นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 267 ปืนเขย่าขวัญ
ตอนที่ 267 ปืนเขย่าขวัญ
หัวใจของซูเจวี๋ยเย็นเยียบราวกับน้ำแข็งขึ้นมาฉับพลัน
เพราะเขาไม่สามารถเข้าไปขวางธนูดอกนั้นได้ทัน !
คนยิงธนูเก็บคันธนู คาดว่า…ใช้พลังวัวสังหารไก่ แต่เพื่อรางวัล มันก็คุ้มค่า
ในตอนที่เขาจะหันหลังเดินออกไป แต่ทันใดนั้นก็ต้องขมวดคิ้วนิ่วหน้า
ช่วงเวลาที่แขวนอยู่บนเส้นผม ซูม่อก้าวเท้ามาหนึ่งก้าว เพียงหนึ่งก้าว กลับขวางธนูที่ยิงเล็งใส่ฟู่เสี่ยวกวนได้พอดิบพอดี
“ฉึก… !”
ซูม่อถูกธนูปัก เขาชนเข้ากับเสาของศาลา ชนจนเสานั้นหัก ศาลาพังลงมาในทันที เขายังคงบินไปไกลด้วยแรงกระแทก บินเข้าไปในพายุฝน บินเข้าไปในสวนท้อ เลือดไหลมาตลอดทาง จากนั้นจึงได้ล้มลงกับพื้นดังตึง
ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตกใจ ฉวยจังหวะที่ศาลาพังลงมาลากหยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานปรี่เข้าไปในอาคารเล็ก
“พวกเจ้าคอยอยู่ที่นี่ ! ”
“เจ้าจะไปไหน ? ”
“ข้าต้องไปแก้แค้นให้กับซูม่อ ! ”
“เจ้า… ! ”
เขามิสนใจเสียงอุทานตกใจที่ดังมาจากทางด้านหลังแม้แต่นิด เขาปรี่ออกไป ในมือกำเหยี่ยวทะเลทรายเอาไว้
เขาไม่รู้ว่ามือธนูอยู่ที่ใด ซูเจวี๋ยเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงที่สุดในที่นี้ เขาต้องช่วยซูเจวี๋ย
สองมือของเขากำปืน รูปร่างดั่งงูท่ามกลางความมืด คล่องแคล่วว่องไวปานชะมด
เขาปรี่เข้าไปในสวนท้อ โดยมิรู้เลยว่าคนผู้นั้นที่อยู่บนต้นไม้ด้านหลังภูเขา ในยามนี้กำลังง้างธนูดอกที่สองด้วยใบหน้านิ่ว !
ซูเจวี๋ยพบเจอคนผู้นั้นแล้ว เขาจึงโผบินไปหาชายผู้นั้นทันที แต่จั่วเฮิ่นฮวากลับตามเขาไปราวกับเงา เมื่อเห็นเข้ากับฟู่เสี่ยวกวนก็คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะปรี่เข้ามาหาเขาราวกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ
เขาหยุดฝีเท้าลง มุมปากยกขึ้นแสยะยิ้ม ดาบในมือเปล่งประกายวาววาบ “ตายซะ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนคุกเข่าหนึ่งข้างกับพื้น สองมือยกปืนขึ้นมา
“เจ้าจงตายเสียเถอะ ! ”
ทั้งสองอยู่ห่างกันไกลถึง 10 จั้ง
จั่วเฮิ่นฮวาบินขึ้น ราวกับนกอินทรีที่ล่ากระต่าย ดาบในมือถูกยกขึ้น กระต่ายบนพื้นตัวนั้น ต้องตายทั้งอย่างนี้ !
ฟู่เสี่ยวกวนยกปืนขึ้น ในใจพลันสงบนิ่ง
“บัดซบ ! ”
ปากเขาสบถออกมาสองคำ เสียงปืนดัง ‘ปัง… !’ ทันใดนั้นจั่วเฮิ่นฮวาก็รู้สึกเย็บไปทั้งศีรษะ หัวของเขาเงยขึ้น ทันทีที่ฝนตกกระทบใบหน้า ก็รู้สึกหนาวเหน็บยิ่งกว่าเดิม
ซูเจวี๋ยและคนอื่นเมื่อได้ยินเสียง ‘ปัง’ ดังขึ้น แต่มิได้หันกลับไปมอง เพราะศัตรูที่พวกเขากำลังเผชิญนั้นแข็งแกร่งยิ่ง
และก็มีลูกธนูที่พุ่งฝ่าพายุฝนมาอีกหนึ่งดอก
ซูเจวี๋ยยกกระบี่ในมือขึ้น มิได้ขยับหมวกที่เบี้ยวไปเล็กน้อย
ท่าทางของเขาในตอนนี้เคร่งเครียดเป็นอย่างมาก
ร่างของจั่วเฮิ่นฮวาตกลงมาจากกลางอากาศ มือของเขายังกุมดาบ สองตาของเขาเบิกโพลง เหม่อมองไปยังท้องฟ้าที่มืดมิด มีเลือดไหลมาจากรูที่อยู่กลางหน้าผาก แต่ได้ถูกฝนฤดูใบไม้ผลิทำให้เจือจาง ราวกับมิได้แดงปลั่งเช่นดอกท้อ
ฟู่เสี่ยวกวนปรี่เข้าไปในป่าท้อทันทีที่เสียงปืนดังขึ้น ธนูดอกนั้นก็ได้พุ่งออกมาจากป่าท้อ แต่ซูเจวี๋ยยืนอยู่ในวิถีของลูกธนู
ดังนั้นลูกธนูดอกนั้นจึงไม่ปักเข้าที่ฟู่เสี่ยวกวน แต่กลับปักเข้าตรงกลางกระบี่ของซูเจวี๋ย !
