นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 307 คนเฝ้าประตู
ตอนที่ 307 คนเฝ้าประตู
อู๋หลิงเอ๋อร์นั่งลงตรงข้ามกับฟู่เสี่ยวกวน สายตามองไปที่ภาพวาดนั้นอีกครา จิตใจก็กลับมาสงบดังเดิม
นางย่อมมิไล่ตาม ส่วนเรื่องของผลลัพธ์…แน่นอนว่าผลลัพธ์ย่อมสำคัญ แต่ก็มิสามารถบีบบังคับเขาได้
หากเขามิชอบ อย่างน้อยตนเองก็เคยรัก
ขณะนั้นเองหนิงซือเหยียนถึงได้โค้งคำนับฟู่เสี่ยวกวน
“นี่คือความปรารถนาอันยาวนานเพียงหนึ่งเดียวของมารดาข้า ได้รับบทกวีนี้จากเจ้า ก็ถือว่าได้เติมเต็มให้แก่กันแล้ว ข้าก็มิได้กังวลอีกต่อไป ข้าเพิ่งจะค้นพบในตอนนี้ว่าตนไร้ที่ไป เยี่ยงนั้น…ให้ข้าเป็นคนเฝ้าประตูที่นี่ให้เจ้าดีหรือไม่ ? ”
เหมือนจะกังวลว่าฟู่เสี่ยวกวนจะไม่เห็นด้วย เขาจึงสำทับอีกหนึ่งประโยค “มีข้าคอยเฝ้าประตูอยู่ บัณฑิตราชวงศ์อู๋เหล่านั้นมิกล้าเข้ามารบกวนความสงบของเจ้าเป็นแน่”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกดีใจขึ้นมาฉับพลัน ฝีมือของคนผู้นี้ยอดเยี่ยมมากยิ่งนัก เขาพ่ายแพ้ให้แก่บิดาของเขาเพียงแค่ครึ่งกระบี่เท่านั้น !
บิดาของเขาคือผู้มีฝีมือระดับสูงขั้นหนึ่ง เยี่ยงนั้นเขาก็ย่อมเป็นผู้มีฝีมือระดับสูงขั้นหนึ่งเช่นกัน
มีคนเฝ้าประตูเยี่ยงนี้อยู่หนึ่งคน ทั้งยังสามารถเขย่าขวัญเหล่าบัณฑิตที่มายั่วยวนเขาได้ เขาย่อมมิปฏิเสธ
“เจ้ารู้สึกว่าตนเองมิได้รับความเป็นธรรมเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
หนิงซือเหยียนเองก็นั่งลง และดื่มสุราหนึ่งอึก “ข้ามิเคยรู้สึกว่าตนเองมิได้รับความเป็นธรรมมาก่อน มิว่าจะเมื่อก่อน หรือในตอนนี้”
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดชั่วครู่ และเอ่ยถามว่า “บิดาของเจ้า…เขาไปอยู่ที่ใดแล้ว ? ”
หนิงซือเหยียนเงียบไปชั่วขณะ “หลังจากที่ขายเรือนหลังนี้ทิ้งไป เขากล่าวว่าเขาจะไปชางฮ่าย”
“ไปทำอันใดที่ชางฮ่าย ? ”
หนิงซือเหยียนแค่นหัวเราะ และยกสุราขึ้นดื่มอีกหนึ่งอึก “ในชางฮ่ายมีภูเขาลั่วเหมยอยู่ กล่าวกันว่าเทพบู๊โหยวเป่ยโต้วพักอยู่ที่นั่น เขาอยากไปท้าสู้กับโหยวเป่ยโต้วเสียหน่อย”
ดวงตาของฟู่เสี่ยวกวนเบิกกว้าง โหยวเป่ยโต้วปรมาจารย์ผู้แข็งแกร่ง แต่หนิงฝาเทียนเป็นเพียงยอดฝีมือขั้นหนึ่งเท่านั้น… “เขาต้องการจะปะทะกับปรมาจารย์เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
หนิงซือเหยียนพยักหน้าน้อย ๆ “เป็นไปได้ และก็อาจจะถึงตายได้ ! ”
ทันใดนั้นซูเจวี๋ยก็ขยับหมวก กระบี่ไม้ที่อยู่ด้านหลังของเขาสั่นขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง
ซูโหรวชำเลืองมองซูเจวี๋ยอย่างพินิจพิจารณา กระบี่ไม้เล่มนั้นของซูเจวี๋ยถึงได้สงบลง
…..
