นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 278 เคลื่อนขบวนม้าออกไป
ตอนที่ 278 เคลื่อนขบวนม้าออกไป
“เว้นเสียแต่ว่าเหตุใด ? ”
“เว้นเสียแต่ว่าจะมีผู้ใดมีวรยุทธ์พลังดัชนี”
สุ่ยหยุนเจียนยิ้มร่าออกมาแล้วส่ายหน้าเล็กน้อย เขากล่าวว่า “นับสหัสวรรษแล้วที่จอมยุทธ์พลังดัชนีได้สาบสูญไปจากแผ่นดินนี้ หากแม้นแต่ผู้นั้นจะรู้ซึ่งวิทยายุทธ์นั้นจริง เขาย่อมตามฆ่าล้างท่านเป็นแน่ แต่ท่านกลับหลบหนีมาได้”
เรื่องนี้ได้กลายเป็นปมม้วนขดในใจและยากจะคลี่คลายให้กับทั้งสอง !
เป่ยหวังฉวนเป็นผู้ที่ระวังเนื้อระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง หากมิได้หยั่งรู้ว่าตัวตนของฟู่เสี่ยวกวนเป็นเช่นไรเสียก่อน เขาก็มิอาจลงมือทำร้ายฟู่เสี่ยวกวนอย่างไร้ซึ่งเหตุผล และสุ่ยหยุนเจียนก็เป็นสุดยอดปรมาจารย์เช่นกัน ซึ่งแน่นอนว่าเขาย่อมให้ความสำคัญกับอาชีพหมอที่สูงส่งมากกว่า
“กระดูกสะบักของท่านถูกอาวุธนี้ทำให้แตกเป็นเสี่ยง ๆ ช่วงนี้ข้าอยากให้ท่านงดการใช้กำลังภายในไปก่อน จงดูแลรักษาร่างกายท่านให้ดี หนึ่งปีต่อจากนี้ห้ามท่านแตะต้องคันธนูเป็นอันขาด มิเช่นนั้นความเจ็บปวดจะมิจางหาย”
เป่ยหวังฉวนพยักหน้ารับทราบพร้อมนำตั๋วเงินกลับกล่องผ้าไหมออกมาจากชายเสื้อของตนแล้ววางไว้บนโต๊ะ ซึ่งนั่นเป็นค่ารักษา และที่สำคัญก็คือภาพดอกบัวขาวที่ปรากฏอยู่บนกล่องนั้น
เขาหยิบกระสุนแล้วนำมาพินิจอย่างชิดใกล้ แล้วจึงเก็บไว้อย่างระมัดระวัง ในขณะที่กำลังเดินออกจากจวนนั้นเองก็เจออี้เหมินถงวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน
“นายท่านขอรับ องค์หญิงไท่ผิง…ทรงนำกองทัพหญิงมาล้อมจวนไว้หมดแล้วขอรับ ทรงตรัสว่า…ทรงตรัสว่าให้ส่งตัวท่านปรมา…ท่านปรมาจารย์เป่ยให้พระองค์ขอรับ ! ”
เมื่อได้ฟังความเช่นนั้นทั้งสองก็หันหน้ามามองกันว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
“ท่านได้ทำการใดให้องค์หญิงโกรธแค้นหรือไม่ ? ”
เป่ยหวังฉวนส่ายหัวไปมา “มิมีเสียหน่อย ข้าจะทำให้องค์หญิงโกรธแค้นด้วยเหตุอันใดกัน ? ”
“เหตุใดองค์หญิงจึงยกกองทัพมาจับกุมท่านถึงที่นี่ได้เล่า ? ”
“ข้าจะล่วงรู้ได้เยี่ยงไรกัน ข้าขอไปดูให้เห็นกับตาก่อน”
“ไปดูด้วยกันเถิด ! ”
……
อู่หลิงถือดาบยาวด้วยท่าทีหาญกล้าและองอาจอยู่บนหลังม้า ทรงทอดพระเนตรเห็นเป่ยหวังฉวนขมวดคิ้วด้วยสีหน้าฉงนและบนบ่าของเขายังมีผ้าพันแผล เขาได้รับบาดเจ็บงั้นรึ
ผู้ใดสามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้ ?
