นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 306 กวีเจ๋อเจียลิ่ง
ตอนที่ 306 กวีเจ๋อเจียลิ่ง
ฟู่เสี่ยวกวนมองดูหนิงซือเหยียน คิดว่าเขาจะเล่าเกี่ยวกับเรื่องของเป็ดหยวนหยางคู่นี้ คาดมิถึงว่าหนิงซือเหยียนจะหันหลังกลับเข้าเรือนไป
เขามิได้หยุดอยู่ต่อ แต่ได้พาฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ เดินผ่านสวนดอกไม้กลับไปที่ทางเดิน ไปยังศาลาเล็ก ๆ จากนั้นก็ไปที่ลานกว้างของจวน
ลานกว้างใหญ่เพียงนี้กลับมีต้นสนใหญ่เพียงต้นเดียว เห็นได้ชัดว่ามันถูกตัดแต่งเป็นทรง กิ่งก้านด้านล่างนั้นถูกตัดออก เหลือเพียงด้านบนเป็นพุ่มไสว งดงามยิ่งนัก
ที่ใต้พุ่มสนนั้นมีศาลาอยู่หลังหนึ่ง ในศาลามีโต๊ะน้ำชาที่ทำจากหยกขาวในราชวงศ์ฮั่น บนโต๊ะนั้นมีชุดน้ำชาวางอยู่ หนิงซือเหยียนคงมักมาดื่มชาที่นี่เป็นประจำ
ตรงข้ามกับศาลานี้มิใช่ภูเขาจำลอง แต่ทว่าคือ…พื้นที่รกร้าง !
“จวนหลักมิได้มอบให้เถ้าแก่ฮวา ดังนั้นที่แห่งนี้จึงค่อนข้างสะอาดบริสุทธิ์”
หนิงซือเหยียนพาพวกเขาทั้งหลายมานั่งยังศาลา “ให้คนไปทำความสะอาดเรือนได้ ส่วนห้องมากมายเช่นนี้จะจัดการเยี่ยงไร เชิญท่านจัดการได้ตามความต้องการ”
เรื่องเหล่านี้ฟู่เสี่ยวกวนมิจำเป็นต้องใส่ใจ หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานเห็นเรือนที่งดงามและกว้างขวางเพียงนี้เข้า พวกนางดูตื่นเต้นยิ่งกว่าฟู่เสี่ยวกวนเสียอีก
ที่แห่งนี้คือบ้านของพวกเขาในเมืองกวนหยุน !
เรื่องของที่อยู่อาศัยนั้น โดยมากสตรีมักจะให้ความสำคัญกว่าบุรุษทั้งหลาย ดังนั้นสตรีทั้งสองนางจึงพาบ่าวรับใช้สามคนออกจากศาลาแห่งนี้ไป ซูซูครุ่นคิดและได้ติดตามพวกนางไป ส่วนจะไปที่ใดนั้น หาได้เกี่ยวกับฟู่เสี่ยวกวนไม่
“บัดนี้ท่านคือเจ้าของจวนนี้แล้ว ดังนั้นชานี้ท่านเชิญต้มเองเถิด ข้าขอดื่มสุรา”
ฟู่เสี่ยวกวนเผยอปากขึ้น เขามิได้ทำท่าทีเกรงใจ กลับหันไปชงชาแล้วเอ่ยว่า “ที่ราบสูงเช่นนี้ มิเหมาะสมแก่การเลี้ยงเป็ดหยวนหยาง”
หนิงซือเหยียนดื่มสุราเข้าไป จากนั้นเลิกคิ้วขึ้นแล้วกล่าวว่า “ข้าหาได้รู้ไม่ เพิ่งได้ยินหนิงฝาเทียนกล่าวว่า ท่านแม่เลี้ยงเป็ดหยวนหยางคู่นั้นแต่ได้ตายไปแล้ว นางเศร้าโศกเป็นเวลานาน ต่อมาจึงได้มีภาพของเป็ดหยวนหยางผู้โศกากำเนิดขึ้น…”
เขาเงยหน้าขึ้นมองดูฟู่เสี่ยวกวน “การที่ข้ามารอท่านอยู่ที่แห่งนี้ เหตุผลที่แท้จริงคือต้องการขอร้องให้ท่านประพันธ์กวีให้กับข้าสักหนึ่งบท”
เรื่องนี้ฟู่เสี่ยวกวนเคยได้ยินอู๋หลิงเอ๋อร์เอ่ยถึงเมื่อคราอยู่จวนชิงเสียนเมืองฝานหนิง ในตอนนั้นเหยียนหรูยวี่ได้บรรจงวาดภาพนั้นออกมาจากใจสุดความสามารถ และต้องการประพันธ์กวีแก่ภาพนี้สักบท แต่สุดท้ายแล้วก็ยังมิได้เขียน กลับมาจากไปเสียก่อน
ฟู่เสี่ยวกวนรินน้ำชาลงในแก้ว แล้วยื่นออกไปด้านหน้า “ขอข้าดูภาพนั้นสักหน่อยเถิด”