ฟู่เสี่ยวกวนและคณะได้พำนักลงที่นี่ เขารู้สึกว่านามของเรือนชิงเสียนนั้นมิค่อยเหมาะสม คำว่าเสียนนั้นมีความหมายว่ามีเวลาว่าง แต่เขามิได้ว่างเสียหน่อยแต่กลับยุ่งมากยิ่งนัก และอีกทั้งยังเคยเปิดสถานที่แห่งนี้เป็นหอนางโลมอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนชื่อสถานที่นี้ไปเป็นคฤหาสน์จิ้งหูดังเดิม
นามนี้ยิ่งใหญ่ ฟังแล้วดูเป็นชนชั้นสูง เพียงแค่นามนี้ถูกเขียนไว้บนก้อนหินเท่านั้น เขาคิดว่าเขาจะสร้างซุ้มโค้งขึ้นที่ด้านนอกนั่น แต่ก็คิดอีกว่าตนเองก็มิได้อยู่ที่นี่เป็นเวลานานเท่าใด และ…หากแพ้ในงานชุมนุมวรรณกรรม คฤหาสน์หลังนี้ก็จะตกเป็นของผู้อื่นไป
ส่วนอู๋หลิงเอ๋อร์ได้ออกไปแล้ว กล่าวว่ายังมีธุระต้องจัดการในพระราชวัง ฟู่เสี่ยวกวนอดที่จะอยากให้นางมีธุระเพิ่มอีกมิได้ เขามิอยากคิดถึงอู๋หลิงเอ๋อร์แล้ว พอคิดมากไปก็ปวดหัว
ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินเก็บกวาดที่พักเล็กน้อย เมื่อแบ่งห้องดีแล้ว พวกนางก็มิได้วางแผนหาซื้อสาวรับใช้จากนายทุน เหตุผลเช่นเดียวกัน เยี่ยงไรแล้วที่นี่ก็คือราชวงศ์อู๋ มิใช่รากเหง้าของพวกนาง
หนิงซือเหยียนก็ได้ออกไปด้านนอกคฤหาสน์จิ้งหูแห่งนี้แล้ว ที่นั่นมีอาคารเล็กหลังหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงย้ายเก้าอี้ไปวางลงหน้าประตูที่มิมีซุ้มประตู
และเขาก็นั่งลงบนเก้าอี้ทั้งอย่างนั้น หยิบน้ำเต้าสุราขึ้นมาดื่มเป็นครั้งคราว ใบหน้ามิยินดียินร้าย ราวกับมองโลกใบนี้ทะลุปรุโปร่ง
ยามบ่าย เติ้งซิวก็ได้มาถึงคฤหาสน์จิ้งหู
ในขณะนั้นฟู่เสี่ยวกวนกำลังดื่มชาและพูดคุยอยู่กับซูเจวี๋ย
“เยี่ยงนั้นฝีมือของหนิงซือเหยียนเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
ซูเจวี๋ยครุ่นคิด “เกือบจะเทียบเท่ากับศิษย์พี่ใหญ่แห่งป่ากระบี่จั่วเฮิ่นฮวา คาดว่าลอบเห็นประตูปรมาจารย์บานนั้นแล้ว”
การประเมินนี้สูงกว่าที่ฟู่เสี่ยวกวนคิดขึ้นไปอีกขั้น จนทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกท้อใจอยู่เล็กน้อย อายุ 17 ปีเท่ากัน แต่เหตุใดถึงได้แตกต่างกันมากเยี่ยงนี้ ?
