นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 248 ระเบิดจวนชินอ๋อง
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เดือนสองวันที่สี่
ในวันพรุ่งนี้จะต้องออกเดินทางแล้ว รายชื่อผู้เดินทางไปยังราชวงศ์อู่ได้กำหนดไว้เรียบร้อย
บัณฑิตจากสำนักศึกษาจำนวน 80 คน ฟู่เสี่ยวกวนได้เขียนนามลงไปเพียงคนเดียวคือ บุตรชายลุงรองของต่งชูหลาน นามว่าต่งซิวหวย ส่วนที่เหลืออีก 19 คน เขาได้ยกให้กับคนในเสมียนกลาง
ทำให้เพื่อนร่วมงานในเสมียนกลางมองฟู่เสี่ยวกวนเปลี่ยนไปในทางที่ดีไม่น้อย
เยี่ยนเป่ยซีเพียงเอ่ยว่าไร้สาระ ส่วนซังหยูหัวเราะออกมาแล้วยัดเยียดหลานชายตนเข้ามา นามว่าซังเหลียง ในปีที่แล้วเขาสอบเข้าที่สำนักศึกษาจี้เซี่ยมิได้ จึงได้ศึกษาที่สำนักศึกษาจิงหวาแห่งเมืองหลวง
กรมพิธีการได้เตรียมสิ่งต่าง ๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว ในวันพรุ่งนี้เวลาพระอาทิตย์ขึ้น ทุกคนที่มีรายชื่อจะไปรวมตัวกันที่หงหลูซื่อและออกเดินทางในยามเฉิน
ฟู่เสี่ยวกวนได้ฟังคำบัญชาจากฮ่องเต้และฮองเฮาซั่งมาแล้ว ดังนั้นเช้าวันนี้เขาจึงมิต้องไปยังราชวัง บัดนี้เขาอยู่ในจวนของตน
เขาเริ่มกังวล
ก่อนหน้านี้ฉินเฉิงเย่กล่าวว่าการทดลองปืนใหญ่สำเร็จแล้ว และได้ให้ขนส่งซีซานส่งมายังเมืองหลวง แต่บัดนี้ถ้ายังมามิถึง เกรงว่าเขาอาจจะมิมีโอกาสไประเบิดจวนฮุ่ยชินอ๋องเสียแล้ว
รอไปรอมา ปืนใหญ่ก็ยังคงส่งมาไม่ถึง เพียงไม่นานก็มีใครบางคนที่เขาไม่คาดคิดว่าจะมา แต่กลับมาพบเขาถึงจวน
เขาคือองค์ชายสี่ หยูเวิ่นชู !
หยูเวิ่นชูสวมชุดเรียบง่ายสะอาดสะอ้าน ด้านหลังมีสตรีนางหนึ่งสวมชุดเขียว สะพายดาบเล่มยาวอยู่
จากการนำทางของผู้เฝ้าประตู พวกเขาเดินตรงเข้ามาอย่างช้า ๆ
ทั้งสองคนสบตากัน ณ สวนหลังจวน จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ได้พาพวกเขาไปยังศาลาหลีเฉินซวน
“เดิมทีข้าคิดว่าหลังจากวันที่สองเดือนสอง การล่าสัตว์ ณ หนานซาน หากเจ้ายังมิตาย ข้าจะมาพบเจ้าเสียหน่อย คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่สุสานราชวงศ์ขึ้น จึงทำให้ยกเลิกกิจกรรมล่าสัตว์ไปเสีย อีกทั้งเจ้าเองจะเดินทางไปในวันพรุ่งนี้ ข้าจึงได้เลือกที่จะเดินทางมาในวันนี้
ฟู่เสี่ยวกวนต้มน้ำชา เขาเงยหน้าขึ้นยิ้มแล้วเอ่ยว่า “กระหม่อมเคยได้ยินชื่อเสียงขององค์ชายสี่มาช้านาน เสี่ยวกวนเองก็อยากจะมีโอกาสเข้าเฝ้าองค์ชายเช่นกัน เมื่อไม่กี่วันก่อนเคยได้พบท่านครั้งหนึ่งที่พระตำหนักของไทเฮา ทำให้กระหม่อมกินมิได้นอนมิหลับ คาดมิถึงว่าองค์ชายสี่จะทรงเสด็จมาด้วยตนเอง ทำให้การพบกันที่กระหม่อมคิดไว้เปลี่ยนไปมากเสียทีเดียว”
หยูเวิ่นชูเผยอยิ้มแล้วเอ่ยถามว่า “เช่นนั้น เจ้าคิดว่าจะได้พบกับข้าด้วยฉากเช่นใดกัน ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนก้มหน้าก้มตา นำมือลูบไปยังจมูกของตนแล้วรินน้ำชาให้หยูเวิ่นชู “มีอยู่สองกรณี อาจจะพบกันท่ามกลางดอกไม้และแสงจันทร์ หรือ…ท่ามกลางพายุฝนอันเหน็บหนาว”
