นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 242 เจ้าจงตายเสียเถิด
ประโยคสุดท้ายที่หยูเวิ่นเทียนเอ่ยออกมาราวกับโกรธเป็นอย่างมาก แม้แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกว่าสิ่งที่เขาเอ่ยอาจจะเป็นจริง ไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะทรงให้คำตอบเยี่ยงไรแก่เขา ?
แล้วจึงนึกต่อไปว่า บัดนี้ไม่ว่าฮ่องเต้จะทรงตรัสเยี่ยงไรก็ดูไร้ความหมาย
เรื่องการกบฏ ตามปกติจะต้องเตรียมแผนการล่วงหน้าเป็นเวลานาน เนื่องจากป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
ในประวัติศาสตร์มีกบฏไร้สมองมิน้อย หากนำเอาประสบการณ์ของพวกเขามาเป็นบทเรียน อีกทั้งวางแผนอย่างแยบยล ผลที่ออกมาคงจะไม่เกิดข้อผิดพลาดมากนัก
หยูเวิ่นเทียนได้วางแผนมาตั้งแต่รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 1 ปัจจุบันนับได้ 9 ปีแล้ว เวลาเนิ่นนานนี้เพียงพอต่อการที่เขาจะวางกำลังคนไว้ในราชวัง และเพียงพอสำหรับการที่เขาจะนำกองทหารมาแฝงตัวไว้ในสุสานหลวงนี้ได้
ดังนั้นจากที่ฟู่เสี่ยวกวนมองดู การที่หยูเวิ่นเทียนก่อกบฏในครานี้สิ่งที่ได้เปรียบคือ
หนึ่ง ความรวดเร็ว
มิมีผู้ใดคาดคิดว่าหยูเวิ่นเทียนจะก่อกบฏ ฟู่เสี่ยวกวนมิเคยใกล้ชิดกับหยูเวิ่นเทียนมาก่อน แม้แต่พบหน้ากันก็มิเคย หอชิงเฟิงซี่หยู่มิได้ให้ความสำคัญกับหยูเวิ่นเทียน
เนื่องจากเรื่องสวรรคตของไทเฮาเป็นเรื่องกะทันหัน เขาจึงได้ใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ ฮ่องเต้จะทรงออกจากพระราชวังไปยังสุสานหลวง ข้างกายมิมีองครักษ์ปกป้อง
สองนั้นเนื่องจากเป็นโอกาส
เขารู้ว่าองค์จักรพรรดิจะทรงเข้าไปยังสุสานหลวง และรู้ว่าเชื้อพระวงศ์แทบจะทุกคนเดินทางไป ณ ที่นี้ด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่เลือกลงมือที่ด้านนอก เพราะบุคคลสำคัญในราชวงศ์หยูล้วนรวมตัวกันอยู่ที่นี่
บัดนี้องค์ชายองค์หญิงและเชื้อพระวงศ์คนอื่น ๆ ล้วนตกเป็นตัวประกันของเขา แม้แต่ฮ่องเต้และพระสนมซั่งก็ด้วย เช่นนั้นการที่เขาจะยึดครองราชวงศ์หยูก็มิใช่เรื่องยาก
สาม นี่คือผลของการอดกลั้น
8 ปี ! เขาลักลอบทำเรื่องราวมากมายเช่นนี้ได้ถึง 8 ปี ! พระสนมซั่งเคยดูแลหอชิงเฟิงซี่หยู่ นางมิรับรู้เรื่องเหล่านี้สักนิดเดียวเลยงั้นรึ ?
เช่นนั้นเมื่อปีก่อนที่เขาถูกลอบฆ่า ณ เมืองหลวง ก็เป็นฝีมือของคนกลุ่มนี้เยี่ยงนั้นรึ ?
ฟู่เสี่ยวกวนปัดความคิดนี้ทิ้งไป หยูเวิ่นเทียนต้องการราชวงศ์หยู เขาจะมาใส่ใจบุตรชายพ่อค้าที่ดินธรรมดา ๆ เยี่ยงเขาเพื่อเหตุใดกัน ?
ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังคิดไปต่าง ๆ นานา
ฮ่องเต้ก็ทรงเอ่ยขึ้นมาว่า “ดังนั้นนี่คือเหตุผลที่เจ้าก่อกบฏงั้นรึ ? ”
“ทูลเสด็จพ่อ นี่คือวิธีที่ลูกจะล้างแค้นแทนเสด็จแม่ได้”
“เพียงแค่คำพูดของเว่ยต้าจ้วง เจ้าก็คิดจะประหารข้าเยี่ยงนั้นรึ ? ”
หยูเวิ่นเทียนคารวะอีกครั้ง “ลูกมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ลูกคิดว่าเสด็จพ่ออายุมากแล้ว ควรจะลงจากบัลลังก์ได้แล้ว”
“เจ้ามิเคยคิดบ้างรึว่าคำที่ออกมาจากปากเว่ยต้าจ้วงเป็นเรื่องโกหก ? ”
“ขันทีเว่ยหาได้มีเหตุผลโกหกลูกไม่ เนื่องจากหากลูกขึ้นสู่บัลลังก์ ขันทีเว่ยยังคงจะอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องเหล่าบรรพบุรุษ”
“หากว่าเว่ยต้าจ้วงคือผู้ที่หลงเหลืออยู่ของลัทธิจันทราในราชวงศ์ก่อนเล่า ?”
“……” หยูเวิ่นเทียนนิ่งไปชั่วครู่ จากนั้นส่ายหัวเอ่ยว่า “เป็นไปมิได้ ! ”
หยูยิ่นหัวเราะอย่างประชดประชัน ทรงมองไปยังราชครูเฟ่ยแล้วกล่าวว่า “เจ้ารู้เรื่องนี้ก่อนหน้าแล้วรึ ? ”
ราชครูเฟ่ยคารวะแล้วตอบว่า “กระหม่อมมิอาจปิดบังฝ่าบาทได้ กระหม่อมได้เข้ามามีส่วนร่วมของเรื่องนี้ในวันที่สิบห้าเดือนหนึ่ง ตอนเทศกาลโคมไฟที่ผ่านมา”
เขาเพียงเอ่ยว่ามีส่วนร่วม แต่มิได้เอ่ยว่าตนรู้ องค์ชายใหญ่เคยพูดจาหว่านล้อมเขา แต่เขาก็ลังเลมาโดยตลอด
“เจ้าเองก็เป็นขุนนางเก่าแก่ของราชวงศ์ ช่างร่วมก่อกบฏกับเขาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้…ภายในจิตใจของเจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่กัน ?”
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าการที่เฟ่ยอันบุตรชายของกระหม่อมถูกใส่ความ แต่ฝ่าบาททรงมิได้ให้ความเป็นธรรมแก่เขา หลายปีมานี้กระหม่อมเห็นบุตรชายทนทำนา ในใจขมขื่นยิ่งนัก จิตใจที่เคยร้อนเป็นไฟกลับค่อย ๆ เยือกเย็น ความสามารถของเฟ่ยอันนั้นฝ่าบาททรงทราบดี ความมุ่งทะเยอทะยานของเขานั้นฝ่าบาทก็ทรงทราบดี แต่เขากลับต้องหมดสิ้นความหวังในน้ำมือของฝ่าบาท กระหม่อมอายุมากแล้ว บุตรชายคนโตของกระหม่อมควรจะสืบสกุลต่อไป แต่บัดนี้เขายังทำนาอยู่ ตระกูลเฟ่ยเกรงว่าจะสูญสิ้นแล้ว ดังนั้น…กระหม่อมเพียงคิดทำเพื่อตระกูลเฟ่ยเท่านั้น ขอฝ่าบาทโปรดทรงเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ”
หยูยิ่นครุ่นคิดอยู่สักพัก ดวงตาคู่นั้นเผยให้เห็นความเจ้าเล่ห์
“อืม เจ้าอายุมากแล้วจริง ๆ เจ้าลืมไปเสียแล้วว่าเฟ่ยอันเคยเป็นสหายร่วมชั้นเรียนกับข้า”
ราชครูเฟ่ยได้ยินดังนั้น คิ้วของเขาก็ขมวดขึ้น
เฟ่ยอันเป็นสหายร่วมชั้นของฮ่องเต้ !
นั่นเป็นเรื่องที่นานมาแล้ว เขาคิดว่าฝ่าบาทจะทรงลืมไปแล้วเสียอีก คาดมิถึงว่าฝ่าบาทจะยังทรงจำได้…เช่นนั้นเรื่องกองทหารตะวันออกมิใช่ฝีมือของเฟ่ยอัน เหตุใดฝ่าบาทจึงทรงรับสั่งให้เขาแบกรับโทษอยู่ถึง 5 ปี ?