ความคิดนี้โผล่เข้ามาในหัวของอู่หลิงชั่วขณะ ทันใดนั้นนางก็ชักดาบยาวชี้ตรงไปที่เขาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ข้าเพียงแต่ต้องการจะถามเจ้า ใช่เจ้าหรือไม่ที่วางแผนลอบสังหารฟู่เสี่ยวกวนที่เขตชายแดน ? ”
เป่ยหวังฉวนผงะเล็กน้อย ต่อให้ลงมือสังหารฟู่เสี่ยวกวนแล้วมีเหตุอันใดต้องเกี่ยวข้องกับองค์หญิงไท่ผิงด้วย ?
เขาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกำลังจะชี้แจงเบื้องลึกเบื้องหลัง แต่กลับสังเกตได้ถึงสีหน้าโหดเหี้ยม และโบกด้ามดาบเพื่อสั่งการ “ไปนำตัวมันมาให้ข้าประเดี๋ยวนี้ ! ”
ขบวนนักรบหญิงชุดแดงได้กรูเข้ามาหาเขาในทันใด เขาตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า แต่เขาก็มิบังอาจทำร้ายองค์หญิงไท่ผิงได้อีกเช่นกัน
จะทำเยี่ยงไรดี ?
หนี คงต้องหนีแล้ว !
เขาสำแดงวิชาท่าร่างแล้วเหาะเหินขึ้นไปบนฟ้า ก่อนจากได้เอ่ยกับคำกล่าวว่า “องค์หญิง ข้าเกรงว่าท่านจะเข้าใจข้าผิดไป”
อู่หลิงกัดฟันอย่างโกรธแค้น แหงนหน้ามองเงาของเป่ยหวังฉวนที่ลอยไกลไปทุกเสี้ยววินาที นางคิดว่าหากจับตัวเขามิได้ฟู่เสี่ยวกวนต้องเกิดความบาดหมางขึ้นในใจเป็นแน่ ต่อให้ได้พบเจอในงานเทศกาลฤดูหนาวแต่เขาต้องมีท่าทีเย็นชาเป็นแน่ เช่นนั้นต้องจับเป่ยหวังฉวนให้จงได้
สุ่ยหยุนเจียนมองอู่หลิงนำกองทัพจากไปอย่างฉุกละหุกด้วยความตกตะลึง
เขาส่ายศีรษะแล้วเดินกลับเข้าจวนของตนไป ในใจพลางคิดว่าควรจะนำเรื่องนี้กราบทูลองค์รัชทายาทเสียหน่อย
ย่อมแน่ชัดว่ากองทัพของอู่หลิงมิอาจไล่เป่ยหวังชวนจนทันได้ ในที่สุดนางก็ยอมแพ้เคลื่อนทัพไปทางอื่น หากคำนวณจากระยะเวลา เวลานี้ขบวนของฟู่เสี่ยวกวนควรจะมาถึงเมืองฝานหนิงแล้ว
ครานี้นางมีราชโองการขององค์จักรพรรดิเหวินตี้ติดตัวมาด้วย นางอยากเจอฟู่เสี่ยวกวนแล้วอธิบายทุกอย่างให้ชัดแจ้ง สิ่งที่เป่ยหวังฉวนได้ก่อขึ้น หาใช่ความตั้งใจของราชสำนักไม่ นางหวังที่จะลบเลือนความบาดหมางนั้นให้จางไป อย่าได้มาทำลายสิ่งที่นางคาดหวังไว้เลย
ในขณะที่ขบวนของอู่หลิงได้เคลื่อนไปเมืองถึงฝานหนิงอย่างไม่ลดละนั้นเอง นางก็ได้รู้ข่าวคราวว่าขบวนฟู่เสียวกวนยังมิได้เข้าเมือง มิเพียงแต่มิได้เข้าเมืองแต่ยังหันหัวขบวนมุ่งหน้ากลับแคว้นหยูอีกต่างหาก !
