นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 251 การลาจากที่เศร้าโศก
ประโยคสุดท้ายนั้นค่อนข้างรุนแรง มิใช่เพียงถูกตัดชื่อจากสำนักศึกษา ทั้งยังถูกตัดหัวอีกด้วย !
บัณฑิตส่วนมากเป็นสมาชิกของสมาคมกวีหลานถิง มีฉินเหวินเจ๋อเป็นผู้นำ พวกเขามิคัดค้านกับสิ่งนี้ แต่เดิมตัวตนของฟู่เสี่ยวกวนในใจของพวกเขาก็เสมือนเทพเจ้าก็มิปาน นอกจากนี้ท่านคณบดีก็ได้บอกกับพวกเขาแล้ว ว่าฟู่เสี่ยวกวนได้กลายมาเป็นอาจารย์รับเชิญของสำนักศึกษาจี้เซี่ย ภายภาคหน้าฟู่เสี่ยวกวนจะเป็นผู้สั่งสอนพวกเขา ซึ่งนั่นก็หมายความว่าฟู่เสี่ยวกวนจะกลายเป็นอาจารย์ของพวกเขาทุกคน
อาจารย์ นี่คือคำเรียกที่ศักดิ์สิทธิ์
ศิษย์ควรเคารพดังบิดา ใฝ่รู้คุณธรรม ใฝ่เรียนคำสอน
นี่คือข้อบังคับ !
“ได้เวลาแล้ว ขึ้นรถของตนเอง แล้วออกเดินทาง ! ”
สถานการณ์วุ่นวายเล็กน้อย ฟู่เสี่ยวกวนทักทายพวกซูเจวี๋ย มิได้ให้ความสนใจกับสายตาประหลาดใจที่มองมาทางเขา และเขาก็ขึ้นรถม้าที่หรูหราขององค์หญิงเก้าหยูเวิ่นหวินไปทั้งอย่างนั้น
สุขสบายอย่างแท้จริง
ไม่เพียงแต่กว้างขวาง เบาะก็ยังนุ่ม ภายในนั้นมีเตาไฟ ตรงกลางมีโต๊ะอีกหนึ่งตัว มีผลไม้ ติ่มซำและของทานอื่น ๆ อีกเล็กน้อยวางอยู่สองข้าง ทั้งยังมีซีชานเทียนฉุนอีก 3 ลัง
การเดินทางเยี่ยงนี้ ต่อให้ใช้เวลาในการเดินทางนานกว่านี้ข้าก็มิขัดข้อง !
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้นมา จนกวางน้อยที่อยู่ในใจของหยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานที่มองอยู่กระโดดโลดเต้น
ในตอนที่รถม้าเพิ่งจะข้ามผ่านประตูใหญ่ของหงหลูซื่อ ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ยินเสียงเรียก ซึ่งเป็นเสียงของเยี่ยนเสี่ยวโหลวที่กำลังเรียกเขา น้ำเสียงนั้นค่อนข้างร้อนรน เขาจึงทำได้เพียงบอกให้รถม้าหยุด และเดินลงไป
ใบหน้าของเยี่ยนเสี่ยวโหลวที่แดงระเรื่อ ดวงตากระจ่างใส
ตั้งแต่ที่เยี่ยนเสี่ยวโหลวบาดเจ็บแทนเขาเมื่อคืนวันที่สิบห้าในเดือนหนึ่ง เวลาก็ผ่านไปครึ่งเดือนได้แล้ว
ภายในครึ่งเดือนนี้ฟู่เสี่ยวกวนไปที่จวนเยี่ยนเพียง 2 ครั้ง หลังจากนั้นเขาก็มิมีเวลาอย่างแท้จริง นั่นทำให้เขาค่อนข้างรู้สึกผิด
“พอข้าทราบว่าพี่สาวทั้งสองจะตามเจ้าไปยังราชวงศ์อู่ด้วย ข้าก็โล่งใจอยู่มิน้อย ข้ามิทราบว่าจะทำอะไรเพื่อเจ้าได้บ้าง คิดว่าที่ราชวงศ์อู่น่าจะอบอุ่นกว่าจินหลิงของเรา จึงทำเสื้อมาให้เจ้า 2 ชุด…”
ใบหน้าของเยี่ยนเสี่ยวโหลวยิ่งแดงก่ำ นางส่งกล่องใบหนึ่งให้กับฟู่เสี่ยวกวน และหยิบจี้หยกดำออกมาจากแขนเสื้อ “นี่คือหยกจากแคว้นฝาน ท่านแม่กล่าวว่าได้รับการปลุกเสกจากพระอาจารย์ชื่อดังของวัดลันทาแคว้นฝานแล้ว สิ่งนี้สามารถปกปักรักษาคุ้มครองผู้สวมใส่ให้หลบพ้นเคราะห์ร้ายประสบเคราะห์ดี ข้าจะสวมให้เจ้า จงจำไว้อย่าได้ถอดออกเป็นอันขาด”
ฟู่เสี่ยวกวนย่อตัวลง เยี่ยนเสี่ยวโหลวเขย่งปลายเท้าเล็กน้อย และคล้องจี้หยกให้ที่คอของฟู่เสี่ยวกวน
“เจ้าไปเถอะ ข้าจะรอการกลับมาของเจ้าอยู่ที่เมืองหลวง”
