นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 236 การสนทนาของพ่อลูกยามค่ำคืน
พื้นดินกว้างใหญ่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ พื้นธรณีถูกแช่แข็งเย็นยะเยือกหลายพันลี้
ถนนแห่งเมืองหลวงเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ มิค่อยมีผู้คนเดินไปมาเท่าใดนัก เหลือเพียงไฟสีเหลืองนวลในโคมไฟที่แขวนอยู่ตามข้างทางที่ยังคงส่องสว่าง
ฟู่เสี่ยวกวนเดินฝ่าท่ามกลางหิมะมาจนถึงจวนฟู่ เขาสะบัดเท้าเพื่อให้หิมะหลุดออกไป ในใจก็พลันคิดไปว่า รองเท้าหนาถึงเพียงนี้แต่ก็ยังมิอาจต้านทานความหนาวเย็นของหิมะที่แทรกซึมเข้าไปจนถึงกระดูกได้ มิรู้ว่าท่านพ่อจะทนต่ออากาศที่เมืองหลวงนี้ได้หรือไม่
เขาเดินมาถึงหลีเฉินซวน เมื่อผลักประตูเข้าไป อากาศอันอบอุ่นจากด้านในก็ลอยออกมา อากาศหนาวเย็นจากด้านนอกลอยตามเขาเข้าไป ทำให้ขี้เถ้าในเตาผิงลอยฟุ้ง
ฟู่เสี่ยวต้านั่งอยู่ด้านหน้าเตาผิง เขาดื่มน้ำชาอย่างมีความสุข คิดมิถึงว่าจู่ ๆขี้เถ้าจะลอยขึ้นมาปะทะกับใบหน้าของเขา เขาเงยหน้าขึ้นมองแล้วยิ้ม
“ชุนซิ่ว ข้ากลับมาแล้ว เตรียมสำรับข้าวได้”
“เจ้าค่ะ ! ”
ชุนซิ่วยิ้มด้วยท่าทางมีความสุขยิ่ง ความรู้สึกคล้ายกับหวนไปยังช่วงเวลาที่หลินเจียง
“ลูกพ่อ ลุกขึ้นขยับร่างกายเพิ่มความอบอุ่นก่อนเถิด”
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นไปด้วยใบหน้าอันเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม เขานั่งลงข้าง ๆ ฟู่ต้ากวน เขาเทใบชาที่บัดนี้เต็มไปด้วยขี้เถ้าทิ้งไป จากนั้นต้มกาใหม่ แล้วเอ่ยว่า “ท่านพ่อ อากาศที่นี่หนาวกว่าหลินเจียงมากนัก ท่านปรับตัวได้หรือไม่ ? ”
“เมื่อก่อนข้าเดินทางไปทั่วสารทิศ ขึ้นเหนือล่องใต้ อากาศเลวร้ายแบบใดที่ข้ายังมิเคยพบกัน ? อีกทั้งเมื่อก่อนข้าเองก็เคยอยู่ที่เมืองจินหลิงในฤดูหนาว…” ฟู่ต้ากวนยืดคอขึ้น ดวงตาทั้งสองข้างจ้องไปยังฟู่เสี่ยวกวน เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาว่า “เรื่องในพระราชวังนั้น เมื่อใดจึงจะจัดการเรียบร้อย ? ”
“สำนักโหราศาสตร์ดูฤกษ์ไว้วันที่ยี่สิบหกเดือนหนึ่ง พิธีกรรมของสำนักเต๋าจะทำถึงวันที่ยี่สิบแปด อีกไม่กี่วันเท่านั้น เพียงแต่ว่า…เรื่องงานหมั้นหมายคาดว่าจะต้องเลื่อนออกไปก่อน เนื่องจากตามธรรมเนียมแล้ว เวิ่นหวินจะต้องไว้ทุกข์เป็นเวลาครึ่งปี”
“อืม…” ฟู่เสี่ยวกวนหดตัวลง แววตาของเขาเคร่งขรึมในทันที หลังครุ่นคิดชั่วครู่แล้วจึงได้เอ่ยว่า “เช่นนั้นคงต้องรอกระทั่งเดือนแปดเสียแล้ว”