เขาเพียงคิดได้ดังนั้น ฮ่องเต้ก็ทรงตรัสออกมาว่า “เช่นนั้นหยูเวิ่นเทียนนำกองทหารจากพื้นที่ล่าสัตว์หลวงทางใต้มายังที่นี่งั้นรึ ? ”
ราชครูเฟ่ยพยักหน้า “องค์ชายใหญ่ประสงค์จะทำการใหญ่ หากในมือมิมีกำลังทหารคงมิได้แน่ อีกทั้งทหารจากพื้นที่ล่าสัตว์หลวงล้วนเป็นทหารที่องค์ชายใหญ่ฝึกฝนมากับมือ”
ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้เข้าใจว่า หยูเวิ่นเทียนมิเลวเลย
หยูยิ่นมองไปยังหยูเวิ่นเทียน มุมปากเผยอขึ้น มิรู้ว่าเยาะเย้ยเขาหรือตนเองกันแน่
“แท้จริงข้าประสงค์ว่าเดือนสองวันที่สอง ในวันที่มังกรเชิดหน้านั้น ข้าจะไปฝึกฝีมือที่พื้นที่ล่าสัตว์ทางใต้”
ฝ่าบาททรงเดินหน้าขึ้นมาสองก้าวจากนั้นเอ่ยว่า “เจ้านั้นมิเลว โตขึ้นมากทีเดียว แต่การกระทำของเจ้าและความเจ้าเล่ห์นี้มิอาจเป็นผู้นำแผ่นดินได้ เดิมทีเจ้าวางแผนไว้ที่พื้นที่ล่าสัตว์เรียบร้อยแล้ว เช่นบริเวณลานนั้น นับจากปีที่แล้ววันที่สองเดือนสิบสอง เจ้าก็มิได้เดินทางไปอีก เนื่องจากได้วางกับดักไว้มากมาย
“อีกทั้ง…เจ้ายังให้มือธนูซุกซ่อนอยู่ในวังของเจ้าอีกด้วยมิใช่รึ”
“เจ้าเกรงว่าข้าจะไม่อยู่ที่วังหลวง จึงได้วางกำลังทหารไว้ที่พื้นที่ล่าสัตว์เช่นกัน”
“แท้จริงการเตรียมการเหล่านี้ดียิ่ง ข้าเองเมื่อรับรู้ก็รู้สึกชื่นชม หมายความว่าเจ้ามิได้มีความรู้ด้านทหารเพียงเปลือกนอก”
หยูเวิ่นเต้าขวมดคิ้ว แววตาเต็มไปด้วยแรงอาฆาต !
ในใจของเขาเริ่มกังวล แผนการเหล่านั้นเตรียมไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว เดิมทีเขาคาดว่ามิมีผู้ใดรรู้ แต่เสด็จพ่อกลับรู้ได้อย่างละเอียด !
ความรู้สึกนี้คล้ายกับถูกฉีกเสื้อผ้าออกจากร่างกาย ทุกอณูถูกฝ่ายตรงข้ามรับรู้ หาได้ลึกลับแม้แต่น้อย
เขายังมิได้ลงมือ ฮ่องเต้ก็ทรงตรัสมาว่า “เจ้ารอประเดี๋ยว อย่าได้รีบร้อนไป นาน ๆ ทีข้าจะมีโอกาสได้พูดคุยกับเจ้า”
จากนั้นฮ่องเต้ก็ทรงทอดพระเนตรไปยังผู้เฒ่าชือ สายตาเปลี่ยนไปจนทำให้เขาก้มหัวลงโดยไม่รู้ตัว
“ข้าปฏิบัติต่อตระกูลชือมิดีเยี่ยงนั้นรึ ? ”
“ทูลฝ่าบาท ตระกูลชือแต่โบราณมาได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาทจึงได้มีวันนี้”
“แล้วเหตุใดเจ้าจึงเข้าร่วมก่อกบฏด้วย ? ”
“…” ท่านผู้เฒ่าชือนิ่งเงียบไปชั่วครู่ “เนื่องจากกระหม่อมมิมีทางเลือกพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “องค์ชายใหญ่ข่มขู่เจ้างั้นรึ ? ”
“หาใช่ไม่ แต่เป็นเพราะกระหม่อมมิต้องการเห็นฟู่เสี่ยวกวน ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงักลงทันใด ตาเฒ่านี่ การที่เจ้าก่อกบฏเกี่ยวข้องอันใดกับข้า ?
