงสัตว์อย่างเร่ร่อน ที่พักก็คือเพิงชนิดหนึ่งที่เรียกว่าเยิร์ต สามารถถอดและใช้ม้าวัวลากไปได้ตลอดเวลา ต่อจากนั้นจึงได้สร้างเมืองขึ้นที่ด่านเยี่ยนซาน ความจริงแล้วก็ใช้หินสร้างบ้านขึ้นมา แม้แต่กำแพงเมืองก็มิมี พวกเขาตั้งนามเมืองนี้ไว้ว่าฮวงจิง นั่นแสดงให้เห็นว่าแคว้นฮวงก็มีเมืองหลวง”
“ดังนั้นเจ้าลองคิดตาม ในวันนี้เพราะคำพูดของเจ้า ชาวฮวงจำต้องใช้อำนาจจากทั้งประเทศมาสร้างพระราชวัง นี่คืองานที่หนักและสิ้นเปลืองงบประมาณ ตามที่ข้าได้คิดไว้ ทันทีที่พระราชวังสร้างเสร็จ ชาวฮวงก็จะยากจนลงจนมิเหลืออะไร ท่าป๋าชิวก็คืออาของท่าป๋าเฟิง เทียบเคียงกับองค์ชายของราชวงศ์หยู และคนผู้นี้ค่อนข้างคุ้นเคยกับประเพณีของต้าหยู ว่ากันว่าเคยเข้าเรียนที่สำนักศึกษาจี้เซี่ยที่เมืองหลวง เป็นมันสมองข้างกายของท่าป๋าเฟิงอย่างแท้จริง เขาย่อมเข้าใจถึงอันตรายที่มี แต่ท่าป๋าเฟิงก็ได้ยินยอมและสร้างตำหนักขึ้นมา เขาไร้หนทางจะโต้กลับ จึงทำได้เพียงตามหาท่านเพื่อระบายอารมณ์”
ซูม่อและคนอื่น ๆ เพิ่งจะเข้าใจ เมื่อได้มองฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกว่าคนผู้นี้เป็นหายนะอย่างแท้จริง
“ในตอนนี้ก็รับทราบเป้าหมายแล้ว คุณงามความดีนี้ยังจะยกให้เยี่ยนซีเหวินอยู่หรือไม่”
“ให้ ยกความดีให้เขาเสียหนึ่ง และรอดูว่าตระกูลเยี่ยนที่เมืองหลวงจะมีปฏิกิริยาเยี่ยงไร”
ชะงักชั่วอึดใจ ฟู่เสี่ยวกวนไตร่ตรองอยู่เล็กน้อย และเอ่ยเสียงแผ่ว “ในปีหน้าเมื่อตำหนักของชาวฮวงสร้างเสร็จ หรือก็คือช่วงเวลาอภิเษกสมรสขององค์หญิงสาม ทันทีที่ข้าได้รับข่าวคราว มีความเป็นไปได้ยิ่งที่ฝ่าบาทจะแต่งตั้งข้าเป็นราชทูตเดินทางไปยังแคว้นฮวง ข้าคิดไว้เยี่ยงนี้ เมื่อถึงเวลานั้นทหารชุดนี้จะต้องมีความสามารถทางการรบแล้ว ข้าจะหาข้ออ้างเพื่อนำพวกเขาเข้าขบวนส่งตัวไปด้วย และเดินทางไปยังแคว้นฮวงกับข้า”
ไป๋ยู่เหลียนพยักหน้า “หากท่านได้กลายเป็นราชทูตจริง ๆ ก็จำต้องนำคนกลุ่มนี้ไปด้วย ข้าคิดว่าท่าป๋าชิวคงมิยอมรามือหรอก”
“ไม่ไม่ไม่…” ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือ “ปัญหาของข้ามิได้ใหญ่ถึงเพียงนั้น อย่างไรแล้วฝ่าบาทก็มิประสงค์ให้ข้าไปตายด้วยเงื้อมมือของชาวฮวงอยู่แล้ว ข้าต้องการให้เจ้านำทหารชุดนี้ไปขโมยม้าศึกกลับมา”
ไป๋ยู่เหลียนและคนอื่น ๆ ต่างตกใจ ตื่นตระหนกไปกับความคิดที่โลดโผนของฟู่เสี่ยวกวน
ม้าศึกของชาวฮวงมิมีใครในโลกที่เทียบได้ แต่ที่ท่านระหกระเหินวิ่งไปไกลพันกว่าลี้เพื่อขโมยม้าศึกชาวบ้าน และเรื่องอภิเษกสมรสจะเป็นเยี่ยงไรกัน
หากท่าป๋าเฟิงเดือดดาลจนมิเข้าร่วมอภิเษก หัวบนบ่าของฟู่เสี่ยวกวนต้องมีกี่หัวจึงจะพอให้ฝ่าบาทบั่นเยี่ยงนั้นหรือ
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ “มามามา ดื่มสุรากัน ๆ เรื่องนี้ ข้าจะพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วจะบอกกับเจ้าว่าทำเยี่ยงไร”