ฟู่ต้ากวนเข้าใจดีว่าหากเรื่องของหยูเวิ่นหวินยังมิได้จัดการให้เรียบร้อย ก็มิอาจดำเนินการเรื่องที่จวนต่งได้เช่นกัน เนื่องจากเรื่องนี้มิได้แบ่งแยกว่าใครมาก่อนมาหลัง นอกเสียจากต่งชูหลานได้แต่งเข้าบ้านก่อนหน้านี้แล้ว ในตอนนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจัดการเรื่องขององค์หญิงให้เรียบร้อยเสียก่อน
เนื่องจากที่ไทเฮาเสด็จสวรรคต แม้แต่การที่จะเชิญคนจากจวนต่งมาร่วมรับประทานอาหารก็ยังมิกล้า หากได้ยินไปถึงหูฝ่าบาทเข้า เกรงว่าฝ่าบาทจะทรงมิพอพระทัย
เมื่อเขานึกถึงเรื่องราวที่ถนนสายยาวนั้น ในใจก็กังวลยิ่ง เมืองหลวงนี้ช่างอันตรายนัก ฟู่เสี่ยวกวนหดคอลงมาอีก เขาเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “ลูกพ่อ เมื่อตอนปีใหม่พ่อได้รวบรวมเงินทองดูแล้ว มีประมาณ 1,200,000 ตำลึง”
ฟู่เสี่ยวกวนเบิกตากว้าง “มากมายถึงขนาดนั้นเชียวหรือ ?”
ฟู่ต้ากวนพยักหน้า จากนั้นเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอันเบาว่า “พ่อคิดเช่นนี้ จวนของพวกเรามีเงินทองมากมาย อีกทั้งผืนนาล้นหลามที่ผลิดอกออกผลในทุกปี ยังไม่รวมถึงกิจการของลูกที่ภูเขาซีซาน เท่านี้ก็เพียงพอให้พวกเราทุกคนใช้จ่ายอย่างมีความสุขตลอดชีวิตแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังมายิ้มว่า “ท่านพ่อต้องการจะเอ่ยอันใด จงกล่าวออกมาเถิด”
“พ่อหมายความว่า…ลูกจะลาออกจากตำแหน่งหน้าที่พวกนั้นได้หรือไม่ พวกเรากลับไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุขที่เมืองหลินเจียง เป็นพ่อค้าที่ดินผู้มั่งคั่ง จะมิดีกว่าหรือ ?”
ฟู่เสี่ยวกวนกำลังจะเอ่ยบางคำออกมา กลับถูกฟู่ต้ากวนพูดขัดขึ้นมาว่า “พ่อนั้นหวังว่าเจ้าจะไม่ใช้ชีวิตอย่างหนักหนามากจนเกินไป พ่อเพียงหวังว่าเจ้าจะสืบสานกิจการในครอบครัวต่อไปได้ ส่วนเรื่องตำแหน่งในราชวังนั้นเป็นความใฝ่ฝันของแม่เจ้า แต่นางเพียงอยากให้เจ้าเป็นเพียงแค่ขุนนางชั้นเล็ก แต่จากที่พ่อดู บัดนี้ตำแหน่งเจ้าใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ จิตใจของพ่อเริ่มเป็นกังวลมากขึ้นทุกที”
“ลูกพ่อ บัดนี้เจ้ามีทั้งชื่อเสียงและเงินทอง เจ้าควรรีบวางมือเมื่อครั้นสถานการณ์ยังดีอยู่มิดีกว่าหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนรินน้ำชาให้แก่บิดาของเขา เขาแอบถอนหายใจ ความจริงคำพูดของผู้เป็นพ่อนั้น เขาเห็นด้วยยิ่ง แต่บัดนี้เขามิอาจตอบรับได้
เนื่องจากบัดนี้เขาก่อเรื่องไว้มากมายเสียเหลือเกิน ตระกูลผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหกแห่งเมืองหลวง นอกจากตระกูลเยี่ยนแล้ว อีกห้าตระกูลก็มิได้ชื่นชอบเขาเท่าใดนัก หากเขาถอนตัวตอนนี้ เขาเชื่อว่าวันรุ่งขึ้นจวนต่งคงถูกฆาตกรรมเสียจนหมดสิ้น อีกทั้งศัตรูผู้ยิ่งใหญ่นั่นคือองค์ชายสี่ !