ทำให้นางโกรธแค้นเป็นอย่างมาก !
เจ้ากวนถง เจ้าคนชั่วช้า !
ข้าจะบั่นคอเจ้าให้จงได้ !
ในขณะที่ปัญญาชนจากแคว้นฝาน แคว้นอี๋และแคว้นฮวงมองนางด้วยแววตาเจิดจรัสนั้น อู่หลิงก็นำทัพออกไปอย่างโกรธแค้น เหล่าปัญญาชนมิล่วงรู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น นึกคิดหรือว่าจะมีความบาดหมางกันระหว่างองค์หญิงและฟู่เสี่ยวกวน ?
เมื่อท่าป๋ายวนได้ยลโฉมองค์หญิงก็ได้จิตใจสั่นไหวขึ้นมา !
แม่นางคือสตรีที่ใจเขาหมายปอง !
เหล่าคนจากแค้วนฮวงต่างหึกเหิม ท่าทีองค์อาจและเข้มแข็งมิแพ้ชายชาตรีเยี่ยงองค์หญิงไท่ผิงนี้สิถึงจะเป็นคุณสมบัติที่สตรีของแคว้นฮวงควรจะมี
หากแม้นได้สมรสกับพระองค์ผู้ซึ่งสมบูรณ์แบบและช่างสมพระเกียรติเช่นนี้ ฐานะของตนในครอบครัวก็ย่อมสูงกว่าคนอื่น หรือและสูงกว่าเสด็จพี่ของตนยิ่งนัก
หากได้ควบคุมกองกำลังม้าเกราะดำฝีมือฉกาจของแคว้นฮวงแล้วร่วมมือกับพระมเหสีบุกโจมตีแคว้นหยู ชัยชนะของศึกครานี้จะทำให้ตนได้มีชื่อจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ !
เขาตั้งใจแน่วแน่ มิว่าจะเยี่ยงไรก็ตาม งานกวีครานี้ตนมิอาจปราชัยแก่ฟู่เสี่ยวกวน !
หากว่าต้องแพ้อย่างแท้จริง ก็ฆ่าฟู่เสี่ยวกวนเสีย !
……
ขบวนรถม้าของฟู่เสี่ยวกวนกำลังเคลื่อนกลับแคว้นท่ามกลางสายฝนโปรยแห่งฤดูใบไม้ผลิ
รถของเขาได้เคลื่อนไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว ในรถม้าที่เต็มไปด้วยปัญญาชนและเจ้าหน้าที่คณะทูตต่างก็เต็มไปด้วยคำถามมากมายในหัว
แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็มิได้ชี้แจงแถลงไข สวี่หวยซู่เองก็เช่นกัน แต่ความเงียบงันที่ปกคลุมอยู่นี้ย่อมทำให้พวกเขาพอคาดเดา สถานการณ์ได้บ้าง
เหล่าปัญญาชนทั้งหลายต่างคับแค้นใจยิ่งนัก นี่คงเป็นการหยามเหยียดอย่างใหญ่หลวงยิ่ง !
ณ เวลานี้แคว้นหยูมีปัญหาทั้งในและนอก มิหนำซ้ำยังโดนราชวงศ์อู๋รังแกอีก !
นึกถึงคราที่ฟู่เสี่ยวกวนผู้เป็นอาจารย์ของพวกเขาได้กล่าวไว้ว่า “แคว้นที่อ่อนแอย่อมไร้สัมพันธไมตรี ! ”
ครานั้นพวกเขายังเข้าใจได้ไม่ถ่องแท้นัก แต่ครานี้นึกถึงแล้วช่างปวดหัวใจเสียจริง ๆ
ท้ายที่สุดแล้วนั้น หรือว่าความสามารถในการรบของแคว้นหยูเป็นรองแคว้นอู๋ไปมากโข ด้วยเหตุนี้ราชวงศ์อู๋ถึงได้เพิกเฉยต่อพวกเขา เหยียดหยามพวกเขา และนี่คงเป็นนิยามของคำกล่าวที่ว่า แคว้นที่อ่อนแอย่อมไร้ความสัมพันธ์ !