เขามิได้ปฏิเสธการประพันธ์กวีแก่ภาพนี้ เนื่องจากเดิมทีภาพนี้ก็มีชื่อเสียงมากยิ่งนัก ควรคู่กับกวีของเขา
หนิงซือเหยียนคาดมิถึงว่าฟูเสี่ยวกวนจะตอบรับง่ายดายถึงเพียงนี้ เขาตกตะลึงไปหลายอึดใจ จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินไปทางห้องหนังสือ เมื่อเขาเดินกลับออกมาในมือถือม้วนภาพติดมาด้วยม้วนหนึ่ง
เขาเปิดม้วนภาพนั้นออกมาแขวนไว้ที่ใต้ชายคาศาลา
ฟู่เสี่ยวกวนถูกภาพนั้นดึงดูดเข้าชั่วขณะ
ดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวอันสดใส หมอกจาง ๆ ปกคลุมทะเลสาบจิ้งหู ที่นั่นมีเป็ดหยวนหยางผู้โดดเดี่ยวสองตัวแอบอิงกัน แต่หากมองดี ๆ จะพบว่ามีตัวหนึ่งหลับตาอยู่ หัวของมันลอยอยู่บนพื้นผิวน้ำ เป็ดหยวนหยางอีกตัวหนึ่งกางปีกออกเพื่อปกป้องเป็ดหยวนหยางอีกตัวหนึ่งที่จากไปแล้ว
ดวงตาของเป็ดหยวนหยางตัวที่ยังมีชีวิตอยู่นี้บ่งบอกถึงความเศร้าโศก เปลือกตาของมันเปิดอยู่เพียงครึ่งหนึ่ง ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกว่าชีวิตของมันริบหรี่เข้าเต็มที
หัวของเป็ดหยวนหยางทั้งสองนั้นเคียงคู่กัน ฟู่เสี่ยวกวนมองไปราวกับได้เห็นเป็ดหยวนหยางตัวนี้มีชีวิต
ความรู้สึกโศกเศร้าที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาตินี้ ราวกับว่าพวกมันออกมาจากภาพวาด ทำให้ผู้ที่มองดูภาพวาดนี้ตกเข้าสู่ห้วงของอารมณ์
ซูโหรวหยุดการปักผ้าลงทันใด นางมองไปที่ภาพด้วยความตกตะลึง ดวงตาของนางมีน้ำตาไหลรินลงมา
นั่นคือความภักดีต่อความรัก นั่นคือความภักดีต่อกันตลอดชีวิต !
ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจเข้า จากนั้นละสายตามองมายังพุ่มสน แสงอาทิตย์ที่เล็ดลอดมามิได้กระทบกับใบหน้าของเขา แต่กลับผสมผสานกับชายคาทำให้เกิดเป็นเงา
“ข้าจะกล่าว ท่านโปรดเขียนตาม ! ”
หนิงซือเหยียนตกตะลึงขึ้นอีกครา เขาคิดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะประพันธ์ได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ เขาเดินไปยังห้องหนังสืออย่างรวดเร็ว จากนั้นวิ่งกลับมาพร้อมกับพู่กันและหมึกในมือ
“ท่านกล่าวมาเถิด ข้าจะเขียนตาม ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนยังคงมองขึ้นไปตามช่องว่างของกิ่งสน มองเห็นท้องฟ้าสีคราม จากนั้นก็ค่อย ๆ เอ่ยออกมาว่า
“กวีบทนี้มีชื่อว่า กวีเจ๋อเจียลิ่ง บทแห่งความหลงใหล”
แต่เดิมมิได้เคยคะนึงหา
เพิ่งได้มารู้จักรักถวิล
กลับต้องมานั่งทุกข์เป็นอาจิณ
จิตระหวยรวยรินบินล่องลอย
กลิ่นหอมละมุนคลุ้งมิลืมเลือน
ยังเสมือนใฝ่หาเจ้าเฝ้าแหนหวง
เมฆามืดไร้เงา จันทร์ครึ่งดวง
ระทมทรวง ปวดอุราพาเศร้าใจ”
……
กวีทั้งบทนี้มิมีคำว่าหยวนหยาง แต่กลับสัมผัสได้ถึงความรำพึงรักและผูกพันอย่างลึกซึ้งได้อย่างน่าอัศจรรย์ !
