นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 266 ลูกธนูปริศนา
ตอนที่ 266 ลูกธนูปริศนา
นางวางไหสุราลงบนโต๊ะ มือทั้งสองข้างจับที่ชายเสื้อแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มว่า “หากเจ้ามิชอบข้าจริง ๆ ข้า…ข้าเพียงอยากให้เจ้าลองให้โอกาสข้า อยู่ร่วมกับข้าสักพัก หากว่าเจ้ายังคงมิชอบข้า ข้าจะ…ข้าก็จะจากไปด้วยตนเอง”
นี่คือนิสัยของพวกชาวยุทธงั้นรึ ?
ฟู่เสี่ยวกวนชื่นชมนางยิ่ง กล้ารักกล้าเกลียด เด็ดขาดมิลังเล นางตรงไปตรงมาแข็งแกร่งมิแพ้ชายใด !
แต่ทว่าเป็นซูม่อที่ถูกคำพูดเมื่อครู่ทำให้เขาอายเสียจนก้มหน้าก้มตาลง เขาคิดอยู่เนิ่นนานจึงได้เอ่ยมาว่า “ข้าจะต้องอารักขาคุณชายไปยังราชวงศ์อู่”
เยี่ยนถาวฮวายิ้มแล้วกล่าวว่า “เยี่ยงนั้นข้าจะติดตามเจ้าไปราชวงศ์อู่ด้วย”
“ในใจข้ามีคนอื่นอยู่แล้ว”
“เช่นนั้นเพิ่มอีกสักคนก็ได้ ! ”
“…อ่า เกรงว่าแม่นางจะต้องทุกข์ใจ”
“…อ่า เกรงว่าเจ้าจะเสียเปรียบ ! ”
ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันดีแท้ !
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งมองดูคนคู่นี้ด้วยความสนอกสนใจ
นิสัยของซูม่อค่อนข้างจะนิ่งเงียบ คงเป็นเพราะเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมาในชีวิตเขา
เขาได้พบเจอกับเรื่องราวที่เลวร้ายมิมีผู้ใดแยแสมาแต่เล็ก เมื่อไปยังสำนักเต๋าจึงได้พบเข้ากับความอบอุ่น ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธความหวังดีของผู้อื่นมิค่อยเป็น
แต่แม่นางเยี่ยนถาวฮวามีนิสัยตรงไปตรงมาและเด็ดขาด
ส่วนหงจวงนั้น…ฟู่เสี่ยวกวนจินตนาการถึงท่าทางที่แข็งแกร่งราวกับผู้ชายของแม่นางหงจวงที่ภูเขาซีซาน แล้วจึงคิดไปว่านางจัดอยู่ในประเภทปากร้ายแต่ใจดี !
เรื่องที่เยี่ยนถาวฮวาจะเดินทางไปกับพวกเขานั้น ฟู่เสี่ยวกวนมิได้มีความคิดเห็นอันใด เขาต้องการเห็นซูม่อมีครอบครัว และหวังว่าจะหาภรรยาให้ไป๋ยู่เหลียนที่ยังคงอยู่บนภูเขาได้สักคน
เมื่อนึกถึงไป๋ยู่เหลียน
เจ้านั่นก็หน้าตาดีมิใช่น้อย เพียงแต่ว่าอายุเกิน 20 ปีแล้ว มิรู้ว่าแม่นางเยี่ยนถาวฮวายังมีพี่สาวที่มิได้ออกเรือนอีกหรือไม่ ?
กลิ่นเนื้อย่างหอมกรุ่นเริ่มโชยมาเตะจมูก จากนั้นตามด้วยเสียงดังฟังชัดว่า “ถาวฮวา เตรียมตัวกินข้าวได้แล้ว ! กินข้างนอกนั่นล่ะ ! ”
“เจ้าค่ะ ! ”
“ไปกันเถิด ไปกินเนื้อย่างกัน ท่านปู่ทำเนื้อย่างได้เลิศรสมิมีผู้ใดสามารถเทียบเคียงได้…” นางมองไปที่ซูม่ออีกครั้ง แล้วเอ่ยหยอกล้อว่า “เจ้าหนังหุ้มกระดูก กินให้มาก ๆ จะได้บำรุงเสียหน่อย ! ”
ประโยคนี้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่ามีความหมายอื่นลึกซึ้ง แต่ซูเจวี๋ยกลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติ
นี่คือความแตกต่างของปัญญาชนและพวกชาวยุทธงั้นรึ ?
