นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 238 หาเหาใส่หัว
ตอนที่ 238 หาเหาใส่หัว
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เดือนหนึ่งวันที่ยี่สิบห้า ณ สำนักงานเสมียนกลาง พระราชวังแห่งเมืองหลวง
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกปวดหัวยิ่งเมื่อมองไปยังเอกสารกองโตที่วางอยู่บนโต๊ะ
เอกสารเหล่านี้คือเอกสารทางราชการต่าง ๆ ที่ส่งมาจากทั่วทุกพื้นที่ของราชวงศ์หยูนับแต่ปีใหม่เป็นต้นมา เนื้อหาครอบคลุมทุกเรื่องราวต่าง ๆ นานา โดยมากจะเกี่ยวข้องกับการปกครองของแต่ละท้องที่ สถานการณ์การทำนาในช่วงฤดูใบไม้ผลิ การขอเข้ารับตำแหน่งราชการ อีกทั้งเรื่องการขอความช่วยเหลือด้านการเงินเป็นต้น แต่ก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนดูแล้วไม่ปกติ
อาทิเช่น บนภูเขาเป่ยจี๋นอกเมืองซีเฉิงคล้ายได้ยินเสียงของมังกร พบเห็นเมฆาหลากสี สัตว์น้อยใหญ่แตกตื่น ดูแล้วเป็นเรื่องมงคลยิ่ง
ณ ชนบทแห่งหนึ่งทางใต้ มีหญิงคนหนึ่งคลอดลูกออกมา เมื่อลืมตาดูโลกทารกก็ได้เอ่ยปากพูดว่าราชวงศ์หยูจงเจริญรุ่งเรือง !
หรือเช่นเมืองผู่โจวทางด้านตะวันตก อีกทั้งฉบับนี้เป็นจดหมายจากขุนนางระดับสูง เขียนมาว่าในรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เดือนหนึ่งวันที่สิบห้า หิมะตกลงจากฟากฟ้า ต้นเมเปิ้ลสายพันธุ์จีนต้นหนึ่งที่ใบได้ร่วงโรยไปสิ้นแล้ว มีนกเฟิ่งหวงบินมาเกาะ จากนั้นหันหน้าไปทางพระราชวังหลวงแล้วก้มหัวคารวะอยู่เก้าทีก่อนบินจากไป
เขาโยนหนังสือเหล่านี้ไปไว้ข้าง ๆ แล้วนึกขึ้นมาในใจว่า หากข้าเป็นผู้เขียนคงน่าสนใจกว่าเอกสารของพวกเจ้ามากมายนัก !
เขายกแก้วน้ำชาขึ้นมาดื่ม จากนั้นเริ่มต้นการทำงานของวันใหม่ เขาจัดการเอกสารที่มองแล้วเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ออกมาจากกองเอกสารเหล่านี้ จากนั้นทำรายงานทีละฉบับเป็นความหมายว่าเขาได้อ่านเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็ส่งไปยังท่านซังหยูเพื่อพิจารณา หลังจากตรวจสอบอีกครั้งหนึ่งแล้ว เอกสารเหล่านี้จะถูกส่งเข้าไปยังสำนักอัครมหาเสนาบดี โดยมีอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเป่ยซีร่วมกับเสนาบดีทั้งหกร่วมกันพิจารณา ก่อนที่จะส่งต่อแก่ฮ่องเต้
หากเป็นเอกสารเร่งด่วนจะมีตราประทับที่หน้าเอกสาร เอกสารเช่นนี้เรียกว่าเอกสารประทับตราแดง ประเภทนี้จะต้องเร่งรีบดำเนินการให้เสร็จเร็วที่สุด
ในมือฟู่เสี่ยวกวนมิมีหนังสือประเภทนี้อยู่ ดังนั้นเขาจึงค่อย ๆ เปิดเอกสารเหล่านี้ดูทีละหน้า ๆ
เขาเปิดอย่างรวดเร็ว และลงนามอย่างรวดเร็วเช่นกัน เวลาในช่วงเช้าหมดไปกับสิ่งเหล่านี้ แต่สุดท้ายเขาก็มิพบว่ามีเอกสารใดเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจเลย
เกือบทุกฉบับล้วนเกี่ยวกับการเกษตร แต่ที่มากที่สุดนั้นคือการร้องขอเงิน
เอกสารประเภทนี้ เขาเพียงลงความคิดเห็นว่า “แนะนำให้ดำเนินการตามความเหมาะสม ! ”
จนกระทั่งในมือของเขาจับเข้าที่หนังสือจากเยี่ยนซีเหวิน เขาก็ยิ้มขึ้นมา
เจ้าหมอนี่ให้ความสำคัญกับเขตเหยาจริง ๆ เอกสารนี้เขาได้เขียนถึงความร่วมมือกับซีซาน แรกเริ่มเอ่ยถึงสถานที่ทำงานของเขตเหยาที่พัฒนามาจากซีซานและเป็นไปได้ด้วยดี เขายื่นของบประมาณจากทางราชวังเพื่อสร้างท่าเรือขนาด 50 ลี้ขึ้นที่เขตเหยา เพื่อสะดวกต่อการขนส่งสินค้าและวัสดุต่าง ๆ จากซีซาน สิ่งนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนมองเยี่ยนซีเหวินสูงขึ้นไม่น้อย เจ้าหมอนี่ไม่เลว !
