นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 280 ตัวตลก
ตอนที่ 280 ตัวตลก
แล้วเขาจึงสั่งการให้ขุนนางชั้นผู้น้อยที่ติดตามตนไปค้นหาในรถม้าแต่ละคันในขบวน
เซวียผิงกุยมิได้ห้ามปรามใด ๆ เพราะฟู่เสี่ยวกวนมิได้สั่งการไว้
เมื่อกวนถงตรงไปค้นหายังรถของซูเจวี๋ย และเขาก็ยืนอยู่ตรงด้านหน้าของม้าพอดี
“คุณชายของข้าอยู่บนรถคันนี้ แต่ท่านกำลังรวบรวมสมาธิเพื่อบรรลุสู่ช่วงเวลาสำคัญอยู่ ดังนั้นคุณชายจึงกำชับหนักหนาว่าห้ามผู้ใดทำการรบกวนเป็นอันขาด”
“ตัวข้านั้นนามว่ากวนถง เป็นเสนาบดีกรมพิธีการแห่งราชวงศ์อู๋ ! ”
ซูเจวี๋ยปรับหมวกของตนให้เข้าที่เข้าทางเล็กน้อย และทำความเคารพกวนถงอย่างเป็นทางการ “โอ้ใต้เท้ากวน ตัวข้านั้นนามว่าซูเจวี๋ย เป็นศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักเต๋า ! ”
กวนถงถึงกับตกอยู่ในอารมณ์งุนงง ข้าอยากรู้จักเจ้าตั้งแต่เมื่อใดกัน ข้าเพียงแค่แนะนำตัวข้าเองเท่านั้น อย่ามาขัดขวางข้าจนให้เกิดความล่าช้าได้หรือไม่ ?
กวนถงสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อหวังจะให้ความโกรธจางหายไป “ ข้ามีเหตุต้องเข้าพบใต้เท้าฟู่ ! ”
ซูเจวี๋ยคำนับด้วยความเคารพอีกครา “คุณชายของข้าเอ่ยว่า เว้นแต่จะเป็นธุระสำคัญเร่งด่วนเช่นบิดาของท่านสิ้นชีพ หรือต่อให้องค์จักรพรรดิเหวินตี้จะทรงประพาสมาด้วยตนเองก็เถิด ต้องรอให้ท่านฝึกตนข้ามผ่านด่านหฤโหดในการบรรลุเป็นจอมยุทธ์ให้ได้เสียก่อนจึงจะเข้าพบได้”
กวนถงรู้สึกราวกับมีความโกรธเคืองจุกอยู่ในลำคอ !
ซูเจวี๋ยรู้สึกเหมือนว่ากวนถงจะยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ตนกำลังสื่อสาร เขาเลยกล่าวเพิ่มเติม “ใต้เท้ากวนคงอาจจะยังมิทราบ โอกาสที่จะบำเพ็ญตนจนบรรลุเป็นจอมยุทธ์นั้นเป็นไปได้แต่มิสามารถอ้อนวอนขอจากเทวดาฟ้าดินได้ โชคงามยามดีเช่นนี้คุณชายเลือกสิ่งนี้ก็ถือว่าสมควร เพราะหากพลาดครานี้ไปก็มิอาจหยั่งรู้ได้ว่าจำต้องรออีกนานเท่าใด”
“หากข้าดื้อรั้นที่จะเข้าพบจะเป็นเยี่ยงไร ?”
ซูเจวี๋ยปรับตำแหน่งของหมวกตนเองอีกครา “ขนาดท่านเป่ยหวังฉวนได้รับบาดเจ็บสาหัส เว้นเสียแต่ว่าท่านจะระดมกำลังพลมาช่วย มิเช่นนั้นแล้ว…เกรงว่าคนที่จะผ่านด่านข้าได้นั้นคงจะมีมิมากนัก”
คำกล่าวนั้นทำให้กวนถงรู้สึกกระทบกระเทือนในจิตใจ ท่านเป่ยหวังฉวนปรมาจารย์แห่งราชวงศ์อู๋น่ะรึได้รับบาดเจ็บ ?
ใครกันที่ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ ?
