นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 187 มูลเหต
ตอนที่ 187 มูลเหตุ
ตอนที่มาจินหลิงครั้งที่แล้ว ฟู่เสี่ยวกวนกับต่งชูหลานเคยไปที่วัดฟูจื่อในคืนฝนตก และได้เก็บพุทราจีนมาลูกหนึ่ง จากนั้นก็เดินเล่นไปตามทาง แต่ยังไม่ทันจะถึงยอดเขา กลับมีคนเข้ามาขวาง
เขาเคยคิดจะพาซูม่อไปสำรวจที่นั่นในวันอื่น ทว่ากลับถูกลักพาตัวไปเสียอย่างนั้น ทำให้เขาลืมเลือนเรื่องนี้ไป ตอนที่อยู่หลินเจียงเขาได้ไต่สวนหลินหง ซึ่งหลินหงเคยกล่าวถึงวัดฟูจื่อ
ในฐานะที่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของราชวงศ์ก่อนหน้านี้ เมื่อก่อนวัดฟูจื่อเคยเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด บนยอดเขามีวิวทิวทัศน์ที่งดงาม สามารถมองเห็นเมืองจินหลิงได้ครึ่งเมือง ซึ่งวัดฟูจื่อเคยเป็นศาลบรรพบุรุษของราชวงศ์ก่อน ดังนั้นจึงกลายเป็นสถานที่รวมตัวของเหล่าบัณฑิต
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะที่นี่คือศาลบรรพบุรุษของราชวงศ์ก่อน หลังจากที่ราชวงศ์หยูสถาปนาขึ้นมา ตัวตนของวัดฟูจื่อก็ค่อย ๆ ลดบทบาทลง จากนั้นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางวรรณกรรมของราชวงศ์หยูจึงเปลี่ยนมาเป็นที่หลานถิงจี๋ ทำให้วัดฟูจื่อตกต่ำลงเรื่อย ๆ ต่อมาก็มีน้อยคนนักที่จะขึ้นไปยังที่นั่น กระทั่งตอนนี้ แม้แต่ประตูวัดก็ชำรุดทรุดโทรมมาก เห็นได้ชัดว่ามันได้จางหายไปจากสายตาของทุกคน
หลินหงกล่าวว่า ก่อนที่ฟู่เสี่ยวกวนจะถูกลักพาตัวไปก่อนหน้านี้ 5 วัน เถ้าแก่เนี้ยหอเยียนจือจีหลินชุนเคยขึ้นไปที่วัดฟูจื่อ
ในเมื่อวัดฟูจื่อกลายเป็นซากปรักหักพัง ภายในไม่มีพุทธรูปองค์ใดให้กราบไหว้ แล้วจีหลินชุนขึ้นไปทำอะไรที่วัดฟูจื่อ ?
สถานที่แห่งนั้นคงไม่กลายเป็นที่ซ่อนความลับบางอย่างหรอกนะ ?
ฟู่เสี่ยวกวนไม่สามารถปลีกตัวไปจัดการได้ แต่ถ้าหากซูเจวี๋ยสามารถตรวจสอบที่นั่นอย่างเงียบ ๆ ได้ นี่จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ซูเจวี๋ยพยักหน้าตกลง ถอดหมวกออกแล้วนำอีกาตัวนั้นออกมาจากหมวก เขียนกระดาษเล็ก ๆ แผ่นหนึ่งแล้วสอดเข้าไปในกระบอกเล็ก ๆ จากนั้นก็นำไปผูกที่ขาของอีกา แล้วลูบหัวอีกาอย่างอ่อนโยน ก่อนจะปล่อยให้มันโผบินออกไป และหายไปในความมืด
เรื่องนี้เกี่ยวพันกับฟู่เสี่ยวกวน แต่เขาไม่มีอำนาจที่จะใช้หอชิงเฟิงซี่หยู่ไปตรวจสอบได้ เนื่องจากเจ้าของหอชิงเฟิงซี่หยู่คือพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย
ไม่ใช่ว่าฟู่เสี่ยวกวนสงสัยซั่งกุ้ยเฟย แต่เขาไม่เชื่อใจหอชิงเฟิงซี่หยู่ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังในการลอบสังหารเขา ก่อนที่ทุกอย่างจะกระจ่าง เขาก็ไม่อยากจะรบกวนใคร
แน่นอน ยกเว้นคนที่นั่งอยู่ที่นี่ คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่เขาเชื่อใจมากที่สุด