ดังนั้นเขาจึงได้ลงความคิดเห็นอย่างตั้งใจว่า “แผนการดำเนินงานนี้ยอดเยี่ยม โปรดพิจารณาและส่งต่อไปถึงชั้นบนสุด
จากนั้นเขาได้เรียกฉีเหมยเข้ามา วานให้นำเอกสารที่อ่านเรียบร้อยแล้วไปยังที่ทำงานของซังหยู เขาลุกขึ้นยืนแล้วจัดแจงเสื้อผ้าเตรียมตัวเลิกงาน
ในวันนี้ต่งชูหลานจะเดินทางมาที่จวนเพื่อเยี่ยมพ่อของเขา เขาจะต้องรีบกลับจวน
แต่ทว่าเมื่อเขากำลังจะก้าวขาออกไป ฉีเหมยก็วิ่งเข้ามาแล้วเอ่ยว่า “ท่านฟู่ รอสักครู่ขอรับ !”
ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังกลับไป ฉีเหมยวิ่งมาหยุดอยู่ข้าง ๆ เขา “ท่านซังเชิญท่านเข้าพบ…อีกทั้งท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนก็อยู่ที่นั่นด้วยขอรับ”
ให้ตายสิ !
ถึงเขาจะทำงานล่วงเวลาก็มิได้มีค่าตอบแทน !
“ท่านซังมีเรื่องอันใดงั้นรึ ? ”
“ข้าน้อยมิทราบ แต่เกรงว่าจะเป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้ขอรับ”
วันพรุ่งนี้เป็นวันที่ยี่สิบหกเดือนหนึ่ง เป็นวันที่ต้องจัดการงานพระศพของไทเฮา เมื่อเขานึกไปถึงประโยคที่หยูเวิ่นเต้าเอ่ยกับเขาเมื่อคืนนั้นแล้วจึงได้ลอบถอนหายใจแล้วหันหลังกลับไปยังห้องทำงานของท่านซังหยู
“นั่งลงก่อน ! ”
เยี่ยนเป่ยซีเอ่ยกับเขา จากนั้นหันไปเอ่ยกับซังหยูว่า “หิมะทางเหนือครานี้สร้างความเดือดร้อนยิ่ง แทบจะครอบคลุมไปทั้งหย่งหนิงโจว ผิงหลินอี้และชวีอี้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ทั้งสองแห่งนี้มีบ้านเรือนนับร้อยหลังพังทลาย มีผู้คนเสียชีวิตสามร้อยยี่สิบกว่าคน บาดเจ็บกว่าพันคน เนื่องจากทั้งสองแห่งนี้มีภูมิประเทศค่อนข้างพิเศษ จึงเป็นการยากที่จะเข้าถึงเพื่อช่วยเหลือ ข้าได้ให้คังผิงขนย้ายสิ่งของต่าง ๆ สำหรับการช่วยเหลือจากเมืองหลานหลิงไปแล้ว กำชับให้ทหารจากเขตเหนือบางส่วนคุ้มครองพวกเขาไป คาดว่าคงไม่มีปัญหามาก เพียงแต่ว่านี่เป็นการช่วยเหลือเบื้องต้นมิใช่การจัดการปัญหา เนื่องจากในทุกปีทั้งสองเขตนี้จะเป็นเช่นนี้ ทำให้ประชากรในท้องที่อพยพไปเมืองอื่น ประชากรน้อยลงทุกปี ๆ จึงทำให้ทั้งสองเขตค่อนข้างยากจน”
เยี่ยนเป่ยซีขมวดคิ้วขึ้น แววตาของเขาขุ่นหมองแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้จะต้องได้รับการจัดการแก้ไขจากต้นเหตุ มิเช่นนั้น…ข้าเกรงว่าทั้งสองเขตนี้จะกลายเป็นเมืองร้างเข้าเสียสักวัน”
ซังหยูพยักหน้าเห็นด้วย เขาจึงตอบกลับไปว่า “นั่นสิ ทางเหนือมีภัยพิบัติจากหิมะ ทางใต้มีภัยพิบัติจากน้ำ ในแต่ละปีได้ใช้งบประมาณในการจัดการของคลังหลวงไปมากโข ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน นี่มิใช่ปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะราชวงศ์หยู แต่โบราณมาในแต่ละปีล้วนมีเหตุการณ์เช่นนี้ มิใช่ฝีมือของมนุษย์…จะมีวิธีใดจัดการได้กัน ?”