บัดนี้เขาทำได้เพียงพึ่งพาบารมีของฮ่องเต้ แล้วใช้ความคิดอันล้ำหน้ามาแก้ไขราชวงศ์หยู เพื่อให้ตนได้ยืนอยู่ในพระราชวังอย่างมั่นคง มั่นคงถึงขั้นที่ว่าองค์ชายคนใดก็มิกล้าต่อกรกับเขา เช่นนี้จึงจะรักษาความปลอดภัยของคนในจวนฟู่ไว้ได้
นี่แหละที่กล่าวกันว่าขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก และคงต้องปล่อยไปตามน้ำเสียแล้ว
“ข้าจะกลับไปหลินเจียงเป็นแน่”
ฟู่ต้ากวนดีใจยิ่ง แต่คาดไม่ถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเอ่ยต่อ “แต่ยังมิใช่บัดนี้”
เขามิอยากอธิบายเรื่องนี้แก่ฟู่ต้ากวน จึงได้เอ่ยถามถึงเรื่องอื่น
“แม่ทั้งหกของข้าเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? เสี่ยวซีเดินได้แล้วรึ ?”
“แม่ทั้งหกสบายดี ส่วนเสี่ยวซียังเดินมิได้ แต่คลานได้แล้ว…พ่อกำลังเอ่ยถึง…”
“ท่านพ่อ ข้าจะบอกข่าวดีแก่ท่านว่า ท่านอาจจะมีลูกสะใภ้เพิ่มอีกหนึ่งคน”
ประโยคนี้ทำให้ฟู่ต้ากวนหันมาให้ความสนใจ เขารีบเอ่ยถามว่า “บุตรสาวบ้านใดกัน ?”
“ตระกูลเยี่ยน หลานสาวของท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเป่ยซี”
“หา…!”
ฟู่ต้ากวนตกตะลึงยืดตัวตรง เขาอ้าปากค้างอยู่สองนาน
ในที่สุดก็สูดลมหายใจเข้าแล้วเอ่ยว่า “บุตรสาวของเยี่ยนซือเต้างั้นรึ ?”
“มิใช่ เป็นบุตรสาวของเยี่ยนฮ่าวชู”
ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจออกมา เขานึกในใจว่าบุตรชายของตนคงไปจากเมืองหลวงตอนนี้มิได้เป็นแน่
คนหนึ่งก็เป็นถึงองค์หญิง อีกคนหนึ่งเป็นบุตรสาวของเสนาบดีกรมคลัง บัดนี้มีหลานสาวของอัครมหาเสนาบดีเพิ่มมาอีกคน…เขาเอามือกุมขมับ ต่อให้มิคำนึงถึงฮ่องเต้ เพียงแค่เสนาบดีกรมคลังและอัครมหาเสนาบดี ก็คงมิปล่อยให้บุตรชายของตนกลับหลินเจียงเพื่อเป็นพ่อค้าที่ดินเป็นแน่
เช่นนั้นเขาคงต้องปรับเปลี่ยนความคิดของตนใหม่เสียแล้ว เขาล้มเลิกการอบพบยครอบครัวมายังเมืองหลวง จวนฟู่ที่หลินเจียงนั้นจะแตะต้องมิได้ ไม่เพียงแต่เท่านี้ เขายังคงต้องออกเดินทางไปรอบ ๆ อาทิเช่นราชวงศ์อู่หรือแคว้นฝาน
ในฐานะพ่อค้าที่ดินรายใหญ่ผู้มีความคิดและไม่โอ้อวด เขามิได้ดีใจเนื่องจากบุตรชายของตนมีภรรยาที่แข็งแกร่งเพียงนี้ ในทางกลับกัน เขาค่อนข้างจะกังวลใจ
ยิ่งสูงยิ่งหนาว !
หากตกลงมาละก็ มีเพียงแค่ความตายเท่านั้นที่รออยู่ !