ทุกคนต่างนั่งลงรอบกองไฟในศาลา ที่ศาลานั้นมีตะเกียงเจ้าพายุแขวนอยู่ 4 ดวง ไฟในศาลาเริ่มเบาลง เหลือเพียงแสงจากถ่านสีแดง
“เนื้อย่างนั้นจะต้องกินไปย่างไปจึงจะอร่อย หากว่าเย็นลงแล้วจะทำให้รสชาติเปลี่ยนไปกลายเป็นเหม็นสาบได้ นั่นจะทำให้เสียรสชาติ มา ๆ ๆ ใช้มีดหั่นกินได้ตามสบายอย่าได้เกรงอกเกรงใจไป”
ชายชรากล่าวจบก็หั่นชิ้นเนื้อน่องแกะนำไปวางให้แก่ซูม่อ “หลานสาวข้ากล่าวว่าให้เจ้าบำรุงเสียหน่อย อืม มองดูแล้วเจ้าควรที่จะบำรุงยิ่ง อย่างที่นางได้เอ่ยไว้”
ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ หัวเราะขึ้น มีเพียงซูม่อที่รู้สึกแตกต่างออกไป ทั้งชีวิตเขานี้หาได้เคยมีคนปฏิบัติด้วยเช่นนี้ไม่ ? ในสำนักเต๋า ตอนที่เขาอยู่กับศิษย์พี่ศิษย์น้อง สิ่งที่เขาได้รับคือความเป็นห่วงเป็นใย
เมื่อเดินทางออกมาจากสำนักเต๋าก็ถูกไป๋ยู่เหลียนหลอกให้มาอยู่กับฟู่เสี่ยวกวน เขารู้สึกได้ถึงมิตรภาพ
แต่บัดนี้ เขากลับสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น !
แม้จะเป็นเพียงน่องแกะ แต่ในสายตาของเขานั้น นี่คือฟืนไฟท่ามกลางหิมะอันหนาวเหน็บ นี่คือตะเกียงในยามค่ำคืน !
เขามิได้เกรงใจ ถลกแขนเสื้อขึ้นมาแล้วรับน่องแกะนั้นไปกัดแทะ
เยี่ยนถาวฮวายิ้มออกมา งดงามราวกับดอกท้อ
ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่นก็มิได้เกรงใจเช่นกัน เขาหยิบมีดขึ้นมาหั่นบริเวณเนื้อให้ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวิน จากนั้นตนได้หยิบบริเวณซี่โครงขึ้นมากิน
รสชาติมิเลวทีเดียว เพียงแต่ขาดผงยี่หร่าไป จึงทำให้รู้สึกว่ายังขาดรสชาติของบางสิ่ง
แต่วัตถุดิบมีความสดใหม่ กินกับสุราดอกท้อเข้ากันได้ดียิ่ง เขาจึงกินดื่มไปค่อนข้างมากเสียทีเดียว
ระหว่างนั้นชายชราและซูเจวี๋ยได้สนทนากันไปตามประสา ชายชราเอ่ยถามถึงท่านผู้สังเกต ซูเจวี๋ยได้ตอบกลับไปและได้เป็นตัวแทนสำนักเต๋าเอ่ยถึงสารทุกข์สุกดิบให้แก่ตระกูลเยี่ยนแห่งแคว้นฝาน
ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้ว่าชายชราผู้นี้คือผู้มีความสามารถระดับเทพผู้หนึ่ง แต่แม่นางถาวฮวายังมิเคยได้รับการฝึกวรยุทธใด คาดว่าคงเป็นกฎพิเศษของตระกูลเยี่ยนที่ว่า หากนางจะฝึกฝน จำเป็นต้องรอถึงวันที่ออกเรือน
อาหารมื้อนี้ใช้เวลากินไปราว ๆ ครึ่งชั่วยาม สุราดอกท้อหนึ่งไหถูกดื่มเสียจนหมด แกะหนึ่งตัวก็ถูกกินเหลือแต่เพียงกระดูกเท่านั้น เมื่อทุกคนกินอิ่มหนำสำราญแล้ว แม่นางเยี่ยนถาวฮวาจึงได้เก็บกวาด นางเข้าไปในเรือนเล็กเพื่อหยิบน้ำชาออกมา ชายชราเติมฟืนเข้าไปในกองไฟเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความอบอุ่น
“หลานสาวข้าคนนี้นิสัยดื้อรั้นยิ่งนัก ว่าที่สามีของนางคงต้องให้นางเลือกเอง แต่ก็เลือกมาเป็นเวลา 17 ปีแล้ว ดังนั้นเรื่องของพวกเจ้าทั้งสองจงรีบจัดการให้เร็วที่สุด มิใช่ว่าข้ารีบร้อนอยากอุ้มหลาน แต่ว่าทักษะดอกไม้ผลิขั้นสองนั้น อายุ 14 – 18 ปีจะเป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุด”
“ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์แห่งสำนักเต๋า คาดว่าคงจะเป็นกำพร้า ในอนาคตเจ้าทั้งสองจะตั้งถิ่นฐานในแคว้นฝานหรือจะกลับไปยังราชวงศ์หยู ข้าก็จะมิเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่มีสิ่งหนึ่งที่ต้องจดจำเอาไว้ให้มั่นนั้นก็คือ อย่าได้ทำให้นางต้องเสียใจ”
ซูม่อนึกในใจว่า เขายังมิได้รับคำด้วยซ้ำ เหตุใดจึงเอ่ยถึงเรื่องนี้แล้ว ?