เยี่ยนเป่ยซีครุ่นคิดแล้วถอนหายใจออกมา
เขาเข้าใจถึงความหมายของซังหยูเป็นอย่างดี และในความเป็นจริงก็เป็นดังเช่นที่ซังหยูกล่าวมา
ทางเหนือมีหิมะตกหนักในทุก ๆ ปี หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าบ้านเรือนที่มุงด้วยจากของประชาชนจะมิอาจทนต่อพายุหิมะได้ !
หย่งหนิงโจวนับว่าเป็นพื้นที่ยากจนที่สุดในราชวงศ์หยู พื้นดินแตกระแหง มีภูเขามากมายแต่สภาพอากาศแปรปรวนตลอดทั้งปี มีผลงานการเพาะปลูกน้อยที่สุด ชีวิตของชาวบ้านเป็นไปได้อย่างยากลำบาก
หากบ้านเรือนพังเสียหายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาไร้ที่หลบภัย ท้ายที่สุดคงจะต้องหนาวตาย
ส่วนเรื่องอุทกภัยจากแม่น้ำหวงเหอนั้นก็เป็นปัญหาที่มีมาช้านานเช่นกัน ปีที่แล้วเสนาบดีกรมอุตสาหกรรมได้เอ่ยกับฮ่องเต้ว่าต้องการขยายพื้นที่แม่น้ำ แต่เนื่องจากต้องใช้เงินจำนวนมาก ท้ายที่สุดฝ่าบาทก็มิได้เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นอีก เนื่องจากหักค่าใช้จ่ายตายตัวแล้ว กรมคลังเหลือเงินอยู่ในมือน้อยเต็มทน
สุดท้ายแล้วปัญหาเหล่านี้ก็เป็นเพราะเงินเพียงคำเดียว ดังนั้นเยี่ยนเป่ยซีจึงมองมายังฟู่เสี่ยวกวน
“หนังสือกั๋วฟู่ลุ่นที่เจ้าเขียนนั้นข้าได้อ่านแล้ว พระสนมซั่งก็ทรงอ่านแล้วเช่นกัน เหลือเพียงแต่ฝ่าบาทที่ยังมิมีเวลาได้อ่าน ที่เรียกเจ้ามานี้เพราะต้องการหารือกับเจ้าเรื่องของหนังสือกั๋วฟู่ลุ่น ข้าอยากถามเจ้าว่า หากเจ้าเป็นนายอำเภอของผิงหลิงอี้และชวีอี้ เจ้าจะจัดการเยี่ยงไร ? ”
“เน้นจุดแข็ง เลี่ยงจุดอ่อน”
“พูดจาภาษามนุษย์มิได้หรือเยี่ยงไรกัน ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนนำมือลูบจมูกแล้วหัวเราะว่า “ทั้งสองที่นั้นข้ามิรู้ว่ามีทรัพยากรใดบ้าง แต่จากที่ฟังท่านทั้งสองเมื่อครู่เกรงว่าจะไม่มีแนวทางการพัฒนาใด เหตุใดมิคิดแนวทางอื่น ? ย้อนกลับมายังหนังสือกั๋วฟู่ลุ่น ทั้งสองที่นั้นมิสามารถดึงดูดการลงทุนได้ และมิอาจจะใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างโรงงานได้มิใช่รึ ? ”
“ทั้งสองท่านโปรดพิจารณา หากข้าเป็นนายอำเภอของทั้งสองแห่งนั้น ข้าจะยื่นขอลดการเรียกเก็บภาษีของพ่อค้ากับราชวงศ์ เพื่อดึงดูดให้พวกเขามาก่อสร้างโรงงานที่นี่”
“ที่แห่งนั้นเดิมทีก็ยากแค้นมากยิ่งนัก หากจะให้ลดภาษีลงอีก…จะมิยากแค้นกว่าเดิมรึ ? ” ซังหยูเอ่ยถาม
“หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ กลับทำให้มีคุณค่าแก่การผลิตอีกด้วย เดิมทีพวกเขาก็กินได้มิอิ่มท้อง หากพวกเขาเข้าไปทำงานที่โรงงานก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังได้ผลผลิตเพิ่มเติม สินค้าเหล่านี้จะหมุนเวียนอยู่ในตลาด ระหว่างการหมุนเวียนของสินค้าเหล่านี้ ทางประเทศจะได้รับภาษีมากขึ้น และเกษตรกรที่มีเงินอยู่ในมือก็จะนำมาใช้จ่ายมากยิ่งขึ้น เมื่อพวกเขาใช้จ่าย เงินก็จะหมุนเวียนในตลาดและประเทศก็จะได้รับภาษีเพิ่มขึ้นเช่นกันมิใช่รึขอรับ”
“นี่คือการยิงศรดอกเดียวได้นกถึง 3 ตัว ประการแรกเปลี่ยนเกษตรกรเป็นแรงงาน พวกเขามีรายได้เพิ่มขึ้นและสภาพความเป็นอยู่ของพวกเขาก็จะดีขึ้น ประการที่สองพ่อค้าเนื่องจากการลดภาษีทำให้ราคาต้นทุนของสินค้าลดลง และการขายก็ขยายกว้างมากขึ้น ยิ่งขายได้มากกำไรก็ยิ่งมาก และประการที่สามก็คือประเทศนั่นเอง การหมุนเวียนของสินค้าจะนำมาซึ่งการหมุนเวียนของเงินตรา ภาษีของประเทศจะไม่ได้รับผลกระทบเนื่องจากการลดหย่อนภาษีของทั้งสองแห่งนี้อย่างแน่นอน ตรงกันข้ามมันจะมากขึ้นด้วยซ้ำ ทั้งสองเขตนั้นก็เช่นกัน การเงินจะดีขึ้น มองจากภายนอกอาจคิดว่าลดลงเนื่องจากภาษีน้อยลง แต่ในความเป็นจริงแล้วจะเพิ่มขึ้นแน่นอน”
“แต่ว่าจะเพิ่มขึ้นเท่าใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของขุนนางที่ปกครองท้องถิ่นนั้น ว่าจะดึงดูดการลงทุนได้มากน้อยเพียงใด”
ซังหยูยังไม่เคยอ่านหนังสือกั๋วฟู่ลุ่น เขาจึงรู้สึกมึนงงกับหลักการเหล่านี้ เนื่องจากในราชวงศ์หยูนั้น ผู้ทำการค้ามิได้รับการยกย่องในสังคมเท่าใดนัก
ความคิดของเขายังถูกกำหนดอยู่ในด้านการเกษตร แต่ในทั้งสองที่นั้นการเกษตรกลับไม่สามารถพัฒนาได้
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องจะอาศัยภาษีการเกษตรเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของทั้งสองเขต ต่อให้ไม่เก็บภาษีแม้แต่อีแปะเดียว เกษตรกรเหล่านั้นก็ยังมิอาจกินได้อิ่มท้อง
เยี่ยนเป่ยซีเคยอ่านหนังสือกั๋วฟู่ลุ่นอย่างละเอียดหลายรอบ เขาเริ่มจะยอมรับความคิดเห็นจากหนังสือนั้น ทำให้เขาเข้าใจคำพูดของฟู่เสี่ยวกวนได้เป็นอย่างดี
เพียงแต่ว่าฮ่องเต้ยังมิเคยอ่าน เนื่องจากยุ่งอยู่กับเรื่องพระศพของไทเฮา เขาเองจึงมิกล้าดำเนินการโดยพลการ
แต่เขาเองก็รู้สึกเป็นกังวลเกี่ยวกับแผนการนี้มิใช่น้อย จะทำให้เกษตรกรมิสนใจการทำนาหรือไม่ ? เหล่าทหารจะมิใส่ใจฝึกฝนต่อสู้หรือไม่ ? บรรดาบัณฑิตจะมิตั้งใจร่ำเรียนหรือไม่ !