ท่านผู้เฒ่าชือหัวเราะออกมาแล้วเอ่ยว่า “ในปีที่แล้ว ณ พระราชวังจินเตี้ยน บุตรชายข้าสั่งให้ฟู่เสี่ยวกวนคุกเข่าเพื่อคารวะฝ่าบาท แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับต่อว่าเขาเสียจนกระอักเลือด กระหม่อมคิดว่าตระกูลชือรับใช้ฝ่าบาทมาโดยตลอด ฝ่าบาทจะต้องทรงลงโทษเขาเป็นแน่…แต่คาดมิถึงว่าพระองค์จะมิทรงลงโทษ แต่กลับให้เขาเป็นจิ้นชื่อ”
“นี่อาจมิใช่เรื่องใหญ่โตอันใด เพียงแต่จากเรื่องนี้ทำให้กระหม่อมรู้ถึงความหมายในใจของฝ่าบาท ขอเอ่ยตามตรงว่าราชวงศ์หยูทั้งสิบสามเขต ตระกูลชือของข้านั้นส่งขุนนางไปไม่น้อย และโดยมากได้ทำการทุจริต หากฝ่าบาทจะทรงตัดรากตระกูลทั้งหกนี้ กระหม่อมจะนิ่งดูดายได้เยี่ยงไร เมื่อครุ่นคิดไตร่ตรองดูแล้ว หากเปลี่ยนเป็นองค์ชายใหญ่ปกครองประเทศ ตระกูลชือจึงจะได้รับความสงบสุข”
“นี่คือเหตุผลของเจ้างั้นรึ ? ดังนั้นการที่ชือเฉาหยวนมิได้ติดตามขบวนมาด้วย เนื่องจากได้ลงมือกับเยี่ยนเป่ยซีในพระราชวัง ? ”
ผู้เฒ่าชือพยักหน้า “กระหม่อมมิมีทางเลือก ขอฝ่าบาทโปรดทรงเข้าใจ ! ”
หยูยิ่นสูดหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นมองไปยังหยูเวิ่นเทียน
“ข้าประสงค์จะเอ่ยบางสิ่งจากหัวใจ”
“รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงมิแต่งตั้งรัชทายาท ? เนื่องจากข้าต้องการดูให้ดีเสียก่อน”
“การที่เจ้าวางแผนการทั้งหมดนี้ ข้ารับรู้มาโดยตลอด นี่มิใช่วิธีการปกครองประเทศที่ถูกต้อง ความสามารถเพียงนี้มิอาจก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ได้ มิใช่เส้นทางที่ถูกต้อง สิ่งใดคือเส้นทางที่ถูกต้องงั้นรึ ? คือการวางแผนเพื่อราชวงศ์หยู คือกระทำให้ประชากรราชวงศ์หยูมีความสุข สร้างอาณาเขตให้กับราชวงศ์หยู สิ่งเหล่านี้ต่างหากเล่า”
“ข้ามองดูเจ้าทำเรื่องราวไร้สาระเหล่านี้ในเมืองหลวง และคิดว่าหากปล่อยเอาไว้จะทำให้เกิดปัญหาใหญ่เป็นแน่ ดังนั้นข้าจึงเห็นด้วยกับความคิดเห็นของเยี่ยนเป่ยซีว่าให้เจ้าเดินทางไปรับหน้าที่ดูแลกองทหารตะวันออก สิ่งนี้เมื่อครั้นเจ้ายังเล็กก็ได้เอ่ยกับข้า ข้ามิเคยลืม ข้าเพียงคิดว่าเจ้าจะทุ่มเทให้กับกองกำลังทหารตะวันออก เรียนรู้หลักการจากกองทหารเพื่อนำมาพัฒนาประเทศ”
“ความประสงค์ของข้านี้มิได้ตัดเจ้าออกจากบัลลังก์รัชทายาท แต่หวังว่าเจ้าจะปรับปรุงตัวและเปลี่ยนแปลงแนวคิดกลับมา หวังว่าเจ้าจะเติบโตและมั่นคงขึ้น สามารถเข้าใจว่าแสงอาทิตย์เจิดจ้ากว่าแสงจันทร์เยี่ยงไร”
“แน่นอนว่าข้าเองก็มองดูน้องสี่ของเจ้ามาตลอด การกระทำของเขาก็เป็นเช่นเดียวกับเจ้า เพียงแต่เขาฉลาดกว่า เขากระทำสิ่งใดมิเคยให้ข้าจับได้ เช่นการปล้นคุกเมื่อคืนเทศกาลโคมไฟ และเช่นลอบฆ่าฟู่เสี่ยวกวน อีกทั้ง…เรื่องที่เขาติดต่อกับแคว้นเฟ่ย เกรงว่าบัดนี้เขาจะกำลังวางแผนจัดการนายพลเจียงเกาหยวนที่เจ้าส่งไปยังกองกำลังทหารตะวันออก”
หยูเวิ่นเทียนหรี่ตาลง ขมวดคิ้วแล้วจ้องไปยังหยูยิ่น สายตาทั้งสองคู่ประสานกันโดยไม่มีใครยอมใคร แต่ภายในใจเขารู้สึกไม่มั่นคง
เขามิพบความกังวลใด ๆ บนใบหน้าของหยูยิ่นและพระสนมซั่ง เมื่อเขาเห็นเสด็จพ่อและพระสนมซั่งนิ่งสงบได้เพียงนี้
หรือจะมีสิ่งใดไม่คาดฝันกัน ?