หนิงซือเหยียนกำพู่กันไว้ในมือแน่น จากนั้นมองไปยังกวีที่เขาเขียนตามฟู่เสี่ยวกวนเมื่อครู่ แล้วตกตะลึงอยู่เนิ่นนาน เขารู้สึกหดหู่มากยิ่งนัก จากนั้นน้ำตาก็ได้ไหลอาบลงสองข้างแก้ม
เขามิรู้ถึงความละเอียดอ่อนของกวีนี้ แต่เขาสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดและขมขื่นที่สื่อออกมาได้ เสมือนกับเป็ดหยวนหยางในภาพนี้ เนื่องจากคู่ของมันได้ตายจากไป อีกตัวหนึ่งจึงได้ตกอยู่ในความเศร้าโศกาโดยมิสนใจสิ่งรอบข้าง มิสนใจว่าวันเวลาจะผ่านไปเยี่ยงไร
ในขณะนั้นเอง มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากด้านนอกเรือน
ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ พากันเงยหน้าขึ้นมา และพบว่าองค์หญิงไท่ผิงเสด็จมาพร้อมกับทหารหญิงหลายสิบคน
สีพระพักตร์ขององค์หญิงไท่ผิงเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใสราวกับดวงอาทิตย์ นางยืนอยู่เบื้องหน้าของฟู่เสี่ยวกวนแล้วเอ่ยว่า “ข้าได้ยินมาว่าบรรดาศิษย์แห่งสำนักศึกษาหลีชานไปหาเรื่องเจ้า จึงได้ตามไปที่นั่น จากนั้นจึงได้รู้ว่าเจ้าชนะถังเชียนจวิน และต่อจากนั้นจึงได้รู้ว่าเจ้าย้ายมาอาศัยอยู่ที่นี่ จึงได้เดินทางมาดูเสียหน่อย…อ่า…ภาพนี้คือเป็ดหยวนหยางผู้เศร้าโศกามิใช่หรือ ? ”
อู๋หลิงเอ๋อร์หันหลังไปมอง พบว่ารูปนั้นถูกแขวนอยู่ที่ใต้ชายคาศาลา
“อ่า…ประพันธ์กวีไปแล้วหรือ ! ”
“กวีเจ๋อเจียลิ่ง บทแห่งความหลงใหล”
“แต่เดิมมิได้เคยคะนึงหา เพิ่งได้มารู้จักรักถวิล กลับต้องมานั่งทุกข์เป็นอาจิณ…จิตระหวยรวยรินบินล่องลอย”
อู๋หลิงเอ๋อร์ตกตะลึงหลังจากได้อ่านกวีนี้ นางมิอาจละสายตาไปได้เลย
“…กลิ่นหอมละมุนคลุ้งมิลืมเลือน ยังเสมือนใฝ่หาเจ้าเฝ้าแหนหวง เมฆามืดไร้เงา จันทร์ครึ่งดวง ระทมทรวง ปวดอุราพาเศร้าใจ”
นี่เขาเขียนถึงข้ามิใช่หรือ ?
อู๋หลิงเอ๋อร์ตกอยู่ในห้วงแห่งความคิด นางหวนนึกถึงทุกเรื่องราวนับแต่รู้จักกับฟู่เสี่ยวกวน
เนื่องจากนางเคยอ่านหนังสือความฝันในหอแดง และได้คิดถึงคำนึงหาฟู่เสี่ยวกวนเสมอมา ความคิดถึงนั้นทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งทำให้นางมิอาจข่มตาลงนอนได้ มากเพียงพอที่ทำให้นางนับวันตั้งตารอจดหมายจากหลิ่วเยียนเอ๋อร์ และมากมายถึงขนาดที่นางวางแผนไว้ล่วงหน้าว่างานชุมนุมวรรณกรรมราชวงศ์อู๋ในครั้งนี้จะปรากฏตัวให้เขาเห็นเยี่ยงไรดี…นางเป็นทุกข์เพราะความคะนึงหาอย่างแท้จริง !
ผ่านไปชั่วครู่ อู๋หลิงเอ๋อร์จึงละสายตาจากภาพนั้นแล้วกลืนน้ำลายลงคอพร้อมกับมองไปยังหนิงซือเหยียนและฟู่เสี่ยวกวน
ดวงตาของนางส่องแสงเป็นประกาย ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความสุขอย่างมิรู้จบ ราวกับนางจะลืมความตั้งใจในตอนแรก ที่มาเยือนไปเสียแล้ว นางอยากจะเอ่ยกับฟู่เสี่ยวกวนว่า ข้าครุ่นคิดดูแล้ว เจ้าเป็นพี่ชายของข้าได้หรือไม่ ?
แต่บัดนี้ นางสลัดความคิดนี้ทิ้งไปเสียแล้วเนื่องจากบทกวีบทนี้ !
จากบทกวีบทนี้ ทำให้นางเข้าใจว่าความลุ่มหลงคือสิ่งใด ความคะนึงหาคือสิ่งใด และเยี่ยงไรที่เรียกว่ามิอาจพรากจากกันชั่วนิรันดร์
ดังนั้นนางจึงเอ่ยออกมาว่า “ในเมื่อกวีบทนี้ท่านเป็นผู้ประพันธ์ขึ้นมา แต่ข้ามีความรู้สึกว่าเจ้ากำลังเอ่ยถึงข้า ดังนั้น…ประโยคที่เจ้ากล่าวขึ้นมาเมื่อเช้า ณ กวนหยุนถาย ข้าครุ่นคิดพิจารณาไตร่ตรองอย่างดีแล้ว เจ้ามีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธข้า แต่เจ้าก็ควรจะเคารพในการที่ข้าชอบเจ้าด้วย”
ฟู่เสี่ยวกวนอ้าปากค้าง ไร้ซึ่งคำกล่าวและคำตอบใด ๆ