นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 259 ข้าสนใจฟู่เสี่ยวกวนมากกว่า
ตอนที่ 259 ข้าสนใจฟู่เสี่ยวกวนมากกว่า
ผู้ที่กำลังประมือกันอยู่คือหยูชุนชิวแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพชายแดนใต้และเผิงยวี๋เยี่ยนภรรยาเพียงหนึ่งเดียวของเขา !
ทั้งสองรับผ้าร้อนมาซับใบหน้า หลังจากนั้นก็นั่งลงที่โต๊ะน้ำชาที่อยู่ด้านข้าง สาวใช้ถอยเท้าไป หยูชุนชิวที่ไว้หนวดสั้นคิ้วดกดำขมวดนิ่วก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “องค์ชายใหญ่ไปเป็นแม่ทัพทางตะวันออก องค์ชายห้ามิปรารถนาในตำแหน่งองค์รัชทายาท เยี่ยงนั้นก็เหลือเพียงองค์ชายสี่”
ราวกับเป็นเรื่องไร้สาระ แต่เผิงยวี๋เยี่ยนกลับยิ้มบาง ๆ “และพระสนมซั่งในปัจจุบันนี้ก็ได้ขึ้นเป็นฮองเฮาแล้ว”
“ความหมายของเจ้าคือ… ?”
“เรื่องทางโลกยากจะคาดเดา ผู้ใดจะรู้กันว่าสุดท้ายแล้วฮองเฮาซั่งกำลังคิดสิ่งใดอยู่ ?”
ในขณะที่กล่าวนางก็เงยหน้าขึ้นมา บนหน้าผากนั้นมีรอยแผลสีเข้ม ต่อให้ไว้หน้าม้าลงมาก็มิอาจปกปิดได้ ดวงตาของนางอาจไม่โต แต่เป็นประกายยิ่ง
นางมองหยูชุนชิว และกล่าวอีกว่า “ท่านลองคิดดู หากองค์ชายสี่ได้เป็นองค์รัชทายาทจริง ๆ เยี่ยงนั้นฐานะของพระสนมอันก็น่าจะสูงขึ้นมิใช่หรือ แต่เหตุอันใดหลังจากที่ไทเฮาสวรรคตไป ฝ่าบาทกลับพระราชทานให้พระสนมซั่งขึ้นเป็นฮองเฮากัน”
“เนื่องจากยังมิได้แต่งตั้งองค์รัชทายาท เนื่องจากวังหลังไร้ผู้ปกครอง เหตุอันใดฝ่าบาทจึงมิรอให้แต่งตั้งองค์รัชทายาทได้เสียก่อน แล้วค่อยแต่งตั้งพระสนมเป็นฮองเฮากัน”
“นอกจากนั้นคือเรื่องที่องค์ชายใหญ่ได้กระทำลงไป ณ สุสานจักรพรรดิ หม่อมฉันยังคงยึดมั่นในจุดยืนของหม่อมฉัน เขาได้ลงมือกระทำเรื่องนั้นลงไปอย่างแท้จริง แต่เพราะความเมตตาของฝ่าบาท ในวันนี้จึงได้คำแถลงเยี่ยงนั้น”
“องค์ชายใหญ่มิสามารถขึ้นเป็นองค์รัชทายาทได้อีก แต่องค์ชายห้าเล่าเพคะ มีฮองเฮาซั่งคอยปกครองวังหลัง แต่พระสนมอันก็มีตระกูลเซวี๋ยคอยหนุนหลัง ด้วยฝีพระหัตถ์ของฮองเฮาซั่ง เกรงว่าจะมิสามารถแม้แต่ก่อให้เกิดคลื่นใด ๆ ขึ้นมาได้”
หยูชุนชิวตั้งใจฟัง ครุ่นคิดตาม และเอ่ยถามอีกว่า “ตามที่เจ้าได้เห็น จดหมายสองฉบับนั้นขององค์ชายสี่และเสด็จอาหก… ? ”
“หม่อมฉันเผามันไปแล้ว ! แม้แต่คนส่งจดหมายทั้งสอง ข้าก็สังหารไปแล้ว !”