เขาครุ่นคิดอย่างละเอียด จากนั้นพบว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
ในที่นี้ทุกคนล้วนเป็นฝ่ายเดียวกับตน อีกทั้งยังมีผู้เก่งกาจเช่นขันทีเว่ย ทหารทั้งห้าร้อยนายก็ยังมิใช่คู่มือขันทีเว่ย และในราชวังนั้น คาดว่าเสนาบดีกรมกลาโหมเฟ่ยปังและเสนาบดีกรมพิธีการชือเฉาหยวนอีกทั้งขุนนางทั้งหลายจะควบคุมราชวังได้แล้ว เพียงแต่เขาได้รับชัยชนะที่นี่ แล้วได้ตราหยกและตราลัญจกรสืบบัลลังก์ ทุกอย่างคงจบลงด้วยดี
เมื่อคิดได้ดังนั้นความไม่สงบในจิตใจของเขาก็เบาบางลง เขาเอ่ยปากออกมาว่า “เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ ลูกเข้าใจในความหวังดีของพระองค์แล้ว เช่นนั้นบัดนี้ลูกขอทูลให้เสด็จพ่อสละราชบัลลังก์ให้แก่ลูก มิทราบว่าเสด็จพ่อจะทรงยินยอมหรือไม่ ? ”
“การที่ลูกกระทำไปเยี่ยงนี้ ก็มิใช่เพราะลูกประสงค์ แต่เพราะถูกบีบบังคับเช่นกัน หอชิงเฟิงซี่หยู่มีอยู่ทุกหนแห่ง เจ้าหน้าที่ก็จับจ้องลูกราวแมลงวัน หากต้องการทำการใหญ่ ลูกจำเป็นจะต้องลอบกระทำ”
“บัดนี้อาทิตย์ได้ส่องแสงออกมาแล้ว ลูกขอให้คำสัญญาว่าต่อจากนี้จะยืนหยัดในแสงสว่าง พัฒนาราชวงศ์หยูให้รุ่งเรือง เสด็จพ่อคิดเห็นว่าเยี่ยงไร ? ”
หยูยิ่นมิได้เอ่ยคำใดมาเป็นเวลาเนิ่นนาน
เขาหลับตาลงช้า ๆ จากนั้นเอ่ยเพียงว่า “หากเจ้าได้บัลลังก์นี้ไป เจ้าจะจัดการอย่างไรกับพระสนมซั่งและ…เชื้อพระวงศ์คนอื่น ๆ ? ”
หยูเวิ่นเทียนหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วตอบกลับไปว่า “เสด็จพ่อรับรองว่าจะได้อยู่อย่างสงบในบั้นปลายชีวิต ส่วนบรรดาเชื้อพระวงศ์ล้วนมีเลือดเนื้อราชวงศ์หยู ลูกจะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเมตตา แม้แต่น้องสี่ก็เช่นกัน ลูกมิต้องการเห็นการนองเลือด ดังนั้นลูกเพียงต้องการให้คนสองคนตาย”
เขามองมายังพระสนมซั่ง “สตรีจอมมารยาที่ทำให้เสด็จแม่จากไป จำเป็นต้องตายชดใช้ด้วยชีวิต ! ”
จากนั้นหันไปยังฟู่เสี่ยวกวน “บุตรพ่อค้าที่ดินจากหลินเจียงคนนี้ เขาจำเป็นต้องตาย !”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงยิ่ง ข้ามิได้ไปทำสิ่งใดแก่เจ้าเลย เหตุใดข้าจึงต้องตายเล่า ?
ฮ่องเต้ก็ตกตะลึงเช่นกัน หยูเวิ่นเทียนจึงเอ่ยว่า “เขา…ช่างอันตรายยิ่ง ลูกมิชอบ”
สวรรค์ เหตุผลอันไร้ซึ่งเหตุผล !