หากเป็นเยี่ยงนั้นไซร้เจ้าคนที่อ้างตนว่าเป็นศิษย์แห่งสำนักเต๋านั้นคงจะเป็นสุดยอดฝีมืออีกคนหนึ่ง หากเขาต้องการจะหยุดยั้งตน เกรงว่ากำลังพลที่นำมาด้วยในขบวนครานี้คาดว่าจะมิพอเสียแล้ว
ระดมกำลังพล…ตนเองเป็นเพียงแค่เสนาบดีกรมพิธีการเท่านั้น จักมีคุณสมบัติระดมกำลังพลได้เยี่ยงไรกัน ?
เวลานี้จักทำเยี่ยงไรดี ?
หากเขาจำต้องจำศีลหนึ่งเดือนจริง เกรงว่าถึงตอนนั้นงานชุมนุมวรรณกรรมคงจะสิ้นสุดเสียแล้ว เยี่ยงนั้นคงมิต่างจากการให้พวกเขาเดินทางกลับแคว้นตนไปเสียมิใช่รึ ?
พวกคนต่ำช้า !
เขามิคาดคิดว่าเหล่าผู้ติดตามขบวนของฟู่เสี่ยวกวนนั้นจะต่ำช้าได้เพียงนี้ !
นี่มันเจตนาทำให้ข้ารู้สึกขายหน้า ให้ข้าต้องตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เจ้าต้องการให้ฝ่าบาทปลดข้าออกจากตำแหน่งเยี่ยงนั้นรึ ?
เขารู้สึกกระวนกระวายอยู่ในใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะรับมือกับเรื่องนี้เยี่ยงไรดี
ซูเจวี๋ยเอ่ยอีกครา “คุณชายที่กำลังจำศีลของข้าได้กล่าวไว้อีกว่า หยาดฝนในฤดูใบไม้ผลิเยี่ยงนี้ให้ความชุ่มชื่นดียิ่งนัก ใต้เท้ากวนโปรดปรานหรือไม่ ทว่าหากตากฝนมากเกินไป เกรงว่าใต้เท้ากวนจะผลิดอกผกาอันงดงามออกมาเสียก่อนน่ะสิ”
ผลิดอกผกาบ้าอะไรของเจ้า !
หมายความว่า ฟู่เสี่ยวกวนอยากจะให้ข้ายืนตากฝนเยี่ยงนั้นรึ ?
เมื่อกวนถงจะผละตัวออกไป ก็ได้ยินซูเจวี๋ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบขึ้นมาอีกครา “คุณชายของข้าช่างทำนายได้แม่นยำดั่งตาเห็น”
กวนถงชะงักฝีเท้าลง แล้วหันกลับไปหาซูเจวี๋ย
ซูเจวี๋ยเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “คุณชายกล่าวไว้ว่า หากข้าได้กล่าวถึงสิ่งที่ได้เอ่ยไปเมื่อครู่ ใต้เท้ากวนต้องยอมรอเป็นแน่ หากท่านกวนยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว นั่นเป็นอันว่าการเดินทางของขบวนทูตแห่งราชวงศ์หยูคงจบสิ้นแต่เพียงเท่านี้”
กวนถงรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาที่ใบหน้าทันใด อีกทั้งเขายังรู้สึกว่าร่างกายเขาเองก็เย็นยะเยือกไปหมดทั้งตัว เขารู้ดีว่าไม่ได้หนาวเย็นเพราะฝนแห่งฤดูใบไม้ผลิ แต่เป็นเพราะตนเองได้กลายเป็นตัวตลกของอีกฝ่ายเข้าเสียแล้ว !
ฟู่เสี่ยวกวนนั้นร้ายกาจกว่าที่ตนจินตนาการไว้มากนัก !
ในเมื่อเขากล่าวมาเยี่ยงนี้ เกรงว่าหากว่าตนจะหันหลังถอยกับไปจริง ๆ เขาจะต้องทำตามที่กล่าวไว้ได้เป็นแน่ !
ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะก้าวขาออกมาแม้แต่ก้าวเดียว ในใจนั้นพลันนึกถึงแต่คุณชายฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้
จนบัดนี้ แม้เขาจะไม่เคยพบเจอฟู่เสี่ยวกวนเลยสักครา แต่กวนถงกลับรู้สึกเกลียดเขาเข้ากระดูกดำ แค่เด็กหนุ่มที่เพิ่งย่างเข้าวัยสิบเจ็ด ประพันธ์หนังสือและบทกวีได้เยี่ยมยอดก็เท่านั้น นี่คือฟู่เสี่ยวกวนคนที่เขาเคยเข้าใจ แต่วันนี้คงต้องเพิ่มคำเชยชมให้คุณชายคนนี้เสียแล้ว “ปัญญาชั่วร้ายดังปีศาจ ฉลาดนักเรื่องคิดแผนการ แลกล้าหาญสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ! ”
แต่ทว่าเขามิอาจหยั่งรู้ว่าว่าขณะนี้ฟู่เสี่ยวกวนกำลังจำศีลอยู่จริง ๆ
เดิมทีฟู่เสี่ยวกวนวางแผนจะให้กวนถงให้รอเก้ออยู่ด้านนอกชั่วครู่แล้วเป็นอันจบสิ้น แต่คาดมิถึงว่าร่างกายของเขาเองจะรู้สึกแบบนั้นขึ้นมาเสียจริง ๆ ดังนั้นเขาจึงเดินไปยังรถของซูเจวี๋ยให้เขาช่วยค้นหาวิธี อยากจะใช้โอกาสนี้ในฝึกการรวมพลังลมปราณตรงจุดตันเถียน
หากเป็นไปตามที่หวัง เขาก็จะเป็นจอมยุทธ์ได้สมดั่งใจ แม้จะเป็นแค่ระดับขั้นต้นก็สามารถร่ำเรียนวิชาตัวเบาได้แล้ว
เป็นดั่งวิหคบินร่อนไปมา และนี่ก็เป็นหนึ่งในความฝันของการมาเยือนยังโลกแห่งนี้
ดังนั้นกวนถงจึงเข้าใจเขาผิดถนัด
หยาดฝนยามฤดูใบไม้ผลิได้ตกลงมาเป็นสาย แต่เม็ดฝนช่างละเอียดเสียจริง ๆ
ไม่นานนัก ผมเผ้าและเสื้อผ้าของกวนถงได้เปียกปอนแนบลู่ไปกับร่างกาย เขารู้สึกเย็นยะเยือกมากยิ่งขึ้น แต่ครั้งนี้คือความหนาวที่หยาดฝนได้ก่อขึ้นมา
โดยเฉพาะลมเย็นที่พัดเอื่อยมาเป็นระยะนั้นทำให้มิอาจต้านทานได้และรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมา
เขาอยากจะจากไปเต็มทน แต่ขาทั้งสองข้างกลับยึดติดบนพื้นดินราวกับมีรากใหญ่เหนี่ยวรั้งเอาไว้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงแค่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นโดยมิได้ขยับแม้แต่น้อย
เขาหวนนึกถึงบารมีขององค์จักพรรดิเหวินตี้ หากว่าตนขืนมุทะลุเดินกลับไปและฟู่เสี่ยวกวนก็ดื้อรั้นที่จะเดินทางกลับแคว้นของตน หากเป็นเช่นนั้นแล้วไม่เพียงแค่ตนจะโดนตัดหัวด้วยคมดาบของพระองค์แล้วเป็นอันจบสิ้น
แต่ยังครอบคลุมไปถึงบ้านเรือนและการค้าที่เขาลงหลักปักฐานไว้ที่เมืองกวนหยุน และยังมีภริยาเอกและอนุ รวมไปถึงบุตรหญิงชายรวมนับสิบชีวิต !
การค้าขายส่วนตัวที่ครั้งหนึ่งคิดว่าอู้ฟู่ยิ่งนัก วันนี้มันกลับเป็นดั่งบ่วงพันธการแก่เขา
เขามิอาจยอมรับได้หากหลายชีวิตต้องมาตกตายไปพร้อมกัน เขาจึงต้องคิดอย่างถี่ถ้วนในทุกการเคลื่อนไหวของตนเองหลังจากที่ตรึกตรองอยู่นาน เขาจึงได้แต่กดไฟโกรธที่มีต่อฟู่เสี่ยวกวนนั้นไว้ในใจ หนทางเดียวตอนนี้คือยืนตากฝนแล้วรอให้ความขุ่นเคืองของฟู่เสี่ยวกวนบรรเทาลง
ครานี้เขาได้ดำดิ่งสู่จุดที่ต่ำที่สุดแล้วอย่างแท้จริง
แต่ลึก ๆ ในใจเขาคิดว่า หากเขาได้กลับไปเมืองกวนหยุนเมื่อใด เขาจะไปตำหนักจู้เสียนนำเรื่องนี้ไปทูลต่อองค์ฝ่าบาท !