หยูชุนชิวตกตะลึง เผิงยวี๋เยี่ยนกลับหัวเราะขึ้นมา “พระสวามี ฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้นมิใช่คนที่พวกเราจะต่อกรได้อย่างง่ายดาย”
“ท่านลองครุ่นคิดถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของฟู่เสี่ยวกวนดูเถิด ดูเหมือนจะไร้สาระ ทุกเรื่องราวกับว่าเป็นเรื่องบังเอิญมากมาย แท้จริงแล้วมิใช่เยี่ยงนั้น”
“ผู้อื่นต่างก็คิดว่าเขาคือหมากในมือของฝ่าบาท แต่ในสายตาของข้า เขากลับเป็นดาบในมือของฝ่าบาท ดาบของเขาที่สะบั้นฮุ่ยชินอ๋อง ทั้งยังสะบั้นตระกูลเฟ่ยและตระกูลชือ เบื้องหน้าจะมองเห็นว่าตระกูลเฟ่ยและตระกูลชือคือเหยื่อตกปลาขององค์ชายใหญ่ แต่ความจริงแล้วมิใช่เยี่ยงนั้น”
“เหตุที่ข้าคิดว่าเรื่องขององค์ชายใหญ่ในสุสานจักรพรรดิเป็นเรื่องจริงนั้น เหตุผลเพียงหนึ่งเดียวก็คือเยี่ยนเป่ยซีที่ส่งเสริมให้องค์ชายใหญ่ไปทางตะวันออก องค์ชายใหญ่อยากไปทางตะวันออก แต่มิใช่ในตอนนี้ ก่อนที่พระองค์จะจากเมืองหลวงไปต้องได้รับตำแหน่งองค์รัชทายาทเสียก่อน แต่ฝ่าบาทกลับมิมีพระประสงค์จะแต่งตั้งองค์รัชทายาท พระองค์เข้าใจดีว่าหลังจากที่ออกจากเมืองหลวงไป พระองค์ก็จะยากที่จะควบคุมสถานการณ์ในเมืองหลวง ดังนั้น เขาจึงทำได้เพียงก่อกบฏ”
“แต่ตระกูลเฟ่ยและตระกูลชือกลับถูกบีบบังคับ พวกเขาถูกฟู่เสี่ยวกวนบีบคั้นจนต้องไปยืนข้างองค์ชายใหญ่ ท่านผู้อาวุโสเฟ่ยและท่านผู้อาวุโสชือต่างก็เป็นคนที่ฉลาด แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับตบใบหน้าของทั้งสอง มันมิถึงตาย แต่กลับสามารถทำให้พวกเขาร้อนรน ดังนั้นเมื่อสูญเสียความเยือกเย็น และเมื่อรวมกับเดิมทีที่คิดว่าองค์ชายใหญ่คือกลยุทธ์ที่สมบูรณ์แบบ ดังนั้นพวกเขาจึงร่วมมือกันก่อความโกลาหล และต้องลงเอยเยี่ยงนี้ดั่งในวันนี้”
เผิงยวี๋เยี่ยนชะงักไปชั่วครู่ จ้องมองหยูชุนชิวและกล่าวอย่างจริงจัง “พระสวามี สังหารเพียงฟู่เสี่ยวกวนนั้นมิยาก ที่ยากคือเรื่องที่ตามมาหลังการสังหาร พวกเรามีเพียงจะถูกเนรเทศ แต่ซีผิงจะยังคงอยู่ในเมืองหลวง นั่นเป็นการผูกมัดท่านโดยฝ่าบาท ในเรื่องนี้ท่านต้องเชื่อข้า เกรงว่าในพระทัยของฝ่าบาท น้ำหนักของฟู่เสี่ยวกวนจะมากกว่าจวนแม่ทัพใหญ่ของพวกเราเสียแล้ว”