ฟู่เสี่ยวกวนตื้นตันใจอย่างมาก อยากจะคว้าสาวน้อยผู้นี้มาโอบกอดยิ่ง แต่ทราบดีว่ายังมิใช่ในเวลานี้ ดังนั้นเขาจึงกล่าวเพียงว่า “ดี เจ้ารอการกลับมาของพวกข้าได้เลย ! ”
“อือ” เยี่ยนเสี่ยวโหลวพยักหน้าแต่โดยดี สีหน้าสดใสราวกับดอกไม้ฤดูร้อน “เจ้าขึ้นรถเถิด”
“ตกลง ! ”
ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็โน้มตัวลงมา ใบหน้าของเขาแทบจะแนบไปกับใบหน้าของเยี่ยนเสี่ยวโหลว ร่างของเยี่ยนเสี่ยวโหลวเอนไปด้านหลังโดยสัญชาตญาณ หัวใจพลันเต้นระรัว ครุ่นคิดว่าเหตุใดเขาจึงมีท่าทีเช่นนี้ ณ ที่นี้ด้วย
แต่แล้วฟู่เสี่ยวกวนก็ไม่ได้ขยับกายแต่อย่างใด กลับกระซิบที่ข้างหูของนางว่า “มีอยู่หนึ่งเรื่องที่จะวานให้เจ้าช่วยข้าจัดการเสียหน่อย หอเยียนหยู่มีแม่นางที่ชื่อโหรวอี๋อยู่ อายุอานามประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี ตั้งครรภ์แล้ว ข้าที่ต้องไปราชวงศ์อู่คงไร้หนทางจะดูแลนาง เจ้าช่วยข้าโดยการพานางมาพักที่จวนเยี่ยนของเจ้า และให้นางคลอดบุตรที่นั่น จงจำไว้ จงหาเหตุผลที่น่าเชื่อถือ อย่าให้ผู้อื่นนึกสงสัย”
เยี่ยนเสี่ยวโหลวชะงัก เจ้ามีเวิ่นหวิน ชูหลานและข้าแล้ว ยังจะมีเล็กมีน้อยที่ด้านนอกอีกงั้นรึ !
ดวงตาของนางแดงขึ้นมาทันพลัน รู้สึกน้อยใจอย่างมาก ฟู่เสี่ยวกวนที่เห็นดังนั้น ก็รีบอธิบายว่า “มิได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้า เป็นเพียงภรรยาคนสำคัญอย่างยิ่งของสหายข้า เขาไปออกศึก แต่ศัตรูนั้นมีอยู่มากมาย ภายภาคหน้าเจ้าจะรู้เอง”
เยี่ยนเสี่ยวโหลวจึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา และเอ่ยเสียงแผ่วว่า “แต่คงปิดบังท่านปู่ไว้มิได้”
“มิต้องปิดบังปู่ของเจ้า”
“อ่า ข้าทราบแล้ว เจ้ามีอันใดที่จะฝากวานอีกหรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้ม ยื่นมือไปบีบแก้มเยี่ยนเสี่ยวโหลว เยี่ยนเสี่ยวโหลวแสดงท่าทีขัดเขินจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
“เดินทางไปนั่งเล่นที่จวนฟู่บ่อย ๆ นั่นคือบ้านของเจ้าในภายภาคหน้า”
“อือ… !” เสียงของเยี่ยนเสี่ยวโหลวราวกับแมลง ก้มหน้าหลบสายตาของฟู่เสี่ยวกวน ในใจตอนนี้หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้ง “เจ้าไปเถิด”
ฟู่เสี่ยวกวนกลับหลังขึ้นรถม้า ขบวนได้ออกเดินทางอีกครา
เยี่ยนเสี่ยวโหลวยืนมองขบวนเดินทางไปอยู่ใต้แสงไฟสลัว จนกระทั่งขบวนรถที่ยาวเหยียดได้หายไปจากครรลองสายตา รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็ค่อย ๆ หายไป แปรเปลี่ยนเป็นเศร้าโศก สุดท้ายน้ำตาของนางก็ไหลลงมาอย่างอดไว้ไม่อยู่
ตั้งแต่ที่เลื่อมใสความฝันในหอแดงเมื่อปีที่แล้วจนถึงวันนี้ ตระหนักได้ว่ามิใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเป็นจริงขึ้นมาได้ แต่เขากลับต้องเดินทางไกล และตนเองก็ไร้หนทางที่จะติดตามไปได้ นี่ต่างหาก…คือความทรมาน
“คุณหนูเจ้าคะ” สาวใช้เสี่ยวเซวี๋ยกังวลเล็กน้อย
“อือ”
“มองมิเห็นแล้วนะเจ้าคะ”
“ไม่ ข้ายังมองเห็นอยู่”
เสี่ยวเซวี๋ยไร้หนทางจะเข้าใจ เยี่ยนเสี่ยวโหลวยังคงมองไปยังที่ห่างไกล และลอบกล่าวอยู่ในใจ ยังมองเห็นอยู่ !