“เจ้าแน่ใจจริง ๆ รึที่จะเอาตัวเองไปเสี่ยง ? ” ซูเจวี๋ยถาม
“ไม่นับว่าเป็นการเอาตัวเข้าไปเสี่ยง ที่นี่อยู่ใต้เท้าของโอรสสวรรค์ พวกเขาไม่กล้าลงมือสังหารคนอย่างเอิกเกริกหรอก อีกอย่างนับตั้งแต่ที่ข้ารู้เรื่องนี้ เป็นธรรมดาที่ข้าจะเพิ่มความระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น ตราบใดที่พวกเจ้าสามารถมาหาข้าภายใน 50 ลมหายใจ ข้าเชื่อว่าจะสามารถปกป้องตัวเองได้ อย่าลืมสิว่าตัวข้านั้นก็ได้ฝึกคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางเช่นกัน”
ซูซูหัวเราะคิกคักขึ้นมา เมื่อนึกถึงคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางของเขา ถ้าหากไปเจอยอดฝีมือขั้นที่สามเข้า เกรงว่าเขาคงมีชีวิตอยู่ไม่ถึง 50 ลมหายใจ
ซูโหรวเห็นต่งชูหลานกับหยูเวิ่นหวินแสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมา จึงกล่าวว่า “พวกท่านทั้งสองมิต้องกังวลไป มีข้าอยู่ เขาจะไม่เป็นอะไร”
“เจ้าเอาอะไรมาแน่ใจ ? ” หยูเวิ่นหวินถามอย่างไม่เต็มใจนัก คนเรามีเพียงแค่ชีวิตเดียว หากมีบางคนต้องการให้เขาหายไป…เรื่องนี้อาศัยแค่คำพูดประโยคเดียวมายืนยันไม่ได้
ซูโหรวมองไปยังเกล็ดหิมะที่ปลิวไสวใต้โคมไฟสีแดงด้านนอกศาลาชิงซิน นางยิ้มจาง ๆ แล้วสะบัดเข็มปักในมือออกไป พริบตาเดียวก็ดึงมันกลับมา จากนั้นนางก็ถือเข็มปักแล้วยื่นไปตรงหน้าหยูเวิ่นหวิน ปลายเข็มมีเกล็ดหิมะแผ่นหนึ่งเสียบคาไว้อยู่ มีลักษณะเป็นหกเหลี่ยม สีใสจนมองเห็นทะลุไปอีกด้าน จากนั้นมันก็ค่อย ๆ ละลาย
“อาศัยการปักดอกไม้มาเกือบยี่สิบปี”
หยูเวิ่นหวินมองซูโหรวอย่างตกตะลึง ส่วนซูโหรวก็ก้มหน้าปักผ้าลายเป็ดยวนยางต่อ
ตอนที่เข็มบินออกไปนางก็มองไม่เห็น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนดึงมันกลับมาพร้อมเกล็ดหิมะเลย นี่คือวรยุทธ์ที่ท่านพี่เคยเอ่ยถึงหรือเปล่า ? พี่ชายของนางใช้กระบี่ ส่วนซูโหรวใช้เข็ม !
ต่งชูหลานกับฟู่เสี่ยวกวนก็ตกใจเช่นกัน พวกเขาไม่เคยเห็นซูโหรวลงมือมาก่อน จึงคิดไม่ถึงเลยว่านางจะเก่งกาจถึงเพียงนี้ ถ้าหากต้องการสังหารคน คงสามารถฆ่าคนได้อย่างไร้ร่องรอย
คิดดูแล้วก็น่ากลัว เข็มเล็ก ๆ นี้สามารถบินออกไปเก็บชีวิตของใครสักคนที่อยู่ห่างออกไปได้ คาดว่าแม้แต่เจ้าหน้าที่ทางการก็มิอาจตรวจสอบสาเหตุการตายได้ คนจากยุทธภพช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก !
เช่นนั้นศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ย…คงไม่ใช่ว่าเขาจะใช้กระบี่ไม้ที่อยู่ด้านหลังเป็นอาวุธหรอกนะ ?
แล้วซูซูล่ะ ? คงไม่ใช่ใช้พิณในการสู้หรอกนะ
……
เดือนหนึ่งวันที่สาม หิมะยังคงตกหนัก
หลังจากฟู่เสี่ยวกวนออกกำลังกายอาบน้ำแล้วเมื่อเห็นโลกในตอนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะขับร้องบทกวีออกมา
ฟ้าดินกว้างใหญ่
บ่อน้ำอนธการ
สุนัขดำกายาขาว
สุนัขขาวกายาบวม !