เหล่าปัญญาชนได้รับบทเรียนครั้งสำคัญจากเหตุการณ์นี้ เมื่อพวกเขาพินิจพิเคราะห์หลักบริหารบ้านเมืองอีกครา ก็ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเหตุใดที่ผ่านมาอาจารย์ฟู่ของตนถึงได้ย้ำถึงความสำคัญเป็นหนักหนา ทำได้รู้ซึ่งเสียดั่งที่ว่าหลักเศรษฐกิจพื้นฐานจะช่วยยกระดับแคว้นของตนได้เยี่ยงไร
เช่นนั้นแล้ว หากแคว้นหนึ่งต้องการเป็นใหญ่ต้องการที่จะยืนเด่นเหนือใครในใต้หล้า จะต้องมีโครงสร้างเศรษฐกิจที่ดีเป็นพื้นฐาน แลมีภูมิปัญญาที่ยิ่งใหญ่คอยขับเคลื่อนความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์
เมื่อมีเศรษฐกิจที่แข็งแรง มีสภาพแวดล้อมที่ดีสำหรับการค้นคว้าวิจัย นั่นถึงจะเป็นโอกาสดีที่จะได้พัฒนายุทโธปกรณ์และมีกองทัพที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น !
หากเป็นเช่นนั้น แคว้นอู๋ยังจะกล้าดูแคลนราชวงศ์หยูอีกหรือไม่ ?
ดังนั้นความรับผิดชอบในครานี้มิใช่พวกเขา แต่เป็นพวกเราคนหนุ่มสาวทุกคน แท้จริงแล้วคนหนุ่มสาวนี้แหละคือจุดศูนย์กลางแห่งความคิด !
ฟู่เสี่ยวกวนคิดมิถึงว่าเหตุการณ์นี้จะทำให้เหล่าลูกศิษย์ของตนบรรลุขึ้นมาได้ เวลานี้เขาได้นั่งอย่างสุขสบายในรถม้าของหยูเวิ่นหวินและกำลังกินองุ่นที่ต่งชูหลานปอกเปลือกให้
“เจ้ามิกังวลใจบ้างเลยรึ ? ”
“มีเหตุอันใดให้กังวลใจกัน พูดตามตรง เวลานี้ข้าอยากแวะไปที่ซีซานเสียมากกว่า”
“ซีซานเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
“เห้อ…ก็ขาดผู้มีความสามารถน่ะสิ ปืนใหญ่หงอีรุ่นแรกกำลังผลิตออกมา แต่น่าเสียดายที่ผลลัพธ์มิน่าพอใจนัก ทว่าการก่อสร้างที่ภูเขาเฟิ่งหลินจวนจะเสร็จลุล่วงแล้ว ว่ากันว่าสวยงามยิ่ง ยามว่างพวกเราค่อยไปเยี่ยมชมด้วยกัน ”
“อืม…”
เวลานั้นเองเซี่ยะซีเฟิงก็ได้ขี่ม้าวิ่งไล่มาอย่างรวดเร็ว เขาขี่ม้าไปประกบรถมาของหยูเวิ่นหวิน แล้วกล่าวอย่างถ่อมตนว่า “คุณชายได้โปรดรอก่อนเถิดขอรับ ท่านกวนถงและขบวนต้อนรับกำลังเดินทางมาขอรับ ”
“ขอบคุณท่านนายพลที่ให้การดูแลตลอดการเดินทาง แต่โปรดกล่าวแก่ใต้เท้ากวนถงว่า งานเทศกาลฤดูหนาวแห่งราชวงศ์อู๋ มีข้าอยู่หรือมิมีอยู่มันก็มิได้สำคัญนัก พวกข้าจักมิไปร่วมงานให้จักรพรรดิเหวินตี้รำคาญใจ”