หยูชุนชิวยากที่จะเชื่อลง คิดว่าไม่ว่าเยี่ยงไรก็ตามตนเองก็คือพระญาติของฮ่องเต้ แต่ฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้นก็เป็นเพียงเศรษฐีที่ดินผู้หนึ่ง นอกจากนี้ตนเองและฮุ่ยชินอ๋องก็มิเหมือนกัน ความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงของตนคือประจำการทางใต้ ก็เกินกว่าที่นักวรรณกรรมผู้หนึ่งจะมาเทียบเคียงได้
“ทราบว่าท่านมิเชื่อ ท่านลองครุ่นคิดถึงข่าวลือขององค์หญิงเก้าและฟู่เสี่ยวกวนอีกครา หากเป็นเท็จ เหตุใดองค์หญิงเก้าจึงได้ร่วมเดินทางไปราชวงศ์อู่กับฟู่เสี่ยวกวน ? ”
“เยี่ยงนั้นก็มีเพียงแค่ว่าเขาเป็นพระราชบุตรเขย แต่ข่าวลือระหว่างเขากับต่งชูหลานก็ถูกกำหนดไว้แล้วเช่นกัน”
“เจ้าผิดแล้ว ข้อกำหนดสามารถแก้ไขได้ เฉกเช่นเดียวกับที่ฮุ่ยชินอ๋องสามารถอยู่ในเมืองหลวงได้”
“จะกล่าวว่า…ต้องเดินทางไปเยี่ยมเยียนองค์หญิงเก้าเสียหน่อยรึ ? ”
“ไม่ ข้าสนใจฟู่เสี่ยวกวนมากกว่า ! ”
…..
…..
ฝนฤดูใบไม้ผลิโปรยลงมา เติมความชุ่มชื้นให้กับสีเขียวของพื้นที่ราบชังซี
ขบวนรถม้าได้มาถึงศาลาพักม้าชังซีในยามบ่าย ถือว่ามาถึงเร็วยิ่งท้องฟ้ายังคงส่องสว่างอยู่ แต่ก็มิสามารถเดินทางไปต่อได้ ด้วยเหตุที่ว่าศาลาต่อไปอยู่ห่างไกลไปกว่าร้อยลี้ มีชื่อเรียกว่าเมืองเปียนเฉิง
หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานถือร่มลงยืนท่ามกลางสายฝน ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้ถือร่ม เขามองไปยังทุ่งหญ้าเขียวขจีที่อยู่เบื้องหน้า และค่ายทหารชายแดนตะวันออกอันเลือนรางที่สามารถเห็นได้ในระยะไกล พลางคิดไปว่าสถานที่นี้สามารถทำสงครามคราใหญ่ได้เลย แต่มิใช่สถานที่ที่ดีสำหรับการป้องกันนัก
หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานเดินเข้าไปในทุ่งหญ้า ด้วยอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความสุข ราวกับนกที่โผบินออกมาจากกรง
ใจกลางทุ่งหญ้านั้นมีดอกไม้บานอยู่มากมาย ถูกน้ำฝนชำระล้างสวยสดยิ่งนัก
เหล่าบัณฑิตยังคงติดอยู่ในวังวนกับคำถามของฟู่เสี่ยวกวน เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เยี่ยงนั้นก็คาดมิถึงว่าจะมิมีผู้ใดให้ความสนใจกับการประพันธ์บทกวี
แท้จริงแล้วพวกเขาฉลาดยิ่งนัก ต่างเข้าใจตัวตนในปัจจุบันของฟู่เสี่ยวกวน และเข้าใจว่าหากตนเองสามารถตอบคำถามนั้นด้วยคำตอบที่ฟู่เสี่ยวกวนพึงพอใจ ก็จะสามารถทำให้ฟู่เสี่ยวกวนจดจำนามของตนเองได้ ซึ่งนั่นคือความหวังในอนาคตของพวกเขา
ฟู่เสี่ยวกวนมิใช่เพียงเจี้ยนอี้ต้าฟูและไท่จงต้าฟูของเสมียนกลาง เขายังเป็นถึงอาจารย์รับเชิญให้กับสำนักศึกษาจี้เซี่ย !