ราวกับซูเจวี๋ยรับรู้ได้ถึงความคิดของฟู่เสี่ยวกวน เขาจึงกล่าวอีกว่า “พรสวรรค์ทางด้านวรยุทธ์นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ก็เหมือนกันกับการประพันธ์บทกวีของเจ้า มิสามารถใช้ความมานะมาทดแทนได้”
ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าแท้จริงแล้วพวกเจ้าคงไม่ทราบ ข้ามิมีพรสวรรค์ทางด้านการประพันธ์เลยแม้แต่นิดเดียว
เติ้งซิวเดินมาถึงด้านหน้าของฟู่เสี่ยวกวน โค้งคำนับ และกล่าวว่า “ตามคำสั่งของใต้เท้า ข้าน้อยได้เหมาหอจิ้นสุ่ยที่อยู่ข้างกันกับทะเลสาบสือหลี่ หอจิ้นสุ่ยนี้เป็นร้านเก่าแก่กว่าร้อยปีของเมืองกวนหยุน และอาหารจานหลักยังเป็นอาหารเลิศรสของจินหลิง ด้วยความสัตย์จริง ความประณีตของอาหารราชวงศ์อู๋นั้นห่างไกลจากจินหลิงของพวกเรา ข้าน้อยคิดว่าใต้เท้าเพิ่งเดินทางมาจากจินหลิง เกรงว่าจะมิคุ้นชินกับอาหารของราชวงศ์อู๋ ข้าจึงตัดสินใจจองสถานที่นั้นด้วยตนเอง ดีหรือไม่ขอรับ”
“ดี ข้าต้องออกเดินทางยามใด ? ”
“คฤหาสน์จิ้งหูนี่ค่อนข้างอยู่ห่างจากทะเลสาบสือหลี่ ข้าน้อยอยากเชิญให้ท่านออกเดินทางตั้งแต่ยามนี้เลยขอรับ”
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืน ตะโกนขึ้นเสียงดัง ทุกคนจึงรีบออกมายังลาน และเดินทางออกจากตัวคฤหาสน์
เมื่อมาถึงหน้าประตู ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เชิญชวนหนิงซือเหยียน คนผู้นั้นย่อมปฏิเสธ เพียงแต่ขอให้ฟู่เสี่ยวกวนนำซีชานเทียนฉุนกลับมาให้เขาหนึ่งไห
ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าข้างกายของตนนั้นมีปีศาจสุราอยู่ค่อนข้างมาก ที่ซีซานก็มีไป๋ยู่เหลียน เขาผู้นั้นก็มิยอมปล่อยให้สุราได้ห่างกาย เมืองเปียนเฉิงก็มีซูม่อ อาการติดสุรามีแนวโน้มสูงมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ก็มิทราบว่าแม่นางถาวฮวาจะสามารถทำให้เขาเลิกสุราได้หรือไม่ และในวันนี้ก็ได้เก็บปีศาจสุรามาเป็นคนเฝ้าประตู และคนผู้นี้ก็กำลังร้องเพลงที่มีชื่อว่าคลั่งสุรา ภายภาคหน้าหากทั้งสามคนได้มาอยู่ด้วยกัน เยี่ยงนั้นหนึ่งวันเขาต้องนำซีชานเทียนฉุนมามอบให้พวกเขาจำนวนเท่าใดกัน ?
ยิ่งคิดยิ่งปวดใจ ช่างเถอะ เบื่อที่จะใส่ใจกับพวกเขา ออกเดินทางได้ !