เขามิได้เอ่ยถึงแผนการในใจให้ฟู่เสี่ยวกวนฟัง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าจงรับหน้าที่ของเจ้าในเมืองหลวงให้ดีที่สุด ตระกูลเรามิขาดแคลนเงินทอง เจ้าอย่าได้ทำการทุจริต ความสัมพันธ์ในราชวังนั้นซับซ้อนยิ่งนัก เจ้าควรวางตัวให้ดี อีกอย่างหนึ่งก็คือ เจ้าฆ่าทหารม้าของฮุ่ยชินอ๋องทั้งสี่ร้อย ณ ถนนสายยาวนั้นจริงหรือไม่ ?”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มแล้วส่ายหัว “ข้าจะมีความสามารถเช่นนั้นได้เยี่ยงไร ? เป็นซูซูและซูโหรวต่างหาก”
“อ้อ แม่นางซูซูหน้าตางดงามยิ่ง ไม่เลวเลยทีเดียว”
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้ามองบิดาผู้อ้วนท้วนของเขา ท่านพ่อหมายความว่าเยี่ยงไรกัน ?
“เมื่อหลายวันก่อนที่ชุนซิ่วเดินทางมารับพ่อ พ่อเห็นแม่นางซูซูเข้า ก็ตกตะลึง พ่อคิดว่า…คิดว่าเป็นภรรยาคนใหม่ของเจ้า ดังนั้นพ่อจึงได้พูดคุยกับนางมากมาย เช่นเรื่องราวของเจ้าในอดีตและบัดนี้ แล้วก็…เอาเป็นว่าพ่อมิได้เอ่ยถึงเจ้าในทางที่ไม่ดีเลย แม่นางคนนั้นตั้งใจฟังและยิ้มออกมาบางครา พ่อจึงได้เอ่ยออกไปอีกประโยคหนึ่ง”
ฟู่เสี่ยวกวนสงสัย จึงรีบเอ่ยถามว่า “ท่านพ่อเอ่ยว่าเยี่ยงไร ?”
“พ่อบอกนางว่า…ข้านั้นรับอนุภรรยาถึง 6 คน ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น หากแม่นางแต่งเข้าตระกูลฟู่แล้ว รับรองว่าลูกชายข้าจะปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียม ! ”
“……”
เมื่อเห็นท่าทางของฟู่เสี่ยวกวน ฟู่ต้ากวนก็หัวเราะออกมา “ซูซูกล่าวว่านางเป็นเด็กกำพร้า เติบโตมาในสำนักเต๋า พ่อมิได้คิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ สตรีเยี่ยงนี้จะดูแลครอบครัวได้เป็นอย่างดี อีกทั้งนางมีทักษะการต่อสู้ที่ดี หากเจ้าได้นางมา นางก็สามารถติดตามปกป้องเจ้าได้ในทุกหนแห่งมิใช่รึ ? ”
“ท่านพ่อ… !” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ท่านอย่าได้คิดไปไกล ซูซูยังเด็กนัก ในสายตาข้า นางยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมด้วยซ้ำ ข้าเห็นนางเป็นน้องสาวคนหนึ่ง เรื่องเช่นนี้ท่านอย่าได้เอ่ยออกมาอีกเชียว อีกทั้ง…ท่านพ่อไม่รู้ว่าแม่นางเก่งกาจเพียงใด นางเป็นถึงผู้มีความสามารถแห่งสำนักเต๋า ! หากข้าได้นางมาเป็นภรรยา นางคงได้ตบตีข้าเป็นว่าเล่นไป ข้าจะใช้ชีวิตได้เยี่ยงไรเล่า ? ”
เมื่อฟู้ต้ากวนครุ่นคิดดู เขาก็รู้สึกว่าตนมิได้คำนึงถึงส่วนนี้ แม่นางซูซูมิใช่บุตรสาวตระกูลใหญ่ที่ถูกอบรมสั่งสอนมาอย่างดี ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าแล้วไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก เขาเอ่ยถึงเรื่องที่หลินเจียงขึ้นมา
“จางจือเช่อ หัวหน้าตระกูลจางเจ้าจำได้หรือไม่ ? บิดาของจางเพ่ยเอ๋อร์ที่กระโดดน้ำฆ่าตัวตายเพราะเจ้า”
อะไรคือกระโดดน้ำฆ่าตัวตายเพราะข้า ?
ท่านพ่อช่างไม่ยุติธรรมเสียจริง !