ราวกับตัวฟู่เสี่ยวกวนนั้นมิตระหนักถึง ในยามนี้เขารู้สึกว่าละอองฝนที่ตกกระทบกับใบหน้านั้นช่างเย็นสบายยิ่งนัก อากาศที่บริสุทธิ์นำพากลิ่นหญ้าเขียวขจีและกลิ่นดินลอยมาจาง ๆ รู้สึกสบายอย่างบอกมิถูก
แน่นอนว่า ยังรวมไปถึงสตรีที่ถือร่มอยู่ในทุ่งหญ้าและกำลังชมดอกไม้ทั้งสองคน ซึ่งนั่นทำให้เขาสบายใจเป็นอย่างมาก
เขามายังโลกนี้ได้หนึ่งปีเต็มแล้ว !
มิเลว ทุกอย่างสุขสบายดี
ท้ายที่สุดตัวเขาก็ได้หลอมรวมไปกับโลกนี้ เหมือนว่าจะได้ทำสิ่งที่เล็กน้อยลงไปแต่กลับส่งผลในวงกว้าง
สิ่งเหล่านั้นมิได้สำคัญอันใด ที่สำคัญคือในโลกนี้ ท้ายที่สุดตนเองก็ได้มีความรัก และเป็นที่รักของเหล่าสตรี !
ฝนฤดูใบไม้ผลิสีเขียวที่เกิดใหม่ การเดินทางคราใหม่ของชีวิต
อนาคตจะเป็นเช่นไร ?
แต่ก็หวังว่าจะสุขสบายดังเช่นทุกวันนี้
พวกนางมีความสุข ข้าก็มีความสุข
เขาเดินเข้าไปหาสตรีทั้งสอง ถึงได้พบว่าพวกนางกำลังนั่งย่อลงกับพื้น มองผีเสื้อตัวหนึ่งท่ามกลางดอกไม้ในแรกฤดูใบไม้ผลิ
ผีเสื้อตัวนั้นกระพือปีกและโผบิน ตรงไปยังช่อดอกไม้อีกดอก สตรีทั้งสองมีความสุข และหัวเราะคิกคัก ต่งชูหลานกล่าวว่า “น่าเสียดายที่มิเห็นดักแด้”
“ดักแด้มีอะไรน่ามองกัน ? ได้ยินมาว่าผีเสื้อนั้นเป็นการกลายตัวของหนอน…ชูหลาน เจ้าลองบอกข้าหน่อยเถิด ว่าเหตุใดหนอนที่อยู่บนพื้นจึงเปลี่ยนเป็นผีเสื้อที่สวยงามเช่นนี้ได้ ? ”
ต่งชูหลานเบะปาก “ข้าจะไปรู้ได้เยี่ยงไร นี่คือความมหัศจรรย์ของโลก”
“โบราณกล่าวว่าทะลุรังไหมกลายเป็นผีเสื้อ นิพพานและเกิดใหม่ จึงได้สวยงามเช่นนี้”
ฟู่เสี่ยวกวนได้ยินเยี่ยงนั้นก็หัวเราะ จนสตรีทั้งสองลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจทันพลัน ต่งชูหลานกลับกลอกตามองบนใส่เขา หยูเวิ่นหวินจ้องมองเขา ราวกับรู้สึกว่าคำกล่าวเมื่อครู่ค่อนข้างจะไร้เดียงสา จนอดที่จะแสดงสีหน้าขัดเขินไม่ได้
ฟู่เสี่ยวกวนกลับหันหลังเดินออกไป และทิ้งไว้เพียงหนึ่งประโยค “ด้านนอกละอองดักแด้ เมืองแห่งน้ำและเมฆาในฝันของผีเสื้อ”
หมายความว่าเยี่ยงไร ?
ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินหันมองหน้ากัน ด้วยความไม่เข้าใจ