พวกเขาได้ขึ้นรถม้าออกไปจากคฤหาสน์จิ้งหูแห่งนี้ เติ้งซิวอยู่ด้านหน้าเพื่อนำทาง และออกเดินทางไปยังทะเลสาบสือหลี่อย่างครึกโครม
ฟู่เสี่ยวกวนขึ้นรถม้าคันเดียวกันกับต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวิน สตรีทั้งสองตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ต่างพูดคุยกันถึงคฤหาสน์จิ้งหูอย่างมิรู้จบ
“ศาลานหยวนหยางหลังนั้นสร้างได้งดงามมากยิ่งนัก โดยเฉพาะเตียงตัวนั้น ข้ามิเคยเห็นเตียงที่ใหญ่ถึงเพียงนั้นมาก่อน และก็มิทราบว่าหนิงฝาชุนผู้นั้นคิดได้เยี่ยงไรกัน”
ต่งชูหลานหัวเราะเบา ๆ และชำเลืองมองไปทางฟู่เสี่ยวกวน “เตียงที่อยู่ในอาคารหรูยู่ก็ใหญ่เป็นอย่างมาก ข้ากลับชอบอาคารหรูยู่มากกว่า ตู้เสื้อผ้าหลังนั้นก็สวยงามมากยิ่งนัก ทั้งยั้งมีโต๊ะเครื่องแป้งตัวนั้น วัสดุเนื้อไม้ทั้งหมดที่นำมาใช้ต่างก็เป็นไม้เซียงหนาน เมื่อมาคิดตามในตอนนี้คฤหาสน์ราคาหนึ่งล้านตำลึงถือว่าคุ้มค่ายิ่ง”
“พรุ่งนี้พวกเราไปหอจายซิงถายกันเถอะ ข้ามิเคยเห็นอาคารที่อยู่สูงถึงเพียงนั้นมาก่อน ได้ยินว่าจายซิงถายสูงถึง 100 ฉื่อ เมื่อยืนอยู่บนหอจายซิงถายจะสามารถมองเห็นเมืองกวนหยุนได้ทั่วทั้งเมือง…เจ้ากล่าวว่าเมืองกวนหยุนเดิมทีอยู่ใจกลางเมฆา หากได้ขึ้นไปบนหอจายซิงถายแล้ว มิใช่ว่าจะได้ยืนอยู่บนก้อนเมฆหรือ”
“ฮ่า ๆ สามสถานที่ที่มีชื่อเสียงของเมืองกวนหยุน คาดมิถึงเลยว่าหนึ่งในสามสถานที่ที่มีชื่อเสียงเช่นนี้จะมาอยู่ในอาณาเขตของคฤหาสน์จิ้งหู พรุ่งนี้เช้าพวกเราไปดูกันเถอะ”
“ที่ถูกขนานนามว่าหอจายซิงถาย หากขึ้นไปดูยามค่ำคืนจะสวยยิ่งกว่าหรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนไร้คำพูดขึ้นมาทันพลัน ดังนั้นจึงกล่าวขึ้นมาว่า “เยี่ยงไรเสียก็เป็นของในบ้านของตนเอง พวกเจ้าอยากขึ้นไปดูยามใดก็ขึ้นไปดูได้ทุกเมื่อ ถึงเยี่ยงไรก็มิมีธุระอยู่แล้ว จะอยู่บนนั้นทั้งวันก็ย่อมได้”
ต่งชูหลานกลอกสายตามองบนใส่เขา “เหตุใดพวกเราจึงมิมีธุระไปกัน พรุ่งนี้พวกเรายังต้องเข้าไปเดินในเมืองกวนหยุน หากบังเอิญพบเจอร้านค้า ก็จะได้เข้าไปลองซื้อสินค้าเหล่านั้นเสียเล็กน้อย”
“มิเช่นนั้นพรุ่งนี้พวกเราไปเคารพเสด็จอารองของข้าเสียหน่อย พระนางคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างดี มีพระนางเป็นผู้นำทาง พวกเราคงเสียเวลาน้อยลง”