“เยี่ยงไรจึงจะถือว่าเป็นดอกไม้ใต้แสงจันทร์ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนรินน้ำชาให้ตนเอง ครั้งนี้เขาก้มหน้าครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ ว่า “หากกระหม่อมเอ่ยออกไป คาดว่าองค์ชายสี่คงมิเชื่อ กระหม่อมนั้นมิใช่คนที่มุ่งมั่นอันใด กระหม่อมเองเคยบอกกับใครหลาย ๆ คน แต่ทว่าพวกเขามิเชื่อ กระหม่อมหวังว่าองค์ชายจะเชื่อ กระหม่อมอยากเป็นเพียงพ่อค้าที่ดินธรรมดา ๆ พูดคุยกับบรรดาเกษตรกรทั้งหลายถึงเรื่องการเพาะปลูก หรือไม่ก็พาภรรยาและลูก ๆ ออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วสารทิศ เพียงเท่านี้จริง ๆ ”
คิ้วขององค์ชายสี่เลิกขึ้นเล็กน้อย “เช่นนั้นเจ้าเดินทางมาเมืองหลวงเพื่อเหตุใดกัน ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหัวแล้วเอ่ยว่า “กระหม่อมมิได้อยากให้เป็นเช่นนี้ เหตุการณ์ต่าง ๆ นั้นได้พากระหม่อมไปไกลยิ่ง มีผู้คนมากมายต้องการชีวิตกระหม่อม ต้องการให้ตระกูลฟู่ต้องตาย…”เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังองค์ชายสี่ แล้วเอ่ยต่อไปว่า “แม้แต่มดตัวเล็ก ๆ ยังรักในชีวิตมัน กระหม่อมขออภัยที่ต้องเอ่ยถามกลับว่า หากมีคนต้องการชีวิตองค์ชายสี่ ท่านจะดิ้นรนต่อสู้หรือไม่ ? ”
เขาถอยหลังไปเล็กน้อย ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ดังนั้นกระหม่อมเพียงแค่ต่อสู้เพื่อเอาตัวรอด เหตุใดจึงมักมีคนเห็นว่ากระหม่อมกีดขวางทางของพวกเขา จะทำให้พวกเขาเดือดร้อน และต้องการกำจัดกระหม่อม กระหม่อมจึงทำได้เพียงดิ้นรนต่อสู้อย่างสุดกำลัง จึงทำให้กลายมาเป็นเช่นปัจจุบัน”
“หากเจ้ากลับไปเสียบัดนี้ ข้าจะช่วยให้เจ้าไม่ยากแค้นไปทั้งชีวิต”
ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังหยูเวิ่นชู ทั้งสองคนสบตากันอีกครั้ง เนิ่นนานทีเดียว ฟู่เสี่ยวกวนจึงหัวเราะออกมา “เชิญองค์ชายสี่ดื่มชา”
หยูเวิ่นชูตะลึง เขาเข้าใจในความหมายของฟู่เสี่ยวกวนดี
“บัดนี้หยูเวิ่นเทียนได้ไปยังกองทัพตะวันออก เขาจะมิกลับมาที่เมืองหลวงอีก ส่วนน้องห้าได้ฝึกวิชาต่อสู้แต่เล็ก เขาไร้ความปรารถนาเข้าแย่งชิงตำแหน่งฮ่องเต้ เสด็จพ่อมีเพียงบุตรชาย 3 คน บัดนี้ข้ามิต้องทำสิ่งใด ตำแหน่งฮ่องเต้ก็จะกลายเป็นของข้าอย่างแน่นอน เจ้ามิเชื่อข้างั้นรึ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ตอบเขา แต่กลับถามว่า “ ในหมู่เจ้าหน้าที่ของท่าน ปู้เนี่ยนซือไท่มีบทบาทอันใดรึ ? ”
“สายลับ นางเป็นเพียงผู้ส่งสารเท่านั้น มิใช่บทบาทสำคัญอันใด”
“นางเข้าไปเป็นเจ้าหน้าที่ได้เยี่ยงไร ? ”
“เจ้าเอ่ยถามเรื่องเหล่านี้ก็มิมีประโยชน์ใด ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนค่อย ๆ ก้มหน้าลง เขาคิดในใจว่าองค์ชายสี่ไม่รู้ว่าปู้เนี่ยนซือไท่เป็นใครเยี่ยงนั้นรึ ?
