นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 182 ฟ้าร้องน่ากลัวท่ามกลางความเงียบ
ตอนที่ 182 ฟ้าร้องน่ากลัวท่ามกลางความเงียบ
ตั้งแต่ต้นจนจบ เยี่ยนซีเหวินเดินเข้าไปในศาลาเซียงหมิงแล้วก็พูดประโยคนี้กับหยวนซุ่ย
“เจ้านี่นะ ข้าว่าเจ้าชักจะว่างเกินไปซะแล้ว ! ”
สิ่งนี้ทำให้หยวนซุ่ยอับอายมาก ตัวเขาเองต้องการให้อีกฝ่ายกับซูหลานปรับความเข้าใจกัน ความหวังดีกลับล้มเหลว แล้วเขายังต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้อีก
เยี่ยนซีเหวินได้จากไปแล้ว ต่งซูหลานมองดูหยวนซุ่ยด้วยรอยยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ ท่านลุงสาม พวกท่านก็เห็นแล้วนะ ดังนั้นเรื่องของข้ากับเสี่ยวกวน ก็หวังว่าจะได้รับคำอวยพรจากพวกท่าน อีกทั้งหวังว่าในงานหมั้นของพวกเรา ท่านลุงสามกับท่านป้าสามจะไปร่วมงานด้วย ซูหลานจะซาบซึ้งใจมาก”
ต่งซูหลานกับฟู่เสี่ยวกวนออกจากบ้านตระกูลหยวนแล้ว หยวนซุ่ยและภรรยามองหน้ากัน ยังคงไม่มีอะไรที่น่าจดจำ
……
“น่าเบื่อ ! ”
ซูซูกินผลไม้เชื่อมลูกสุดท้ายในปาก แก้มป่องเล็กน้อย พูดประโยคนั้นขณะเคี้ยวอย่างระมัดระวัง
ชุนซิ่วไม่เห็นด้วย นางกลับรู้สึกว่าน่าสนใจมากกว่า
“น่าเบื่อทำไม ? คุณชายของข้าชนะแล้ว เจ้าไม่เห็นสีหน้าของหัวหน้าตระกูลหยวนและฮูหยินของเขาหรือ ? ข้าเกลียดท่าทางหยิ่งยโสตรงหน้าจนแทบจะทนไม่ไหวที่จะไปตบเขาสักฉาดสองฉาด แต่ในที่สุดคุณชายของข้าก็อดทนเพื่อดูสถานการณ์โดยรวม จากนั้นหลังจากที่คุณชายเยี่ยนมาถึง เขาก็อ่อนน้อมถ่อมตนต่อหน้าคุณชายของข้า ข้าดูแล้ว เขายังระมัดระวังตัวอยู่มาก นั่นนะเป็นถึงคุณชายใหญ่ของตระกูลเยี่ยนแห่งเมืองหลวง สถานะของเขาจึงสูงส่ง เขาไม่คล้ายว่าถูกท่าทางสง่างามเปี่ยมไปด้วยปัญญาของคุณชายกดข่มหรอกเหรอ ? นั่นแหละ สุดท้ายหัวหน้าตระกูลหยวนและฮูหยินถึงได้ดูอึดอัดจนทนไม่ได้ราวกับกินแมลงวันเข้าไป”
ซูซูไม่มีทางเข้าใจหลักการเหล่านี้ นางใช้ชีวิตอยู่ในสำนักเต๋ามาโดยตลอด อาศัยอยู่บนยอดเขาสูงสุดของสำนัก แม้แต่ศิษย์ธรรมดาเหล่านั้นก็แทบจะไม่ได้ติดต่อกันเลย แม้อาจารย์จะบอกว่าโลกมนุษย์และในสำนักนั้นไม่เหมือนกัน แต่ในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ ความคิดของนางยังคงเรียบง่ายและตรงไปตรงมา
นางไม่คิดว่าจะมีอะไรมากมายในนั้น ดังนั้นนางจึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยหลังจากฟังคำอธิบายของชุนซิ่ว
“อย่างนี้แล้ว…….คุณชายของเจ้ามีความสามารถมากแค่ไหน ? ”
“แน่นอนซิ ! ” ชุนซิ่วเงยคอขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “ เมื่อคุณชายของข้ายังอยู่ในหลินเจียง ชื่อเสียงของเขาได้สร้างความตกตะลึงให้กับเมืองจิงหลิงแห่งนี้ ข้าจะบอกให้ ชื่อเสียงของคุณชายได้แพร่กระจายไปทั่วราชวงศ์หยู เพราะแม้แต่ราชวงศ์อู๋ที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายพันลี้ก็รู้เรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นทำไมราชวงศ์อู๋ถึงได้เลือกคุณชายของข้าไปร่วมงานวรรณกรรมเทศกาลฤดูหนาว ?”