เขาปฏิเสธมิได้ เนื่องจากเมื่อสักครู่ได้กินเนื้อแกะและดื่มสุราดอกท้อของท่านผู้เฒ่านี้ไปเสียมากมาย…ดังนั้น เขาจึงทำได้เพียงพยักหน้าอย่างไร้ทางเลือก
ทันใดนั้นเอง ซูเจวี๋ยลุกขึ้นยืนและในเวลาเดียวกัน ดาบที่เขาสะพายไว้ด้านหลังนั้นก็ตกลงมาอยู่ในมือของเขาทันที
ชายชราขมวดคิ้วขึ้น เขาหรี่ตาลงมองไปยังบริเวณที่มืดมิดนั้น
มีใครบางคนผมยาว เดินถือดาบตรงเข้ามาท่ามกลางสายฝนพรำ
เขาเดินไปกวัดแกว่งดาบไป เขาฟันกิ่งท้อมากมายตกลงสู่พื้น และแน่นอนว่าได้ฟันดอกท้อร่วงหล่นกองโต
“ศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักป่ากระบี่ จั่วเฮิ่นฮวา ! ”
“ฮ่าๆๆ ศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักเต๋า ซูเจวี๋ย เจ้าสบายดีหรือไม่ ? ”
“มองดูแล้ว เจ้าคงยังมิหนำใจ”
“ดังนั้นข้าจึงได้ตามเจ้ามาถึงที่แห่งนี้ ดอกท้อมากมายช่างเหมาะเจาะแก่การที่ข้าจะใช้มันฝังเจ้าลงดิน รับดาบไปซะ !”
ฟู่เสี่ยวกวนมองเห็นคนจากสำนักป่ากระบี่พุ่งเข้ามาในพริบตา ซูเจวี๋ยปล่อยดาบลอยออกไปรับดาบของเขา เมื่อดาบทั้งสองกระทบกันก็เกิดเป็นเสียงดังขึ้นมา จากนั้นพบว่ารั้วไม้ล้มระเนระนาด เถาวัลย์สีเขียวถูกฟันเสียยับเยิน
ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังนั่งดูทั้งสองต่อสู้กันอยู่นั้น ก็พบว่าชายชราเหินบินขึ้นสู่ท้องฟ้ากะทันหัน ในมือถือมีดฆ่าหมู เขาฟันมันลงท่ามกลางความมืดนั้น
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้ามองดู มีดเล่มหนึ่งตกลงมาจากฟากฟ้าท่ามกลางสายฝน จากนั้นก็มีเล่มที่สองตามมา ต่อด้วยดาบ ซูโหรวรีบลอยตัวออกไป เข็มปักผ้าในมือของนางที่พุ่งออกไป กระทบเข้ากับมีดเกิดเป็นประกาย ซูซูเปิดกล่องฉินออกมาแล้วกอดฉินเทพนี้พุ่งตัวขึ้นไปเช่นกัน นางลอยตัวไปอยู่บนหลังคาศาลา จากนั้นก็ดีดสายฉินต่อสู้กับดาบที่ลอยมา
ส่วนซูม่อ เขาลุกขึ้นยืนแต่มิได้จากไปไหน แต่กลับยืนอยู่ด้านหลังฟู่เสี่ยวกวน เขาชักดาบออกจากฝัก
ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งจะได้สติกลับคืนมาแล้วเข้าใจว่า แท้จริงพวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นชาวยุทธผู้มีฝีมือ มิใช่พวกหัวมังกุท้ายมังกร เป้าหมายของพวกเขา…คือชายชราผู้นี้งั้นรึ ?
หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานตกใจเสียจนหน้าซีด ฟู่เสี่ยวกวนกุมมือของพวกนางไว้ด้วยสีหน้านิ่งเรียบ เขาจับจ้องไปยังทุกการต่อสู้ในสวนดอกท้อนี้
สายตาของทุกคนจับจ้องไปยังสวนท้อ แต่หาได้มีใครรู้ไม่ว่า ที่หลังเขายังมียอดฝีมือชั้นปรมาจารย์ยืนอยู่บนยอดไม้ต้นหนึ่ง
เขายืนมองอย่างสงบ
จากนั้นหยิบสีธนูดำขึ้นมา
ตามด้วยลูกธนูในแขนเสื้อ เป็นลูกธนูที่ทำด้วยเหล็กประณีต
เขาพาดลูกธนูไปที่คันศร จากนั้นเกี่ยวสายธนู
หยาดละอองฝนตกลงมายังใบหน้าของเขา หยดค้างอยู่ที่ขนตา เดิมทีมันควรจะกีดขวางการมองเห็นของเขา แต่ทว่าเขากลับมิได้รู้สึกใด ๆ เลยแม้แต่น้อย
เสียงลมหายใจแรงขึ้นเรื่อย ๆ ซูเจวี๋ยรู้สึกเย็นยะเยือก เขาใช้ดาบของตนปัดดาบของจั่วเฮิ่นฮวาออกไป จากนั้นหันหลังแล้วตะโกนออกมาว่า “ระวัง ! ”