“เพียงแค่ประหลาดใจเท่านั้น หากองค์ชายสี่มิประสงค์จะเอ่ย กระหม่อมก็มิถามต่อ”
หยูเวิ่นชูก็ประหลาดใจยิ่ง หรือว่าฟู่เสี่ยวกวนจะไม่รู้เกี่ยวกับตัวตนของปู้เนี่ยนซือไท่จริง ๆ งั้นรึ ?
เกี่ยวกับเรื่องนี้ หยูเวิ่นชูมิได้ตอบสิ่งใดออกไป เพียงเอ่ยออกมาว่า “เรื่องลอบทำร้ายเจ้าในปีก่อน ข้าเป็นคนสั่งการเอง เกี่ยวกับเรื่องนี้เจ้าสามารถเสนอความต้องการมาได้ หากข้าทำได้ รับรองว่าข้าจะให้สัญญาแก่เจ้า”
ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังหยูเวิ่นชูอีกครั้ง เขาช่างตรงไปตรงมาอย่างแท้จริง
แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ท่านเป็นถึงองค์ชายสี่ มิจำเป็นต้องทำเช่นนี้ เรื่องนั้นมิใช่เรื่องใหญ่โตอันใด และได้ผ่านมานานแล้ว จงอย่าได้เอ่ยถึงอีกเลย”
หยูเวิ่นชูนิ่งเงียบ จากที่เขารู้จักฟู่เสี่ยวกวน เจ้าหมอนี่มีแค้นย่อมต้องมีชำระ แม้ปากจะเอ่ยเช่นนี้ แต่มิรู้ว่าเขาเตรียมแผนการใดไว้แล้วบ้าง
ตนได้เสนอสิ่งดี ๆ ออกไปมากมาย แต่เขากลับไม่รับมันแม้แต่ข้อเดียว มองดูแล้วการเดินทางมาในครานี้คงล้มเหลว
เขาดื่มชาเข้าไปแล้วถอนหายใจออกมา จากนั้นลุกขึ้นยืน
“การเดินทางไปราชวงศ์อู่ในครานี้หนทางยาวไกลนัก ที่บริเวณภูเขาฉีซานมีโจรค่อนข้างมาก เจ้าจงดูแลตนเองให้ดี”
ฟู่เสี่ยวกวนก็ลุกขึ้นยืน ยิ้มตอบ “ขอบพระทัยองค์ชายใหญ่ที่ทรงเป็นห่วง ฮ่องเต้ทรงส่งอัศวินดำร่วมเดินทางไปด้วย คาดว่าคงมิมีปัญหาอันใด”
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น ! ”
เขาก้าวเดินออกไปทางประตูด้วยสีหน้าเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง
สตรีที่อยู่ด้านหลังเขาก็มองมาทางฟู่เสี่ยวกวน ดาบที่สะพายไว้คล้ายจะถูกหยิบขึ้น
แต่ก็มิได้หยิบออกมา
เนื่องจากบัดนี้ลูกศิษย์ของสำนักเต๋าทั้งสามอยู่ ณ ที่นี้ด้วย
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มอย่างพอใจ แล้วส่งองค์ชายสี่มายังห้องโถงด้านหน้า แต่คาดมิถึงว่าขนส่งซีซานมาถึงแล้ว
ปืนใหญ่สีดำตั้งไว้ในห้องโถง ด้านข้างมีกล่องใส่ลูกระเบิดดินปืน
ฟู่เสี่ยวกวนดีใจยิ่ง เขาเดินไปลูบปืนใหญ่ที่เย็นเยือก เขาหันไปเอ่ยกับองค์ชายสี่ว่า “หากองค์ชายทรงมีเวลา สนใจไปร่วมชมละครกับกระหม่อมหรือไม่ ? ”
หยูเว่นชูหยุดฝีเท้าลง เขาหันหลังไปมองของสิ่งนั้นแล้วมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน “ละครอันใดกัน ? ”
“ระเบิดจวนฮุ่ยชินอ๋อง ! ”
หยูเวิ่นชูขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ จากนั้นชี้ไปยังสิ่งของที่ตั้งวางอยู่ “นี่คือระเบิดงั้นรึ ? ”
