นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 301 ลานประลอง
ตอนที่ 301 ลานประลอง
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก !
เสียงดังโหวกเหวกด้านนอกสร้างความตกใจให้แก่เหล่าบัณฑิตที่อยู่ในจวนของสถานทูต และยังสร้างความตื่นตกใจแก่พวกซูเจวี๋ยด้วย
เดิมทีบัณฑิตเหล่านั้นยังอยู่ภายในห้องและเพื่อหาคำตอบให้กับสองคำถามที่ฟู่เสี่ยวกวนให้พวกเขามาระหว่างเดินทาง ในตอนที่กำลังใช้ความคิด กลับถูกเสียงโวยวายเหล่านั้นขัดการใช้ความคิด จึงทำให้พวกเขาไม่สบายใจอย่างมาก
ชางกวนเหมี่ยวเดินนำหน้าโดยถือดาบขึ้นมาด้วย และกล่าวด้วยท่าทีดุดัน “พวกสารเลว เมื่อครู่ข้าเพิ่งจะตระหนักถึงความคิดที่ยอดเยี่ยมขึ้นมาได้ แต่กลับถูกพวกมันรบกวนเสียจนลืมไปแล้ว ข้าจะฟันพวกมันทิ้งให้หมด ! ”
ในขณะที่กล่าวเขาก็เปิดประตูออกไป หลังจากนั้นก็ตะลึงงันไปชั่วขณะ ด้านนอกนั้นคราคล่ำไปด้วยชายหนุ่มราชวงศ์อู๋ แต่ละคนท่าทางฮึกเหิมราวกับไก่ ในมือกวัดแกว่งดาบไปมา และกำลังตะโกนว่า
“ฟู่เสี่ยวกวน หากเจ้าเป็นลูกผู้ชายก็จงออกมา ! ”
“ฟู่เสี่ยวกวน เจ้าอย่าได้กลัวไปเลย พวกเรามาสู้ตัวต่อตัวกัน ! ”
“เจ้าบ้า ! ปู่ผู้นี้จะใช้เพียงแค่มือข้างเดียวต่อสู้กับเจ้า ! ”
“ฮ่า ๆ ๆ นักวรรณกรรมของราชวงศ์หยูมันใจเสาะ บัดนี้เกรงว่าจะกลัวจนฉี่ราดไปกันหมดแล้ว ! ”
“…..”
ชายหนุ่มเหล่านั้นมิได้ปรี่เข้ามาในสถานทูต เพราะนั่นคือข้อกำหนดและขอบเขต พวกเขาย่อมเข้าใจดี แต่นั่นมิได้ห้ามมิให้พวกเขาแหกปากตะโกนหน้าประตูสถานทูตเสียหน่อย
ชางกวนเหมี่ยวเดินถือดาบกลับมาอีกครา เดินมาถึงข้างกายฟู่เสี่ยวกวนและลูบจมูกไปมา “คนเยอะเพียงนั้น จะสู้เยี่ยงไรดี ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนคิดในใจว่าสู้กับผีสิ ข้ามีวรยุทธ์ที่ไหนกันเล่า
ดังนั้นเขาจึงเอ่ยถามเติ้งซิว “มีประตูด้านหลังให้ออกไปหรือไม่ ? ”
เติ้งซิวผงะ นึกมิถึงว่าคนผู้นี้คิดจะหนีไปเยี่ยงนั้นหรือ ?
เขาส่ายหน้า “มิมีจริง ๆ ”
ฟู่เสี่ยวกวนเริ่มรู้สึกมิดี เขาหันไปมองทางซูเจวี๋ย “ศิษย์พี่ใหญ่ เยี่ยงนั้นเจ้าช่วยไล่แมลงวันเหล่านั้นออกไปให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ ? ”
ซูเจวี๋ยเองก็ส่ายหน้า “พวกเขามิได้มาเพื่อท้ารบกับเจ้าและมิได้มาเพื่อสังหารเจ้า หากข้าช่วยเจ้า ก็จะขัดกับกฎของยุทธภพ”
นี่มันเวลาคับขันแล้ว เจ้ายังจะมาเอ่ยถึงกฎอยู่อีกเยี่ยงนั้นหรือ ?
แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็เข้าใจความซื่อตรงของซูเจวี๋ยเป็นอย่างดี ในเมื่อซูเจวี๋ยได้กล่าวออกมาเยี่ยงนี้แล้ว เยี่ยงนั้นศิษย์ทั้งสามของสำนักเต๋าก็มิสามารถช่วยเหลือเขาได้ นอกเสียจากชีวิตของเขาจะถูกคุกคามอย่างแท้จริง
ฟู่เสี่ยวกวนเงียบไปชั่วอึดใจ เขาเดินไปยังกำแพง และได้ปีนขึ้นไปด้านบนกำแพง สองมือของเขาเท้าสะเอวสายตาดุดันจดจ้องไปทางกลุ่มชายหนุ่มที่โง่เขลาที่อยู่ด้านล่างกำแพง และตะโกนออกมาเสียงดังหนึ่งประโยคว่า “พวกเจ้าจงเงียบให้หมด ! ”
เหล่าบัณฑิตราชวงศ์อู๋ที่อยู่ด้านล่างต่างชะงัก ผู้ใดกัน ช่างใจกล้าเสียจริง !
ดังนั้นจึงมีรองเท้าหนึ่งข้างลอยมาหาฟู่เสี่ยวกวน และมีก้อนอิฐกระแทกเข้ากับเขา จนถึงขั้นมีแม้แต่ไข่ต้มสุกที่ถูกกัดไปแล้วถึงครึ่งอีกด้วย
ฟู่เสี่ยวกวนหลบพัลวัน และตกลงไปอย่างไม่ทันระวัง เสียงหัวเราะลั่นดังมาทางด้านนอก
ฟู่เสี่ยวกวนตบก้นและรีบปีนขึ้นไปบนกำแพงอีกครา “พวกเจ้าจงฟังข้า ข้านี่แหละฟู่เสี่ยวกวน ! ”
เขาคือฟู่เสี่ยวกวนเยี่ยงนั้นหรือ ?
ทันใดนั้นเสียงด้านนอกก็เบาลงทันพลัน และมีเสียงกระซิบจากเด็กสาวดังขึ้นมาจำนวนมาก
“ อา ! ฟู่เสี่ยวกวนถือว่าหน้าตาหล่อเหลาเสียทีเดียว ! ”
“ใช่ ๆ ถึงแม้จะมิเท่าจัวตงหลาย แต่ก็ดูเป็นที่นิยมมิน้อยเสียทีเดียว”
“ อา ข้าว่าเราเข้าไปลักพาตัวเขากลับไปเลยดีหรือไม่ ? ”
“เจ้าก็เพียงแค่กีบหมู คิดว่าตนเองเป็นสาวงามจากเฮยเฟิงไจ้หรือเยี่ยงไรกัน ? ”
“นางฮวาเสี่ยวเตี๋ยประกาศศักดาจะแย่งชิงชายหนุ่มระดับแนวหน้า ข้าเหมียวซานเจียจะมิสามารถแย่งชิงชายหนุ่มผู้นั้นมาอุ่นเตียงได้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“มิใช่ พวกเจ้าเข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว พวกเรามาเพื่อสั่งสอนฟู่เสี่ยวกวนต่างหากเล่า ! ”
“ อา หน้าตาเยี่ยงนี้ จะให้ข้าลงมือได้เยี่ยงไร ? ”
“…..”
ให้ตายเถอะ !
เพราะความเงียบ จึงทำให้เหล่าชายหนุ่มที่อยู่ในบริเวณได้ยินเสียงของสตรีเหล่านั้นไปโดยปริยาย แม้แต่ฟู่เสี่ยวกวนที่ยืนอยู่บนกำแพงก็ได้ยินเช่นกัน ราชวงศ์อู๋นี้ ชาวบ้านที่นี่ช่างกล้าหาญเสียจริง !