พลังที่ยากต่อต้านได้ถูกส่งผ่านมายังกระบี่ไม้ คาดมิถึงว่าธนูนั้นจะปักเข้าที่กระบี่ แต่ซูเจวี๋ยกลับมิได้ปล่อยมือ ร่างของเขาทะยานอยู่กลางอากาศ หยาดโลหิตถูกพ่นออกมา และถูกพ่นลงบนกระบี่ที่ถูกลูกธนูปักอยู่
เกิดเสียง ‘ฟู่’ ดังขึ้นมา ควันสีเขียวลอยคลุ้ง ราวกับน้ำที่รดลงมาบนกองไฟ
ซูเจวี๋ยตกลงบนต้นท้อ กระแทกจนกิ่งท้อหัก และตกลงมาบนพื้น
ฟู่เสี่ยวกวนได้ปรี่มาถึงด้านหน้าของซูม่อแล้ว เขาดึงกล่องดำที่ซูม่อแบกมาด้วยลง รีบเปิดอย่างว่องไว และหยิบยกปืนยาวออกมา
เขาไม่ได้สังเกตว่าหลังของซูม่อมิมีธนูดอกนั้นแล้ว !
เขาบรรจุกระสุนอย่างเงียบงัน และคลานไปกับพื้นอย่างเงียบเฉียบโดยที่ถือปืนกระบอกใหญ่ไปด้วย เลนส์ที่ใช้มองตอนกลางคืนถูกเปิดออก เขากวาดสายตามองหามือธนูที่อยู่ด้านหลังเขานี้
คนผู้นั้นคิ้วขมวดอีกครา คาดมิถึงว่าศิษย์ทั้งสองของสำนักเต๋าจะเข้ามาขวางธนูของเขาถึงสองครา
เขาบินลงมาโดยที่ถือคันธนูและลูกธนูอยู่ คาดว่าครานี้ข้ายิงไปที่ศีรษะของฟู่เสี่ยวกวน เขาน่าจะตายได้แล้ว
ซูเจวี๋ยลุกขึ้นยืนจากพื้น หมวกของเขาตกลงบนพื้น แต่อีกาตัวนั้นกลับมิได้บินออกมา ราวกับกำลังหลับอยู่
เขาถือกระบี่และบินไปยังป่าท้อ และดึงธนูที่ปักอยู่กับกระบี่นั้นออกมา
ฟู่เสี่ยวกวนเห็นคนผู้นั้นผ่านแว่นตาที่ใช้มองในยามกลางคืนแล้ว
เขาล็อคเป้าหมายไว้เรียบร้อยแล้ว ระยะห่าง 800 เมตร ดีมาก !
ซูเจวี๋ยล้มลงไปกับพื้น สายตาจดจ้องคนที่กำลังบินอยู่ผู้นั้น คิดไปว่าคืนนี้น่ากลัวว่าจะถูกฝังอยู่ใต้ต้นท้อเหล่านี้เสียแล้ว
ดีที่ซูซูมิทราบว่าดอกไม้ของต้นท้อบนเขาจะสวยงามยิ่งกว่า เนื่องด้วยมาจากเหตุผลที่ว่าเขาท้อมีประวัติศาสตร์เป็นสุสานที่ใช้ฝังศิษย์ของสำนักเต๋า
เป็นสารอาหารหล่อเลี้ยงต้นท้อ จากคำกล่าวของท่านอาจารย์ ผงธุลีที่กลับคืนสู่ธรณี คือการใช้ประโยชน์สูงสุดจากสรรพสิ่ง
ฟู่เสี่ยวกวนล็อคเป้าหมายไว้ที่คนผู้นั้นแล้ว คนผู้นั้นราวกับจับสัมผัสได้ เขาถึงได้หยุดลง และลงไปที่พื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง เพราะจิตสังหารบนโลกใบนี้ที่สามารถส่งผลถึงเขาได้ มีอยู่น้อยอย่างมากถึงมากที่สุดแล้ว
จิตสังหารนี้มาจากที่ใดกัน ?