“ใช่ขอรับ นี่คือระเบิด ! ”
ที่โลกนี้เดิมทีมีระเบิดอยู่แล้ว แต่เนื่องจากการผลิตดินปืนระเบิดยังมิได้มีการพัฒนาอย่างเต็มที่ จึงได้หยุดค้างไว้ ณ จุดเริ่มต้น ไม่มีหัวทิศทาง ยิงได้ไม่แม่นยำนัก ยากต่อการเคลื่อนย้ายอีกทั้งยังต้องคำนึงถึงสภาพอากาศ
ดังนั้นเจ้าสิ่งนี้จึงไม่นิยมใช้ในสงคราม เพียงแต่ประดับไว้ที่กำแพงเมือง อีกทั้งยังต้องดูแลรักษาทุกวัน เนื่องจากบรรดานายพลมิชอบ จึงทำให้สำนักอาวุธปืนมิได้พัฒนาสิ่งนี้ให้ดีขึ้น
แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับให้ความสนใจและกำชับกับฉินเฉิงเย่ถึงความสำคัญของสิ่งนี้ และแนะนำวิธีการพัฒนา
หากปืนใหญ่นี้สามารถสร้างออกมาได้ตามที่คิดไว้ มันจะกลายเป็นสิ่งสำคัญที่บุกเบิกยุคสมัยใหม่
ฟู่เสี่ยวกวนสั่งให้คนนำผ้าสีแดงคลุมไปบนปืนใหญ่ จากนั้นใช้ม้าลากไป ตามด้วยคนจำนวนหนึ่งตรงไปยังตรอกซานเยวี่ย
หยูเวิ่นชูเชิญให้ฟู่เสี่ยวกวนนั่งรถม้าของเขาไปด้วยกัน ขณะนั่งอยู่ในรถม้าเขาก็มองมาทางฟู่เสี่ยวกวนแล้วหัวเราะว่า “เจ้าช่างใจกล้าเสียจริง”
“ดังนั้นกระหม่อมจึงได้เชิญองค์ชายสี่ไปด้วยกัน”
“ในเมื่อวันรุ่งขึ้นเจ้าจะต้องออกเดินทาง เมื่อเจ้ากลับมาคาดว่าฮุ่ยชินอ๋องคงจะไปถึงหลิงหนานแล้ว ชีวิตนี้คงมิมีโอกาสพบกันอีก เจ้าจำเป็นต้องทำเช่นนี้ด้วยรึ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนเปิดม่านออกมองไปด้านนอก
“ที่นี่คือถนนสายยาว ในวันนั้นแสงอาทิตย์มิได้อบอุ่นเท่าใดนัก กระหม่อมดีใจยิ่งที่ได้มารับแสงแดดอุ่น ๆ ในวันนี้ มิเช่นนั้นกระหม่อมคงได้นอนอยู่ใต้ผืนดินเสียวันนั้นแล้ว”
เขาปล่อยม่านลง มองไปยังหยูเวิ่นชูแล้วเอ่ยอย่างแน่วแน่ว่า “หากทำเรื่องใดผิดไป ก็สมควรจะได้รับบทลงโทษ ชีวิตกระหม่อมยึดถือคติที่ว่า หากใครมิได้รุกรานข้า…ข้าจะไม่รุกรานเขา ! ”
หยูเวิ่นชูนิ่งเงียบไปนานกว่าจะยิ้มออกมาว่า “ดังนั้นข้าคิดว่าดอกไม้ใต้แสงจันทร์คงดีเสียกว่า”
“กระหม่อมก็คิดเช่นนั้น กระหม่อมคิดหวังดีแต่เขากลับมิรู้ถึงความหวังดีของกระหม่อม องค์ชาย ท่านสามารถบอกกระหม่อมได้หรือไม่ว่า ภายใต้วัดฟูจื่อนั้น มีความลับใดอยู่กันแน่ ? ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหยูเวิ่นชูค่อย ๆ จางหายไป สตรีที่อยู่ข้างเขาแผ่รังสีอำมหิตออกมา
ฟู่เสี่ยวกวนมองดูสตรีชุดเขียวนั้น มิได้ใส่ใจสายตาของนางแม้แต่น้อย “หนานป้าเทียน ผู้ที่เจ้าส่งออกมาจากจวนฮุ่ยในวันนั้น คือผู้ใด ? ”
“เฉ้ง… ! ”