“แค่กแค่ก…” ฟู่เสี่ยวกวนแสร้งกระแอมไอ และตะโกนเสียงดังอีกครา “พวกเจ้าต้องการท้าประลองกับข้า ย่อมได้ แต่ต้องมาแบบตัวต่อตัว วันนี้ ข้ารับเพียง 3 คนเท่านั้น มิว่าจะแพ้หรือชนะ กติกานั้นง่ายดายยิ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงการทำร้ายพวกเจ้าโดยมิได้ตั้งใจ มิอนุญาตให้ใช้อาวุธ ใช้ได้เพียงมือและเท้า พวกเจ้าเลือกออกมา 3 คนก่อน แล้วให้ถอยไปด้านนอก ข้าขอชิงกล่าวคำพูดที่ไม่น่าฟังเสียก่อน หากมีคนกล้าลอบโจมตีข้า ถือว่าทำผิดกติกา และอย่ากล่าวหาว่าข้าโหดร้ายก็แล้วกัน”
ทันใดนั้นเหล่าชายหนุ่มที่อยู่ด้านนอกก็ฮือฮาขึ้นมาอีกครา
“คาดมิถึงว่าเขาจะกล้ารับคำท้า ! ”
“เยี่ยงนั้นพวกเราก็เลือกออกมา 3 คน เขาเป็นนักวรรณกรรมผู้หนึ่ง สุ่มเลือกผู้มีฝีมือระดับสูงขั้นสามออกมาสัก 3 คนก็สามารถจัดการกับเขาจนหาทิศเหนือมิเจอแล้ว”
“หากเขาแพ้ตั้งแต่เริ่มเล่า ? ”
“พรุ่งนี้พวกเราค่อยมาใหม่”
“ดี ทุกคนถอยหลัง มิว่าผู้ใดจะแพ้หรือชนะ อย่าได้ทำการซุ่มโจมตีเป็นอันขาด มันมิคุ้มค่าหากทำให้เขาหนีไป ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนสังเกตดูชายหนุ่มที่กล่าวประโยคนั้น ร่างกายของเขาค่อนข้างกำยำ ดูเย่อหยิ่ง ทั้งยังสะพายค้อนเหล็กไว้ด้านหลัง คิดว่าคนผู้นี้คงมีอิทธิพลในหมู่พวกนั้นมากเสียทีเดียว
เป็นดังที่คาดไว้ ต่อจากเสียงคำรามของชายหนุ่มผู้นี้ ฝูงชนต่างก็ถอยหลังกันกรู เหลือเพียงความว่างเปล่าไว้ที่ลานด้านหน้าประตูสถานทูต
ซูโหรวนั่งปักผ้าอยู่บนเก้าอี้หิน ชำเลืองสายตามองศิษย์พี่ใหญ่ที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม และเอ่ยถาม “กังวลหรือไม่ ? ”
ซูเจวี๋ยส่ายหน้า “เขาได้เข้าสู่หนทางวรยุทธ์แล้ว เยี่ยงไรเสียก็ต้องใช้โอกาสนี้ในการขัดเกลา”
“เขาบอกว่ามิสามารถใช้ดาบและกระบี่ได้”
“เพราะทักษะหมัดและเท้าของเขาถือว่าพอสู้ได้”
หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานก็ได้เดินออกมาเช่นกัน ค่อนข้างกังวลใจเมื่อได้ทราบเรื่องราวนี้ คนเยอะถึงเพียงนี้ อย่าได้ทุบตีเขาจนพิการเลย !
แต่ฉินเหวินเจ๋อ ซังเหลียงและคนอื่น ๆ กลับละอายใจยิ่งนัก นั่นคืออาจารย์ฟู่ของพวกเขา !