ซูซูกลืนผลไม้เชื่อมที่อยู่ในปากลงไป แล้วขมวดคิ้วครุ่นคิด ดูเหมือนจะเป็นเหตุผลเช่นนี้ มิน่าล่ะความฝันในหอแดงนั้นจึงสวยงามน่าอ่านอย่างนั้น ?
ดูเหมือนว่าข้าควรจะไปอ่านด้วยนะ
เมื่อวานนี้คุยกับฟู่เสี่ยวกวนเรื่องที่มีคนจะลักพาตัวเขา ทำไมเขาถึงยังนิ่งเฉยไม่มีการตอบสนองเลย ?
นี่ไม่ขยับเหมือนภูเขาหรือ ?
หรือว่ามีการวางแผนล่วงหน้า ?
ซูซูไม่ได้คิดอีกต่อไป อย่างไรก็ตามนี่คือเรื่องของฟู่เสี่ยวกวน ถ้ามีคนร้ายที่ไม่ได้มีสายตายาวไกลต้องการปล้นฟู่เสี่ยวกวนจริง ๆ แล้ว ด้วยฝีมือของนางกับศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่หญิงสามแล้ว เว้นแต่จะมียอดฝีมือบางคนมา มิเช่นนั้นแล้วก็จะไม่มีเรื่องที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
รถม้าของฟู่เสี่ยวกวนกับต่งซูหลานจอดอยู่ข้าง ๆ โรงน้ำชาแห่งหนึ่ง
“เจ้ารอข้าสักครู่ ข้าไปซื้อชานิดหน่อย”
“ที่บ้านมีชาอยู่ไม่ใช่หรือ ? ” ต่งซูหลานถามกลับด้วยความสงสัย
“ อืม ว่ากันว่าที่หอเซียงเย่นี้มีชาศิลาชุดหนึ่งที่ผลิตในหลิงหนาน รสชาติดีมาก ”
ฟู่เสี่ยวกวนพูดพร้อมกับลงจากรถม้าไป เดินเข้าในหอเซียงเย่ เดินตรงขึ้นไปยังชั้นสาม
ชั้นสามไม่ขายน้ำชา ขายเฉพาะใบชา เถ้าแก่เย่อู๋ซุ่ยของหอเซียงเย่กำลังลูบเคราของเขาและจิบชาหอมถ้วยหนึ่งอย่างจริงจัง
เพิ่งเป็นวันแรกของปีใหม่ ผู้คนที่ซื้อสินค้าในช่วงปีใหม่ได้ซื้อไปก่อนปีใหม่แล้ว ขณะนี้บนชั้นสามจึงไม่มีใครเลย
ฟู่เสี่ยวกวนมองไปรอบ ๆ การตกแต่งบนชั้นสามนี้ไม่เลวเลย โทนสีโบราณกลิ่นหอมโบราณมีความคิดสร้างสรรค์ยิ่งนัก
เย่อู๋ซุ่ยคิดไม่ถึงว่าจะมีคนมา เงยหน้ามองมายังชายหนุ่มคนนี้ “ คุณชายคิดจะซื้อชาอะไรดี ? ”
“ หมิงเฉียนหลงจิ่ง 2 ตำลึง ไท่ผิงโหวกุ้ย 3 ตำลึง จวินซานอิ๋นเจิน 4 ตำลึง เพิ่มไท่หูเพียวเสวี่ยอีก 5 ตำลึง”
เย่อู๋ซุ่ยรู้สึกเครียดนิดหน่อย เขายิ้มและพูดว่า “ขอโทษนะคุณชาย หมิงเฉียนหลงจิ่งขาดสินค้า ทะเลสาบไท่หูมิเคยมีหิมะโปรยปรายจึงไม่มีเพียวเสวี่ย (หิมะโปรยปราย) เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้หรือไม่ ? ”
“ถ้าเช่นนั้นก็เอาเมิ่งติ่งกานลู่ 2 ตำลึง เนื่องจากทะเลสาบไท่หูไม่เคยมีหิมะ จึงเปลี่ยนเป็นเหม่ยเหรินยวี่ซือ 5 ตำลึง”
เย่อู๋ซุ่ยโค้งคำนับ” คุณชายโปรดตามข้ามา”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินตามเย่อู๋ซุ่ยขึ้นไปชั้นสี่ ในใจคิดว่าใครเป็นคนคิดรหัสลับนี้ขึ้นมา ยุ่งยากเกินไปแล้ว ต่อไปต้องทำให้ง่ายขึ้นสักหน่อย