ต่งชูหลานอดยิ้มมุมปากไม่ได้ ซูซูที่นั่งแกว่งเท้าอยู่บนหินจำลองก็รู้สึกว่านี่เป็นบทกวีที่ดี
คำพูดสั้นกะทัดรัดแต่ครอบคลุม เพียงได้ฟังก็เข้าใจ เพียงแต่ที่นี่ไม่มีสุนัขขาวดำ ถ้าไม่ใช่เพราะศิษย์พี่สอง ในสำนักคงมีสุนัขอยู่คู่หนึ่ง
เจ้าสุนัขที่น่าสงสาร เมื่อฤดูหนาวปีที่แล้ว ถูกข้าตุ๋นทั้งน้ำตาพร้อมศิษย์พี่สองและอาจารย์
วันที่สาม เหล่าพ่อค้าแม่ค้าเปิดกิจการกันตามปกติ
ต่งชูหลานอยากจะพูดคุยเกี่ยวกับรายรับรายจ่ายเมื่อปีที่แล้วกับฟู่เสี่ยวกวน แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับไม่สนใจ นางเองก็คร้านจะพูดเรื่องนี้กับเขา อย่างไรก็ตามรายได้ทั้งหมดก็อยู่ในบัญชีของนาง
“เจ้าต้องเร่งรัดสินค้าของซีซาน โดยเฉพาะสุรา ข้าได้บอกให้พี่รองไปดูร้านใหม่เรียบร้อยแล้ว และวางแผนที่จะซื้อเพิ่มอีกสองสามแห่ง ตอนนี้ชื่อเสียงของสุราเซียงเฉวียนกับสุราเทียนฉุนเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง แต่เมืองหลวงกลับไม่มีขาย จะให้เป็นเช่นนี้มิได้ พวกเราต้องมีร้านเป็นของตัวเองเพื่อขายสุราทั้งสองชนิดนี้ ชื่อของร้านยังคงเป็นหยู๋ฝูจี้”
“นอกจากนี้แผนงานของถิงเหม่ยในเมืองหลวงจะต้องเสร็จสมบูรณ์ภายในปีนี้ ร้านถิงเหม่ยทั้งสี่แห่งของเมือง จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในสองเดือน จากนั้นก็ค่อยมองดูว่าควรจะขยายไปยังรอบนอกหรือไม่”
“เมื่อคืนแม้จะรู้ฝีมือของพี่ซูโหรว แต่เจ้าก็ต้องระวังตัว อย่างไรเสียกระบี่ไม่มีตา และกระดูกของเจ้าก็ไม่แข็งเท่ากับเหล็กกล้า ไม่เช่นนั้น เจ้าก็แขวนหม้อเหล็กไว้กับตัวเพื่อป้องกันการโจมตีดีรึไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะออกมา ถ้าเช่นนั้นหรือจะให้ข้าสร้างกระทะเหล็กขึ้นมาเพื่อป้องกันตัวดี ?
“เจ้าวางใจเถอะ ข้าออกกำลังกายทุกวัน แต่เดาว่าเจ้ากับเวิ่นหวินคงลืมการวิ่งในตอนเช้าไปแล้ว”
ต่งชูหลานกลอกตาใส่เขา วิ่งตอนเช้าเนี่ยนะ…อากาศในตอนเช้าดีจะตาย ใครจะอยากตื่นออกมาวิ่งกัน ?
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ ต่งชูหลานก็เดินทางไปยังร้านถิงเหม่ยที่ตรอกชิงหลวน ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิด จากนั้นก็เรียกให้คนไปเตรียมรถม้าเพื่อที่จะเดินทางไปยังตระกูลชือ
เขานั่งอยู่ในรถม้า การไปเยี่ยมคารวะตระกูลชือมิใช่ความคิดชั่ววูบ แต่เมื่อวานตนเองได้บอกกล่าวเรื่องนี้กับชืออีหมิงไปแล้ว
และจุดประสงค์ที่เขาต้องการจะไปพบก็คือพื้นที่ 2 แห่งที่ตรอกชิงหลวน
พื้นที่โล่งทั้งสองแห่งนั้นค่อนข้างใหญ่มาก และอยู่ในทำเลที่ดี ถ้าหากสร้างห้างสรรพสินค้าครบวงจรบนพื้นที่ทั้งสองแห่งนั้น ที่นั่นจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองจินหลิง ในอนาคตจะต้องสร้างรายได้จำนวนมหาศาลอย่างแน่นอน
ชือเฉาหยวนย่อมมิอยากเห็นหน้าเขา แต่ถ้าหากชืออีหมิงนำคำพูดนั้นไปกล่าวกับเขา แน่นอนว่าชือเฉาหยวนก็ต้องอยู่พบหน้าเขา
ตราบใดที่ชือเฉาหยวนยอมพบหน้า เขาก็มีโอกาสถึง 5 ส่วนในการเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายปล่อยมือจากที่ดินสองผืนนั้น
ส่วนจุดประสงค์ที่สองที่ไปยังตระกูลชือ ก็เพื่อแสดงท่าทีให้องค์ฮ่องเต้เห็น !