เขามิทราบว่าเหตุใด แต่ในตอนนี้สัมผัสอันตรายนั้นได้หายไปอีกแล้ว
หรือบางทีอาจเป็นเพราะประสาทสัมผัสของตนเองที่ว่องไวเกินไป
เมื่อเขาคิดได้เยี่ยงนั้น ก็โผบินขึ้นอีกครา ครานี้เพิ่มความเร็วขึ้นไปอีก กลางอากาศ เขาน้าวสายธนู เป้าหมายกลับอยู่ที่ซูเจวี๋ย
ทันทีที่ซูเจวี๋ยตาย ก็ยิ่งมิต้องแยแสถึงผู้อื่น
ฟู่เสี่ยวกวนล็อกเป้าหมายไปที่เขาอีกครา ครั้งนี้เขามิแม้แต่จะลังเล เพราะเขากังวลว่าซูเจวี๋ยจะขวางธนูนี้เอาไว้ไม่ได้
เขาเหนี่ยวไกออกไป !
ด้วยแรงอัดที่ถูกปล่อย ปืนกระบอกใหญ่เพียงส่งเสียง ‘ฟุ…’ ออกมา
คนผู้นั้นกลับสัมผัสถึงอันตรายที่ใหญ่หลวงได้ในชั่วพริบตา !
ราวกับมัจจุราชได้มาเยือน !
เขาบิดตัวกลางอากาศ ได้ยินเสียงดัง ‘ฟุ’ อย่างชัดเจน
อาการปวดลามขึ้นมาจากทางสะบักไหล่ เขาไร้พลังจะถือธนูในมือไปในทันพลัน
และที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่าคือร่างของเขากลับตกลงไปในขณะที่บินอย่างคาดมิถึง !
แรงอันมหาศาลปะทะเข้าที่ไหล่ซ้ายของเขา เขาปรับลมหายใจอยู่กลางอากาศ ตกลงไปบนพื้น มิมีความลังเลใจแม้แต่นิด เขาปรี่เข้าไปหลังเขา และหายตัวไปอย่างไม่เหลือร่องรอย
ซูเจวี๋ยมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเมื่อครู่ด้วยความไม่เข้าใจ
ใต้หล้านี้ยังมีธนูของผู้ใดที่ร้ายกาจกว่าของเขาอีกรึ ?
เห็นได้ชัดว่านั่นคือการโจมตีจากระยะไกลเพียง 1 ครั้ง เช่นนั้นมีเพียงธนูหรืออาวุธลับเท่านั้นที่จะทำได้ เขาหันกลับไปมอง นึกไปถึงเสียงฟุที่ได้ยินเพียงเสี้ยวพริบตา นั่นมิใช่เสียงของธนูหรืออาวุธลับ ธนูและอาวุธลับจะมิส่งเสียงเยี่ยงนั้น
เช่นนั้น แท้จริงแล้วเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?
เขามิเข้าใจ และมิได้ครุ่นคิดไปถึงมันอีก แต่กลับร่วมผสมโรงไปกับการต่อสู้อื่นที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร
ฟู่เสี่ยวกวนเสียใจอย่างมาก และได้มีความรู้ใหม่เกี่ยวกับยอดฝีมือชนชั้นปรมาจารย์
ประสาทสัมผัสของพวกเขาเฉียบคมมากยิ่งนัก กระสุนลูกนั้นควรเจาะเข้ากลางหัวใจ แต่เขากลับรอดพ้นความรุนแรงที่ถึงแก่ชีวิตนั้นได้
เขาวางปืนลงไปในกล่องดำ จากนั้นจึงอุ้มซูม่อและเดินเข้าไปในอาคารเล็ก
เยี่ยนถาวฮวาน้ำตาไหลราวกับหยาดฝน ล้มลงไปบนร่างซูม่อ และร่ำร้องอย่างขมขื่น “หมอดูมิเคยบอกว่าข้าจะไร้สามี… เจ้าจะมาตายจากเยี่ยงนี้รึ… ทั้งที่ในที่สุดข้าก็ได้เจอคนที่ชอบพอแล้ว…พวกเวร เป่ยหวังฉวน ข้ามิมีทางจบกับมันไปชั่วชีวิตนี้ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่ด้านหน้าซากศพของซูม่อด้วยอาการเหม่อลอย นึกไปถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมามากมาย ดวงตาแดงก่ำขึ้นมาทันพลัน
สนามรบด้านนอกได้สิ้นสุดแล้ว ซูเจวี๋ยได้ระเบิดจิตสังหาร และเหลือไว้เพียงหนึ่งชีวิต
ทุกคนต่างยืนอยู่ข้างกายซูม่อ แม้แต่ซูซูก็เหมือนจะลืมบาดแผลบนแขนของตนที่เลือดยังไหลอยู่ไปแล้ว
ตายแล้วเยี่ยงนั้นรึ ?