บริเวณชั้นสี่มีใบชาจำนวนมากวางอยู่โดยรอบ และมีโต๊ะน้ำชาอยู่ตรงกลาง เย่อู๋ซุ่ยเชิญฟู่เสี่ยวกวนเข้าไปนั่ง แล้วพูดขึ้นว่า “ ให้รอคำสั่งของผู้ส่งสารในเดือน 12”
ฟู่เสี่ยวกวนหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งจากแขนของเขาและส่งมอบให้เย่อู๋ซุ่ย “ข้ายังมีธุระ เจ้าทำตามคำชี้แนะนี้ของเบื้องบน ยิ่งเร็วยิ่งดี ถ้าได้ข่าวคราวแล้วก็ให้วางกระถางดอกบ๊วยไว้ที่หน้าต่างนี้ แล้วจะมีคนมารับไป”
“ เดือน 12 ทราบ”
“เอาชาศิลาจากหลิงหนานให้ข้า 2 ชั่ง เอาแบบดีนะ ข้าจะเอาไปเป็นของฝาก ”
“ขอรับ”
เย่อู๋ซุ่ยหันตัวกลับไปหยิบกล่องไม้แล้วส่งมอบให้ฟู่เสี่ยวกวน “ ชาศิลาแท้ ๆ ของหลิงหนาน หอมอบเชย หนึ่งชั่งราคา 10 ตำลึง”
ยังต้องจ่ายเงินกับสิ่งพิเศษนี้หรือ ?
ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าตัวเองเป็นคนวงใน สามารถดื่มชาได้ฟรี อืม เรื่องนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ คาดว่าเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของซั่งกุ้ยเฟย
เขาจ่ายเงินไป 20 ตำลึง ถือกล่องชาเดินลงไปข้างล่าง เย่อู๋ซุ่ยเห็นด้านหลังนั้นหายลับไป ถึงได้มองดูกระดาษในมือใบนี้
เป็นหนานเหมินอีกแล้ว !
ยังกับโจรชาวลวี่หลิน !
อ่อ ได้ยินมาว่ามีคนถูกทุบตีในสถานที่นั้น แต่คำสั่งนี้ไม่ได้ต้องการตรวจสอบว่าคนนั้นถูกใครทุบตี แต่เพื่อตรวจสอบตัวตนของคนคนนั้น ยังมีร้านเหล้าเล็ก ๆ……เย่อู๋ซุ่ยหยุดคิดสักครู่แล้วก็เดินลงไปข้างล่าง
ฟู่เสี่ยวกวนและผู้ติดตามกลับถึงบ้านตระกูลต่ง นั่งลงในศาลาชุ่ยชินกับต่งคังผิงและฮูหยิน สีหน้าต่งคังผิงสงบนิ่ง แต่ว่าฮูหยินตื่นเต้นเล็กน้อย นางถามว่า “ เป็นอย่างไรบ้าง ? ราบรื่นดีหรือไม่ ? ”
ต่งซูหลานพยักหน้าแล้วยิ้ม ๆ “ไม่ผิดไปจากที่คาดคิดเมื่อคืน ลุงสองไม่ได้ทำให้พวกเราลำบากใจ มีแต่ลุงสาม…..จู่ ๆ ก็เชิญเยี่ยนซีเหวินมา”
“หา…..! ” ต่งฮูหยินใจกระตุกพักหนึ่ง “มีความขัดแย้งเกิดขึ้นงั้นหรือ ? ”
ต่งซูหลานส่ายหัว “ ไม่มี เยี่ยนซีเหวินเปลี่ยนไปจากเดิมมาก แต่ข้าบอกไม่ถูกว่าเปลี่ยนแปลงไปตรงไหน คือว่า…..” ต่งซูหลานขมวดคิ้วครุ่นคิดเรื่องนี้ พูดอีกว่า “ คือรู้สึกว่าไม่มีความจองหองมากเหมือนเมื่อก่อน สงบเยือกเย็นลงไปมาก ในระหว่างคำพูดจาก็ไม่มีท่าทีอวดดีอย่างเดิม”
ต่งซูหลานอธิบายรายละเอียดให้ท่านพ่อท่านแม่ ในที่สุดต่งฮูหยินก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก เนื่องจากการยืนกรานของต่งซูหลาน ตระกูลเยี่ยนไม่สามารถยึดติดได้อย่างสมบูรณ์ เสี่ยวกวนลูกเขยคนนี้ก็ค่อนข้างดี แต่ไม่มีรากฐานอะไรเลยนะซิ เฮ้อ !