ไม่ใช่ว่าจะให้ข้าเป็นขุนนางกูเฉินรึ ? เยี่ยงนั้นข้าจะแสดงให้ท่านเห็นเอง
ส่วนจุดประสงค์ที่สาม…เขาอยากจะหลอกล่อให้นักฆ่าลงมือ แต่คิดไปคิดมานักฆ่าคงมิโง่ขนาดนั้น ดังนั้นจุดประสงค์นี้จึงคิดว่าอาจจะไม่เกิดขึ้น
……
ในเช้าวันที่สามของเดือนแรก ชือเฉาหยวนไปยังห้องหนังสือที่ด้านหลังสวนดอกไม้ เพื่อเข้าพบบิดาของเขา
“เรื่องเมื่อวาน มิรู้ว่าท่านพ่อตัดสินเยี่ยงไร ? ”
นายผู้เฒ่าชือเดินไปมาในห้องหนังสือโดยใช้ไม้เท้าหัวนกกระเรียนขาวพยุงตัว สติปัญญาของเขามิเลวเลย แม้ว่าจะเป็นผู้เฒ่าวัยเจ็ดสิบก็ตาม หลังมิค่อม ดวงตามิพร่ามัว มีแต่ผมสีขาวโพลน และรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า
“ตระกูลชือของพวกเราเริ่มต้นจากชาดทาหน้า และสืบทอดต่อกันมาจนบัดนี้ก็รุ่นที่ห้าแล้ว สมัยรุ่นที่สามมีคนในตระกูลได้เข้าไปเป็นขุนนาง แต่หลายปีมานี้…อิทธิพลตระกูลชือในราชสำนักก็ยังอ่อนแอที่สุด คนในเมืองหลวงต่างก็คิดว่าตระกูลใหญ่อันดับสองก็คือพวกเรา แต่มีเพียงพวกเราเท่านั้นที่รู้ว่า ตระกูลชือของพวกเรานั้นเทียบตระกูลเซวี๋ยไม่ได้ อย่างมากก็เอาชนะได้แค่ตระกูลฉินเท่านั้น แต่นั่นก็เป็นเพราะว่าสองพี่น้องตระกูลฉินแตกคอกัน”
นายผู้เฒ่าชือนั่งลงข้างโต๊ะน้ำชา สองมือยังคงกุมไม้เท้าเอาไว้ และกล่าวต่อไปว่า “ตอนฟู่เสี่ยวกวนถูกลอบสังหารเมื่อปีที่แล้ว องค์ชายห้าก็ส่งคนในหอชิงเฟิงซี่หยู่มากวาดล้างหย่งเล่อฟางกับหอเยียนจือ ดังนั้นเจ้าต้องผิดชอบเรื่องนี้ ! ”
“ท่านพ่อ…”
นายผู้เฒ่าชือโบกมือ ขัดคำพูดของชือเฉาหยวน
“แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าก็เป็นคนรอบคอบ แต่ทำไมวันนั้นที่พระราชวังจินเตี้ยนเจ้าถึงได้ยื่นหน้าออกไป ? เจ้ามิตอบ และปล่อยให้ข้ามาคาดเดาเอาเอง”
ชือเฉาหยวนหลั่งเหงื่อออกมาจนเต็มไปใบหน้า เขาลดศีรษะลง และฟังอยู่เงียบ ๆ
“องค์ชายใหญ่กำพร้ามารดาตั้งแต่เด็ก แต่เจ้าควรรู้ไว้ว่าลุงขององค์ชายใหญ่คือตระกูลเซวี๋ย แม้ในเมืองหลวงตระกูลเซวี๋ยจะถ่อมตัว แต่พวกเขาก็ยังมีความสามารถส่งเซวี๋ยปิงหลานขึ้นเป็นฮองเฮาได้ ฉะนั้นการจะตัดสินความแข็งแกร่งของพวกเขาจึงมิอาจจะทำได้ง่ายนัก หรือเจ้าคิดว่าองค์ชายใหญ่ผู้นั้นเป็นคนเรียบง่ายกระนั้นหรือ ? ”
“คนอื่น ๆ คิดว่าองค์ชายใหญ่คือผู้มีความสามารถแค่ทางบู๊ หรือว่าเจ้าก็ตาบอดเช่นกัน ? ”
ชือเฉาหยวนคุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังปึก “ท่านพ่อ…ข้า ลูกเองก็ถูกบีบบังคับเช่นกัน ! เป็นองค์ชายใหญ่ที่สั่งข้า พระองค์ตรัสว่า ตรัสว่าฟู่เสี่ยวกวนช่างขัดพระเนตรของพระองค์นัก ดังนั้นจึงรับสั่งให้ลูกทำให้เขาอับอายที่พระราชวังจินเตี้ยน”
นายผู้เฒ่าชือกระแทกไม้เท้าลงกับพื้นดัง “ปึง ! ” ชือเฉาหยวนใจสั่นขึ้นมา นายผู้เฒ่าสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้านี่มัน…อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าคิดจะทำอะไร ข้าแก่แล้วก็จริง แต่สายตามิได้ฝ้าฟาง การเหยียบเรือสองแคมมีแต่จะทำให้ตกลงไปในน้ำ เหตุใดเจ้าถึงไม่เรียนรู้เรื่องนี้จากอาจารย์เยี่ยน ? ”
นายผู้เฒ่าชืออดเจ็บใจมิได้ที่ไม่อาจฝนทั่งให้เป็นเข็ม เขาส่ายหน้า “เมืองหลวงต่างก็พูดว่าตระกูลเยี่ยนและตระกูลของพวกเราล้วนสนับสนุนองค์ชายใหญ่ แต่ความจริงเป็นเช่นนั้นรึ ? เจ้าเชื่อเรื่องนี้รึ ? ตระกูลเยี่ยนสนับสนุนเพียงองค์ฮ่องเต้ที่ได้นั่งบนบัลลังก์มังกร ! และตระกูลของพวกเราก็ต้องเป็นเหมือนตระกูลเยี่ยน ! เจ้าแค่ต้องยืนเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบ อยากจะอยู่กึ่งกลางระหว่างสองแถว คิดว่าใต้หล้านี้มีเรื่องที่ดีงามเช่นนั้นอยู่จริงหรือ ? ”
“ดังนั้นข้าจะไปเข้าเฝ้าพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย แล้วขอให้พระนางตรัสกับองค์ชายห้าให้ส่งหอชิงเฟิงซี่หยู่ไปทำลายกิจการทั้งสองแห่งนั้นให้สิ้นซาก”
ชือเฉาหยวนเงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตระหนก และมองไปยังบิดาของตนด้วยแววตาสงสัย จากนั้นก็ก้มหน้าลงอีกครั้ง
ฉากหน้าบิดาเหมือนจะให้คำอธิบายแก่ฟู่เสี่ยวกวน แต่ความจริงแล้วก็แค่แสดงให้ซั่งกุ้ยเฟยเห็น และพิสูจน์ให้พระนางเข้าใจว่าเรื่องการลอบสังหารของฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้เกี่ยวข้องกับตระกูลฉือ
“เจ้าคิดว่าราคานี้สูงเกินไปใช่หรือไม่ ? แล้วก็ยังคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนไม่ใช่คนสำคัญอะไร ? ”
ชือเฉาหยวนไม่ตอบกลับ เพราะว่าเขาคิดเช่นนั้นจริง ๆ
“เจ้ามองกระดานหมากนี้ไม่ออก ! และไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากระดานหมากนี้ใครเป็นผู้เล่น ! ”
“เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าการตรวจสอบในครั้งนี้ของฝ่าบาทเป็นเรื่องบังเอิญ ? หรือเจ้าคิดจริง ๆ ว่าที่ฟู่เสี่ยวกวนถูกลอบสังหารเป็นเพราะนโยบายของเขาที่ล่วงเกินคนอื่น ๆ ? ”
“ไร้เดียงสา ! ”