เพียงแค่ถวายความชี้แจงว่าฟู่เสี่ยวกวนนั้นไร้ซึ่งมารยาทและหยิ่งทะนงตนยิ่งนัก หากสามารถยุแยงให้เหล่าขุนนางและองค์จักรพรรดิเกิดความพยาบาทขึ้นมาได้ ฟู่เสี่ยวกวนจักต้องสิ้นชีพเป็นแน่
เหวินชางไห่กางร่มกระดาษแล้วเดินเข้ามาหา เขามองกวนถงแล้วจึงสลับไปมองซูเจวี๋ย แล้วเอ่ยถาม “ใต้เท้าฟู่อยู่ในรถคันนี้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ซูเจวี๋ยพยักหน้าตอบรับ
“ตัวข้านั้นนามว่าเหวินชางไห่ เป็นบัณฑิตแห่งสำนักฮั่นหลิน และเป็นบุตรของเหวินสิงโจว ได้โปรดให้ข้าเข้าพบใต้เท้าฟู่ด้วยเถิด”
ซูเจวี๋ยคำนับอย่างนับถืออีกครา และส่ายหัวด้วยความรู้สึกเสียใจ “คุณชายข้ากำลังจำศีลบำเพ็ญตน เวลานี้มิอาจเข้าไปรบกวนท่านได้ ขอเรียนใต้ท่านว่าควรกลับไปเสียเถิด”
เหวินชางไห่ย่อมไม่หลงเชื่อว่าฟู่เสี่ยวกวนกำลังจำศีลอยู่จริง เขาคาดว่าอาจเป็นเพราะเรื่องที่กวงถงได้ทิ้งขบวนของฟู่เสี่ยวกวนให้รออยู่นอกเมืองไว้คืนก่อน ถึงตอนนี้เขาจึงคิดที่จะแก้แค้น
เขาไม่ได้กล่าวโทษฟู่เสี่ยวกวนเลยแม้แต่น้อย เพราะสิ่งที่กวนถงทำนั้นผิดมหันต์
ดังนั้นเขาจึงหันไปมองกวนถงอีกครา นึกถึงคืนก่อนเขายังฮึกเหิมยิ่งนัก แต่ทว่าวันนี้สภาพกลับซีดเผือดดั่งไก่ต้ม
ฟู่เสี่ยวกวนก็โกรธอย่างเป็นจริงเป็นจัง มิรู้ว่าเมื่อใดจึงจะดับมอดไฟโกรธและเข้าใจถึงความลำบากที่กวนถงกำลังประสบอยู่
“เห้อ…” เขาส่ายหัวแล้วเดินกางร่มจากไป แต่กวนถงกลับตะโกนด่าทอเขาอยู่ในใจ “เจ้าคนโอหัง ข้าคิดว่าเจ้าจะเอาร่มมาให้ข้าเสียอีก แต่กลับมาเพียงแค่ดูข้าตกที่นั่งลำบากเฉย ๆ แล้วเดินจากไปเยี่ยงนี้รึ ! ”
สำหรับเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังจำศีลนั้น นอกจากสามศิษย์แห่งสำนักเต๋า ก็หาได้มีผู้ใดปักใจเชื่อไม่
แม้นว่าจะเป็นเสนาบดีสวี่หวยซู่ ปัญญาชนทั้งร้อยชีวิต หรือว่าจะเป็นกองกำลังทหารม้าอีก 500 ชีวิตเองก็ตาม
พวกเขาต่างคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนทำการนี้เพื่อชำระความเคืองโกรธ เพื่อกู้คืนศักดิ์ศรีของคนราชวงศ์หยูกลับคืนมา จึงใช้ข้ออ้างนี้ในการทำโทษเสนาบดีกรมพิธีการแห่งราชวงศ์อู๋ท่านนี้
แน่นอนว่าพวกเขาต่างชอบและรู้สึกสาแก่ใจยิ่ง ต่างเห็นว่าวิธีนี้ช่วยกู้เกียรติยศและศักดิ์ศรีของราชวงศ์หยูกลับคืนมาได้บ้าง สิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนได้กระทำไปนั้นย่อมได้รับคำชื่นชมและความเคารพจากผู้ติดตามทั้งหมด
และแล้วกวนถงก็ยืนอยู่เยี่ยงนั้นจนเลยเข้าเที่ยงวัน