แม้ท่านพี่จะบอกว่าเด็กคนนี้ช่วยเหลือทางราชสำนักมากมาย แต่เขาต้องต่อสู้เพื่อสิ่งนี้ทั้งหมด เด็กที่น่าสงสาร เส้นทางราชการง่ายขนาดนั้นเลยเชียวหรือ ?
ท่านพี่ของตัวเองก็ไม่มีรากฐาน ได้ครอบครองในส่วนที่เคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นของฝ่าบาท ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากฝ่าบาท ถึงได้คว้าตำแหน่งเสนาบดีกรมคลัง โอย ก็ยังไม่รู้เลยว่าฟู่เสี่ยวกวนจะสามารถก้าวเดินได้ทางไหนบ้าง
พอแล้วพอแล้ว ลูกหลานมีทางรอดของเขาเอง ข้าไปทำอาหารอร่อย ๆ เพื่อให้เขาดีกว่า และข้าก็ทำเพื่อเขาได้แค่เรื่องนี้เอง
ต่งฮูหยินออกจากศาลาชุ่ยชินไปเข้าครัว ฟู่เสี่ยวกวนสนทนาอยู่กับต่งคังผิง หลัก ๆ ต่งคังผิงพูดถึงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างญาติเหล่านี้
“ต่งซิวมู่ ลูกชายคนที่สามของลุงใหญ่ของซูหลาน ได้รับโทษฐานติดสินบนและบิดเบือนกฎหมาย รอมาเกือบ 3 ปี ก็ได้รับตำแหน่งนายอำเภอเหอหยูที่หนิงโจวเมื่อเดือนสิบของปีที่แล้ว เจ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อาวุโสฉิน ลูกชายของผู้อาวุโสฉินก็ไปรับตำแหน่งจือโจวที่หนิงโจวเมื่อตอนเดือนเก้าปีที่แล้ว…..”
ต่งคังผิงยังพูดประโยคนี้ไม่จบ ฟู่เสี่ยวกวนก็เข้าใจแล้ว เขากำลังจะแสดงออกว่า อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์นี้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ขอแค่ให้ผู้อาวุโสฉินพูดถึงสิ่งนั้นในจดหมายของเขาถึงฉินติ้งฟางก็พอแล้ว ต่งคังผิงพูดอีกว่า “เต้าถายคนก่อนของแม่น้ำหวงเหอตอนเหนือ บัดนี้ถูกส่งไปจองจำในคุกแล้ว คน ๆ นี้ข้าก็รู้จัก เคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนสถาบันจี้เซี่ย นามโจวตู้ เดินตามรอยของอาจารย์ทวดเฟ่ย”
“เต้าถายของแม่น้ำหวงเหอตอนใต้เซี่ยหลิงได้ระงับการสอบสวนในตอนนี้ คนผู้นี้เดิมทีได้รับการชื่นชมจากท่านผู้เฒ่าตระกูลซืออดีตหัวหน้าตระกูลซือคนก่อน ตั้งแต่ท่านผู้เฒ่าตระกูลซือออกจากคณะเสนาบดีแล้ว คนผู้นี้ก็สนิทชิดเชื้อกับตระกูลเยี่ยน ในครั้งนี้…คาดว่าคงจะเลี่ยงภัยพิบัติได้ลำบาก ณ ตอนนี้มีการเสนอชื่อเต้าถายของแม่น้ำหวงเหอตอนเหนืออยู่ 2 คน คนหนึ่งคือเยี่ยนชิวผิงของตระกูลเยี่ยน เป็นลูกชายคนรองของเยี่ยนเป่ยซีด้วย อีกคนหนึ่งคือเซวี๋ยจือชิวแห่งตระกูลเซวี๋ย คนผู้นี้เดิมทีเป็นจือโจวที่ไช้โจวของแม่น้ำหวงเหอตอนใต้ ดำรงตำแหน่ง 5 ปี ผลงานค่อนข้างดี ภายใต้การบริหารจัดการของเขา ภัยภิบัติทางตอนใต้ของแม่น้ำหวงเหอ เขตไช้โจวเสียหายน้อยที่สุด ”
“ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเยี่ยนหรือตระกูลเซวี๋ย ต่างก็จ้องยึดตำแหน่งเต้าถายของแม่น้ำหวงเหอตอนเหนือนี้ ตระกูลซือดูเหมือนไม่มีการเคลื่อนไหว ดังนั้นคาดว่าเซี่ยหลิงจะถูกถอดในไม่ช้านี้”
“โดยรวมแล้ว ครั้งนี้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หลังจากวันที่เจ็ดเปิดว่าราชการแผ่นดินแล้ว จะมีการโยกย้ายตามมาอีกมากมาย ในความเห็นของข้า ฝ่าบาทจะใช้คนใหม่มากขึ้น แต่ในความเป็นจริง ผู้มาใหม่เหล่านี้ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของหกตระกูลใหญ่ ดังนั้นแล้ว ตัวเจ้าเองจงคิดวิเคราะห์อย่างรอบคอบ อย่าเพิ่งด่วนใจร้อน ฝ่าบาทนี้ มิได้โง่เขลา”
ประโยคสุดท้ายของต่งคังผิงแผ่วเบา แต่หนักแน่น ก้องอยู่ในหูของฟู่เสี่ยวกวน ถึงกับทำให้เขาขมวดคิ้ว
เขาไม่ได้รู้จักฝ่าบาทลึกซึ้ง เพียงไม่กี่ครั้งที่ได้พบก็รู้สึกว่าพระองค์นั้นค่อนข้างใจดี บวกกับระดับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหยูเวิ่นหวินแล้ว เขาไม่มีความคิดว่าฝ่าบาทจะเลวร้าย
แต่ในตอนนี้ต่งคังผิงพูดอย่างจริงจัง นั่นหมายความว่าฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้ทั้งหมด ดังนั้นถ้าอยากจะแก้ปัญหานี้ ก็ต้องโยนไปให้เหล่าตระกูลใหญ่ทั้งหกจัดการ
ฟู่เสี่ยวกวนก็คิดถึงเรื่องนี้เช่นกัน ในรัชสมัยของฝ่าบาท การใช้เล่ห์เหลี่ยมแบบนี้ไม่ถือว่าไม่เหมาะสม เขายังเต็มใจที่จะเป็นเสนาบดีที่โดดเดี่ยว กลายเป็นเบี้ยในพระหัตถ์ของฝ่าบาท ไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่นใด เพียงเพื่อให้สามารถอยู่บนโลกนี้ได้อย่างสะดวกสบาย
แล้วความคิดของข้าควรเติบโตอยู่ที่ใด ?
แสวงหาข้อดีหลีกเลี่ยงข้อเสีย ? เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ผล
เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล ?
อย่างนี้เป็นไปได้ทีเดียว
แค่ว่าตอนนี้ตนเองยังไม่ได้ทำอะไร จึงยังมิต้องรีบร้อน
คิดมาคิดไป ต้องสร้างความเข้มแข็งให้ตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์เช่นนี้
ไม่จำเป็นต้องขัดแย้งกับพระองค์ แต่ต้องมีเงินทุนเพียงพอในมือ—–ไม่ได้หมายความว่าต้องการกบฎ มันเหนื่อยเกินไปที่จะกบฎต่อเรื่องแบบนี้ แต่จะทำให้ฝ่าบาทแยกออกจากตนเองในตอนนี้ก็คงจะไม่ได้ แล้วควรเริ่มต้นจากที่ไหน ?
“เช่นเดียวกับเกมหมากรุกของเจ้า เริ่มจากที่ตั้งจุดเล็ก ๆ ฟ้าร้องน่ากลัว….ท่ามกลางความเงียบ ! ”