หนานป้าเทียนหยิบดาบออกมา หยูเวิ่นชูตบบ่าเบา ๆ เป็นสัญญาณว่าให้เก็บดาบนั้นลงไป จึงทำให้รังสีอาฆาตจากหนานป้าเทียนคลายลง
“เจ้าคิดว่าเจ้ารู้เรื่องราวมากมาย แท้จริงแล้วรู้เพียงเท่าปลายภูเขาน้ำแข็งอันเรียวบาง จากที่ข้ามองดู เกรงว่าจะเป็นดอกไม้ใต้แสงจันทร์ไปมิได้แล้ว…” หยูเวิ่นชูสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วถอนหายใจออกมา “เช่นนั้นคงต้องเป็นพายุฝนอันหนาวเหน็บ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะออกมาเสียงดังแล้วนำมือตบลงที่หัวเข่า “องค์ชายทรงน่าสนใจยิ่ง”
คิ้วของหนานป้าเทียนขมวดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แล้วนึกในใจว่าเจ้าหมอนี่…น่ารำคาญเสียจริง !
รถม้ามาถึงยังหน้าจวนฮุ่ยชินอ๋อง ฟู่เสี่ยวกวนกำชับให้คนนำปืนใหญ่ไปวางไว้ที่ถนน แล้วเล็งปากกระบอกปืนไปยังจวนฮุ่ยชินอ๋อง
เขาเข้าไปปรับทิศทางด้วยตนเอง จากนั้นสอนพวกเขาแล้วให้บรรจุลูกกระสุนดินปืนเข้าไป
“องค์ชาย ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดกระหม่อมจึงต้องการระเบิดจวนฮุ่ยชินอ๋อง ? ”
หยูเวิ่นเทียนชายตามองเขาแล้วนึกในใจว่า เจ้านี่ชอบถามเรื่องไร้สาระเสียจริง
“หากด้วยเรื่องของการแก้แค้นเรื่องราวที่ถนนสายยาวนั่นเป็นเพียงเหตุผลข้อสอง เนื่องจากกระหม่อมชนะแล้ว อีกทั้งยังขับไล่ฮุ่ยชินอ๋องออกจากเมืองหลวงได้…” เขาเล็งเป้าอย่างตั้งใจ พยายามปรับทิศทางปากกระบอกปืนให้ตรงที่สุด ทั้งยังยื่นนิ้วหัวแม่มือออกมาเพื่อกะตำแหน่ง แล้วเอ่ยต่อไปว่า “คาดว่าท่านคงไม่รู้ ว่าในวันนั้นกระหม่อมเอ่ยกับคนของเขาไปว่าอย่างไร…”
เขาหยิบตะบันไฟขึ้นมา จากนั้นจุดไปที่กระสุนดินปืนแล้วเอ่ยจนจบประโยคว่า “กระหม่อมกล่าวว่า กระหม่อมจะระเบิดจวนฮุ่ยชินอ๋องให้ราบเป็นหน้ากลอง ! ”
จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นปิดหู องค์ชายสี่ยังมิเข้าใจสิ่งที่เขากระทำ ได้แต่มองเห็นว่าไฟกำลังจะเผาเชือกจนสิ้น
จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังสนั่นคล้ายฟ้าถล่ม “ตู้ม… ! ”
ควันเขม่าสีดำลอยฟุ้ง ลูกกระสุนระเบิดลอยออกไป
เพียงชั่วครู่
ก็ได้ยินเสียงดัง “ตู้ม… !” สนั่นขึ้นอีกครา ในจวนฮุ่ยชินอ๋องปรากฏเปลวไฟ จากนั้นจึงเกิดความโกลาหล มีทั้งเสียงกรีดร้อง เสียงของความเจ็บปวด เสียงโหยหวน
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ใส่ใจว่าจะได้ยินเสียงใด เขาให้คนใส่กระสุนดินปืนเข้าไปอีกลูกหนึ่ง จุดไฟ
“ข้าบอกแล้วว่า จะระเบิดจวนฮุ่ยชินอ๋องของเขาให้ราบเป็นหน้ากลอง ! ”