…..
บรรยากาศภายในรถม้าที่หรูหราค่อนข้างเคร่งเครียด
ต่งชูหลานที่เงียบอยู่เนิ่นนานก็ได้เอ่ยปากขึ้นมา “เสี่ยวโหลว…เป็นหญิงสาวที่ดีคนหนึ่ง”
หยูเวิ่นหวินพยักหน้า “อือ ช่วงก่อนหน้านั้นที่ได้ดื่มชาด้วยกัน เสี่ยวโหลวได้พูดถึงจิตใจที่มีต่อเจ้า เฮ้อ…ต่างก็เป็นเด็กสาว ข้าเองก็เข้าใจยิ่ง”
ต่งชูหลานมองบนใส่ฟู่เสี่ยวกวน และกล่าวพึมพำด้วยท่าทีดุดัน “ก็มิรู้เช่นกันว่าเจ้าไปได้รับพรจากที่ใดมาในชาติที่แล้ว นี่คงเป็นรางวัลสำหรับเจ้าแล้วสิ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ ความกังวลใจหายไปทันพลัน คิดว่าบางทีนี่อาจจะเป็นพรจากชาติที่แล้วอย่างแท้จริง เยี่ยงไรเสียในชาติที่แล้วแม้แต่มือของหญิงสาวเขาก็ยังมิเคยได้จับ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องความรักเลย
ด้านหลังของพวกเขาคือรถม้าของซูซู นางและซูโหรวขึ้นมาคันเดียวกัน ภายในนั้นมีขนมอยู่กองโต ส่วนมากจะเป็นขนมดอกกุ้ยฮวาของร้านอู่เว่ยจาย
นางที่ทานอยู่ก็ได้ดึงม่านลงมา “จุ๊ ๆ ๆ เขาช่างทำให้คนประทับใจได้อย่างแท้จริง ! ”
ซูโหรวยังคงปักผ้าอยู่ดังเก่า สองตาชำเลืองขึ้นมาและเอ่ยถามว่า “เจ้ามีความคิดเห็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
ซูซูเลิกคิ้วขึ้น “เปล่า ยังคงเป็นขนมดอกกุ้ยฮวาที่ทำให้ข้าประทับใจมากกว่า !”
“ศิษย์น้องหก”
“อือ”
“ช่วงนี้เจ้ากำลังอ่านความฝันในหอแดงงั้นรึ”
มือของซูซูที่หยิบขนมดอกกุ้ยฮวาชะงักลง ในปากเองก็หยุดเคี้ยว นางชะงักไปหลายอึดใจ ในปากจึงเริ่มขยับอีกครา กลืนขนมดอกกุ้ยฮวาในปากลงไป และกล่าวว่า “พวกเจ้าต่างก็บอกกันว่าหนังสือที่เขาเขียนนั้นดีอย่างมาก ข้าเองก็อยากอ่านบ้าง”
“หลังจากได้อ่านแล้วรู้สึกเยี่ยงไร ?”
“อ่า ดีมากเลยล่ะ แต่ตอนจบก็เศร้าเกินไป”
ซูโหรวก้มหน้าปักผ้าต่อ ผ่านไปอยู่เนิ่นนาน จึงได้เอ่ยขึ้นมาอีกครา “ซูซู”
“อือ”
“จากที่เจ้าได้อ่านความฝันในหอแดงด้วยตนเองแล้ว ตกค่ำเจ้าร้องไห้ถึง 5 ครา”
ซูซูผงะไปอีกครา “เปล่านี่ ข้าจะร้องไห้ไปทำไมกัน ? ”
“ซูซูเอ๋ย พี่สาวเคยได้กล่าวกับเจ้าไปแล้ว อดีตก็เหมือนดังเช่นหมอกควัน สิ่งใดที่ควรลืมก็ลืมไปเสีย เจ้าร้องไห้ในขณะที่ฝัน ทั้งยังขานนามบิดาของเจ้าออกมา นี่มันอันตรายอย่างมาก”
ซูซูงงงวยไปทันพลัน ผ่านไปเนิ่นนาน นางจึงกล่าวออกมาอย่างท้อใจ “ศิษย์พี่สาม ข้าไร้หนทางจะลืมได้จริง ๆ โลหิตของคนหลายร้อยกว่าคน เจ้าไม่รู้ถึงเสียงที่ดังออกมายามที่เลือดเหล่านั้นอยู่ในกองไฟด้วยซ้ำ…”
“ไม่ต้องกล่าวแล้ว เจ้าในตอนนี้มิมีโอกาสให้แก้แค้น ปล่อยวางไปก่อนเถิด”
“เจ้าบอกมาสิว่าจะให้ข้าปล่อยวางเยี่ยงไร ! ”
ซูโหรวชำเลืองสายตาขึ้นมาอีกครา ด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย
“ศิษย์น้องหก บางทีเจ้าอาจจะต้องมีความรักที่หวือหวาสักครา ! ”