“จำได้ มีอันใดรึ ? ”
“บุตรชายของเขา จางเหวินฮั่น ได้คัดเลือกเป็นจิ้นซื่อเมื่อปีก่อน เดือนสิบสองก็ได้รับตำแหน่ง ข้าจำได้ว่า…เขาไปรับหน้าที่เป็นนายอำเภอแห่งผิงหลิงอี้ จางเหวินฮั่นจัดงานเลี้ยงฉลองยิ่งใหญ่อยู่สามวันสามคืน ! พ่อคิดว่า ลูกพ่อได้รับตำแหน่งใหญ่โตเพียงนี้ ควรจะจัดงานฉลอง ณ หอหลินเจียงสักหนึ่งเดือนเป็นเยี่ยงไร ?”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สนใจประโยคท้ายของฟู่ต้ากวน เขาสนใจที่ประโยคแรกมากกว่า
จางเหวินฮั่นไปรับหน้าที่ที่ผิงหลิงอี้งั้นรึ…เยี่ยนหลินชิว ลูกพี่ลูกน้องของเยี่ยนซีเหวินเดินทางไปยังชวูอี้ ทั้งสองที่นี้อยู่ในเขตหลิน ล้วนเป็นดินแดนที่แห้งแล้งและต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากชาวฮวงทางตอนเหนือ ไม่รู้ว่าเขาจะปกครองผิงหลิงอี้เยี่ยงไร ?
เมื่อพบว่าบุตรชายมิเอ่ยอันใดออกมา ฟู่ต้ากวนจึงได้เอ่ยถามว่า “เจ้าเป็นอะไรไป ?”
“ข้าคิดว่าเงินเหล่านั้นนำไปเสาะหาผู้มีความสามารถจะเป็นประโยชน์กว่า ท่านพ่อ ร้านค้าที่ซีซานเปิดแล้ว ในปีนี้เขตเหยาเป็นจุดสำคัญทีเดียว ข้านั้นมิอาจเดินทางออกจากที่นี่ได้ ท่านเองก็ต้องดูแลแม่ทั้งห้าที่กำลังตั้งครรภ์ พวกเราควรจัดการหาผู้มีความสามารถและเชื่อถือได้ให้ช่วยจัดการเรื่องเหล่านั้นดีหรือไม่ ? ”
ฟู่ต้ากวนหัวเราะแห้ง ๆ ออกมา “ในบรรดาคนที่เจ้าช่วยเหลือไว้ในภูเขาซีซานก็มีผู้มากความสามารถอยู่หลายคน คนหนึ่งมีนามว่าลวี่ตงผิง เจ้ายังจำได้หรือไม่ แม้เขาจะอายุ 60 ปีแล้ว แต่ก็ยังชัดเจนในทุก ๆ เรื่อง พ่อจึงได้เลื่อนตำแหน่งให้เขาเป็นผู้ดูแลเรือนซีซานนั่น และย้ายจางเช่อไปยังเขตเหยาแล้ว”
“พ่อคิดเช่นนี้ ลวี่ตงผิงได้รับการยอมรับจากคนในซีซาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของเรือนซีซานหรือภูเขาเฟิ่งหลิน โดยมากพวกเขาก็เป็นคนซีซาน จึงให้เขามารับหน้าที่นี้ ผลออกมาดียิ่ง แต่ที่เขตเหยาโดยมากเป็นคนของเราเอง คุ้นเคยกับจางเช่อดี การที่ให้เขาไปยังเขตเหยาจะเหมาะสมกว่า”
“อีกทั้งจวนฟู่ที่หลินเจียง ไป๋หยู่เหลียนได้ส่งคนจำนวน 40 คนมา กล่าวว่าถูกขับไล่ออกจากกลุ่มทหารตอนฝึกซ้อม แต่ทว่าฝีมือดีกว่าผู้ดูแลทั่วไปหลายเท่า ข้าจึงได้รับเอาไว้”
ขิงนี่ยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดเสียจริง !
การจัดการของฟู่ต้ากวนนั้น ฟู่เสี่ยวกวนเห็นด้วยและนับถือเขายิ่ง ทั้งสองพ่อลูกสนทนากันอย่างสนุกสนาน ทันใดนั้นประตูของหลีเฉินซวนก็ถูกเปิดออกอีกครา
ชุนซิ่วเดินนำจินเชียนฮู่แห่งจวนผู้ว่าเขตจินหลิงเดินเข้ามา
เขากำมือขึ้นคารวะ “ข้าน้อย จินฮ่าวจือ คารวะท่านขุนนางฟู่ ท่านขุนนางหนิงเรียนเชิญท่านไปยังจวนผู้ว่าเขตจินหลิงขอรับ”