หากเจ้าก่อกบฏสำเร็จ ข้าจะอันตรายได้เยี่ยงไร ?
ฮ่องเต้ทรงรู้สึกว่าประโยคนี้เหนือความคาดหมาย ดังนั้นเขาจึงได้ยิ้มออกมาแล้วหันไปมองฟู่เสี่ยวกวน
เจ้าหมอนี่มิเลว สามารถทำให้หยูเวิ่นเทียนเกลียดได้
แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ ประโยคนี้องค์ชายสี่เคยเอ่ยกับองค์ชายห้าเมื่อครั้งที่อยู่วัดฟูจื่อ
หยูยิ่นมองไปทางหยูเวิ่นเทียนแล้วตรัสว่า “หากเจ้าเปลี่ยนความคิดเสียบัดนี้ ข้าจะมิถือโทษเจ้า”
“เสด็จพ่อ การตัดสินใจลงมือในวันนี้ ลูกได้ไตร่ตรองและรอคอยมาถึง 8 ปี ดังนั้น…” หยูเวิ่นเทียนคารวะหยูยิ่นอีกครั้ง “ดังนั้นลูกหวังว่าเรื่องในวันนี้จะจบลงด้วยดี อย่าได้ให้มีเลือดไหลนอง เนื่องจากที่แห่งนี้คือสุสานหลวง คาดว่าบรรพบุรุษทั้งหลายคงมิอยากให้พวกเรารบกวนไปมากกว่านี้ เสด็จย่าก็ต้องการจะเสด็จขึ้นไปพบเสด็จปู่ อย่าได้พลาดเวลาเสด็จขึ้นสู่สวรรค์เลยพ่ะย่ะค่ะ”
หยูยิ่นแสดงสีหน้าแห่งความผิดหวังออกมา จากนั้นคือความเด็ดขาด
“เช่นนั้น เจ้าจงตายเสียเถิด ! ”
เมื่อตรัสจบ ตำแหน่งที่ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่ก็สั่นสะเทือน ที่บนพื้นคล้ายกับว่ามีกำแพงขึ้นมาขวางไว้ ในขณะเดียวกันหยูเวิ่นเทียนก็ขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นเอ่ยว่า “ฆ่า ! ”
กำแพงนั้นผุดขึ้นมาทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เพียงแค่ครึ่งหนึ่ง ขันทีเว่ยก็กระโดดขึ้นสู่กำแพง ฟู่เสี่ยวกวนโยนปล่อยชวงหานเยวี่ยหมิงและทลายกระดูก
ยาทั้งสองเม็ดนี้ระเบิดออกกลางอากาศแล้วกระจัดกระจายไปทั่ว ขันทีเว่ยนำมือที่กำดาบยาวไว้ขึ้นมาปิดจมูกแล้วฟันลงไปด้านหน้า ควันลอยฟุ้ง ดาบนั้นพุ่งตรงเข้ามาท่ามกลางหมอกควัน
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง แต่กลับพบว่าขันทีเจี่ยที่อยู่ด้านหลังองค์ฝ่าบาท ขันทีผู้ที่ไร้ซึ่งพิษภัยคนนั้นเขาใช้นิ้วมือดีดดาบออกไป แขนข้างนั้นหดกลับไปในเสื้ออย่างรวดเร็วราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
“แกร๊ง… !”
เสียงโลหะดังขึ้น และสะท้อนกลับมากังวานชัดเจน
ฟู่เสี่ยวกวนเห็นว่าขันทีเว่ยคล้ายกับถูกกัด เหมือนมีค้อนใหญ่ทุบเข้าที่ทรวงอกอย่างแรง
เขากระอักเลือดออกมาแล้วร่างกายก็กระเด็นออกไป…กำแพงยกสูงขึ้นเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดฟู่เสี่ยวกวนพบว่าทั้งสองข้างของทางเดินนั้นมีทหารยืนอยู่มากมาย !
ด้านขวาผู้ที่ยืนถือกระบี่เล่มยาวและอีกมือหนึ่งกำไหสุราไว้ เขาก็คือหัวหน้าราชองครักษ์ ฮั่วหวยจิ่นนั่นเอง !
ส่วนด้านซ้ายผู้ที่ยืนกวัดแกว่งดาบยาวไปมา ก็คืออดีตนายพลแห่งกองทัพใต้ที่ทำนาอยู่ ณ หนานหลิง เฟ่ยอัน !