คนมักจะกล่าวกันว่าเมื่อมีปัญหาผู้เยาว์ต้องออกหน้า แต่เรื่องของการทะเลาะวิวาทพวกเขามิถนัดจริง ๆ ในบัณฑิต 100 คน มีเพียงชางกวนเหมี่ยวผู้เดียวเท่านั้นที่เรียนการต่อสู้ในสำนักศึกษา ดังนั้นในยามนี้ทุกสายตาต่างตกมาอยู่ที่ร่างของชางกวนเหมี่ยว ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าทั่วร่างของเขาเปี่ยมล้นไปด้วยแสงที่เจิดจ้า การเรียนวรยุทธ์ของข้า ในที่สุดก็มีประโยชน์แล้ว
ชางกวนเหมี่ยวเดินมาถึงด้านล่างกำแพงโดยที่ถือดาบมาด้วย ยืดอกผ่าเผยและกล่าวกับฟู่เสี่ยวกวนเสียงดังกังวานว่า “ท่านอาจารย์ ให้ข้าเป็นคนจัดการเรื่องนี้เถิด ท่านเพียงเฝ้ามองก็เพียงพอ”
ฟู่เสี่ยวกวนชื่นใจขึ้นมาในทันที เขากระโดดลงมาจากกำแพง ตบบ่าชางกวนเหมี่ยว และกล่าวอย่างปลุกใจ “เกียรติยศของราชวงศ์หยู อยู่บนบ่าของเจ้าแล้ว วางดาบของเจ้า ใช้มือและเท้าดาหน้าไปหาพวกเขา และเอาชัยชนะมาเสีย ! ”
ชางกวนเหมี่ยวฮึกเหิมยิ่งกว่าเดิม แม้แต่ลำคอก็ดูหนาขึ้น
“ขอรับ ท่านอาจารย์รอฟังข่าวดีจากลูกศิษย์ผู้นี้ได้เลย ! ”
เขาวางดาบลง เดินออกไปด้วยท่าทีฮึกเหิม
ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่เบื้องหน้าประตู และเห็นชางกวนเหมี่ยวเดินไปยังที่ว่างของสนาม เขาตบอกดังปึกปึกปึก และกล่าวเสียงดังว่า “ชางกวนเหมี่ยวศิษย์ของท่านอาจารย์หน่าย พวกเจ้าทั้งหมด ใครจะออกมา ? ”
ร่างกายของชางกวนเหมี่ยวกำยำ เมื่อรวมกับท่าทางเลือดร้อนในขณะนี้ ก็ดูทรงพลังมากยิ่งขึ้น จนทำให้เหล่าบัณฑิตของราชวงศ์อู๋กลุ่มนั้นตื่นตระหนก ชางกวนเหมี่ยวผู้นี้เป็นผู้มีฝีมือระดับสูงเยี่ยงนั้นหรือ ?
จิตใจของพวกเขามิได้มั่นใจถึงเพียงนั้น ทันใดนั้นทั้งสนามเงียบไปในทันพลัน ชางกวนเหมี่ยวหัวเราะร่า เขาดูจะลืมตัวจนได้ใจเล็กน้อย จึงเห็นเขายื่นมือและกวาดนิ้วไปทางทุกคน และกล่าวออกมาว่า
“พวกเจ้าต่างก็เป็นขยะ ! ”
ประโยคนี้ได้จุดไฟโทสะของเหล่าบัณฑิตราชวงศ์อู๋ขึ้นมาทันพลัน จึงได้เห็นบัณฑิตผู้หนึ่งเดินเชิดหน้าออกมา สองมือกำหมัดและกล่าวว่า “ข้าโหยวเหวินถูจากสำนักศึกษาหลีชาน ขอทดสอบฝีมือของพี่ชางกวน”
“เข้ามาเลยโหยวเหวิน ! ”
“โปรดเรียกข้าว่าพี่โหยว ! ”
“พี่โหยวรับมือ ! ”