แม้ว่าฟู่เสี่ยวกวนจะได้อธิบายเรื่องราวเหล่านี้ในหนังสือไว้แล้ว อีกทั้งยังได้อธิบายว่าการแบ่งหน้าที่ทางสังคมจะทำให้ทุกอาชีพรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น เนื่องจากการพัฒนาทางเศรษฐกิจจะทำให้ทุกสิ่งก้าวหน้าไปด้วย
การก้าวหน้านี้จะส่งผลในระยะยาว ผลผลิตทางการเกษตรจะสูงขึ้น ชุดเกราะและอาวุธของทหารจะดีขึ้น และบัณฑิตจะมไม่ต้องอดทนร่ำเรียนเพียงตำราเซิ่งเซียน พวกเขาสามารถเลือกเรียนได้ตามสิ่งที่พวกเขาต้องการ
ด้านท้ายของหนังสือกั๋วฟู่ลุ่น ฟู่เสี่ยวกวนแนะนำแนวทางให้สำนักศึกษาจี้เซี่ยเปิดสอนทักษะด้านต่าง ๆ โดยมีเจ้าหน้าที่กรมอุตสาหกรรมเป็นผู้สอน จุดประสงค์เพื่อให้พวกเขาได้รู้ถึงหลักการที่แท้จริง เข้าใจถึงเหตุผลและสามารถทำประโยชน์ให้กับสังคมได้
และเขาก็ได้เอ่ยว่าจะเปลี่ยนแนวทางการคิดของบัณฑิตเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ โดยต้องเริ่มต้นจากเศรษฐกิจ เมื่อพวกเขาเห็นข้อได้เปรียบมหาศาลเหล่านั้น จึงจะสนใจที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มิเช่นนั้นพวกเขาก็จะยังคงมีความคิดแบบเดิม ๆ นั่นคือการเข้ารับราชการเท่านั้น
นี่เป็นโครงการขนาดใหญ่ จากประสบการณ์ของเยี่ยนเป่ยซี เขารู้ดีว่าหากดำเนินการไปแล้วจะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากมายในประเทศชาติ แต่เขามิอาจรู้ได้ว่าผลออกมาจะเป็นเยี่ยงไร ดังนั้นเขาจึงมิกล้าตัดสินใจด้วยตนเอง
เยี่ยนเป่ยซีครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ แล้วมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน
“หลังกลับจากงานชุมนุมวรรณกรรมราชวงศ์อู่ ข้าจะส่งเจ้าไปยังสถานที่ทั้งสองแห่งนี้”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงแล้วรีบเอ่ยว่า “ข้าน้อยไม่ว่าง ! ”
เจ้ากำลังล้อเล่นอันใดอยู่กัน ?
ส่งข้าไปยังที่กันดารเช่นนั้น อยู่จวนมิใช่ว่าสบายกว่ารึ ?
“ข้ามิได้หารือกับเจ้า…” เยี่ยนเป่ยซีลุกขึ้นยืนแล้วทุบไปที่เอว “นี่คือคำสั่ง ! ”
เขาเดินตรงไปยังประตูแล้วเอ่ยทิ้งท้ายไว้ว่า “เจ้าสามารถเดินทางไปที่ทั้งสองแห่งนั้นเพื่อศึกษาก่อนได้ ข้าอนุญาตให้เจ้านำโรงงานที่ซีซานไปตั้งยังทั้งสองแห่งนั้นได้”
เขามองตามหลังเยี่ยนเป่ยซีไป อยากจะตบหน้าตัวเองเสียจริง ให้ตายสิ ! นี่มิใช่ว่าเป็นการเรื่องใส่ตนเองหรอกรึ หาเหาใส่หัวชัด ๆ !