นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 308 เกาหยาเน่ย
ตอนที่ 308 เกาหยาเน่ย
ท่านป้ารองที่หยูเวิ่นหวินได้เอ่ยถึงเมื่อครู่ ก็คือหยูหยู พระขนิษฐาของฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูองค์ปัจจุบัน
ฟู่เสี่ยวกวนนึกถึงหงซิ่วจาวขึ้นมา คำที่อาจารย์หูฉินเอ่ยกับเขานั้น มีประโยคหนึ่งที่ว่า แม่ของเจ้าสมัยยังสาว ๆ สนิทสนมกับองค์หญิงรองกว่าข้า เรื่องราวในสองปีนั้นคาดว่าองค์หญิงรองจะรู้ดีที่สุด หากเจ้าได้ไปยังราชวงศ์อู๋ จงไปเข้าเฝ้าติ้งกั๋วโหวแล้วลองสอบถามดู
บัดนี้ตัวเขาได้มาเยือนยังราชวงศ์อู๋แล้ว จะไปหรือว่ามิไปดี ?
เรื่องราวของท่านพ่อและท่านแม่นั้น เขามีความสงสัยอยู่ในสมองมากมายเสียทีเดียว เพียงแต่ว่าตัวตนของเขามิใช่ฟู่เสี่ยวกวนตัวจริง ดังนั้นจึงมิได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากนัก
หากในวันพรุ่งนี้มิมีเรื่องอื่นใดให้ต้องจัดการ เขาตั้งใจจะไปเข้าเฝ้าหยูหยู ส่วนเรื่องคำถามที่ค้างคาในใจนั้น เมื่อถึงเวลาแล้วจะถามไถ่หรือไม่ค่อยตัดสินใจอีกครา
“หากจะเข้าเฝ้าองค์หญิงรอง เจ้าควรเตรียมของกำนัลไปด้วย ข้าว่าเจ้านำน้ำหอมและสบู่นี้มอบให้นางเป็นเยี่ยงไร ? ชุดชั้นในนั้นมิเหมาะสมเท่าใดที่จะมอบให้กับพระนาง แม้ที่จินหลิงจะได้รับการยอมรับจากเหล่าสตรีแล้ว แต่ทว่าที่นี่จะเป็นเยี่ยงไรก็มิอาจรู้ได้”
“อืม เสด็จแม่ให้ข้านำของกำนัลมาด้วย พรุ่งนี้ค่อยมอบให้กับนางพร้อมกัน”
ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามขึ้นมาว่า “เจ้าเคยพบท่านป้ารองหรือไม่ ? ”
“แน่นอนว่าเคยพบ ท่านป้ารองแต่งงานกับติ้งหยวนโหวเมื่อรัชสมัยไท่เหอปีที่ 51 ฤดูร้อน ตอนนั้นข้าอายุเพียง 7 ปี ต่อจากนั้นอีกเพียงแค่ 1 ปีก็เข้าสู่รัชสมัยเซวียนลี่ เมื่อคราเสด็จพ่อขึ้นครองราชย์ นางเคยกลับมาที่จินหลิงคราหนึ่ง แม้ว่านับจากนั้นนางจะมิได้เดินทางกลับไปเมืองจินหลิงอีก แต่ทว่าข้าจำรูปร่างหน้าตาของนางได้ดี”
เช่นนั้นเมื่อตอนที่หยูหยูออกเรือน อายุก็มิน้อยแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
นางเคยสนิทสนมกับท่านแม่ คาดว่าอายุน่าจะไล่เลี่ยกัน
ท่านแม่จากไปเมื่อรัชสมัยไท่เหอปีที่ 50 ในตอนนั้นอายุ 25 ปี ส่วนหยูหยูแต่งงานเมื่อรัชสมัยไท่เหอปีที่ 51 เยี่ยงนั้นคาดว่านางก็คงจะแต่งงานตอนอายุยี่สิบห้าหรือยี่สิบหกปีเยี่ยงนั้นหรือ ?
หรือราชวงศ์อู๋อาจจะมิได้แตกต่างไปจากราชวงศ์หยู สตรีอายุยี่สิบแล้วหากยังมิได้ออกเรือน ก็จะถูกมองว่าขึ้นคานเสียแล้ว
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้นำเรื่องนี้มาใส่ใจ เขาเปิดม่านตรงมุมหน้าต่างขึ้นแล้วมองออกไปด้านนอก
ที่แห่งนี้ท้องฟ้ามืดช้ากว่าเมืองจินหลิงมาก บัดนี้คาดว่าราวห้าหกโมงเย็น ที่เมืองจินหลิงล้วนพากันจุดไฟขึ้นแล้ว แต่ที่นี่ดวงอาทิตย์กำลังจะตกดิน
เมฆสีส้มแดงที่ขอบฟ้าช่างงดงามมากยิ่งนัก นกสองสามตัวบินอยู่บนท้องฟ้า พวกมันดูเหมือนจะยังมิกลับรังนอน
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงยังหอจิ้นสุ่ยแห่งทะเลสาบสือหลี่ หลังลงจากรถม้า ก็สามารถมองเห็นทะเลสาบสือหลี่ที่ส่องประกายสีส้มระยิบระยับตัดกับเส้นขอบฟ้าสีคราม
เติ้งซิวเดินมาข้าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวน และได้ชี้นิ้วไปยังทะเลสาบสือหลี่แล้วกล่าวว่า “ท่านฟู่ที่คือทะเลสาบสือหลี่อันเลืองชื่อแห่งเมืองกวนหยุน เทียบได้กับแม่น้ำฉินหวายแห่งเมืองจินหลิงของพวกเรา ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้ที่ทะเลสาบสือหลี่มิมีเรือสำราญ แต่ต่อมามีคนจากราชวงศ์อู๋เดินทางไปที่จินหลิงและได้พบกับบรรยากาศบนแม่น้ำฉินหวาย ต่อมาที่ทะเลสาบสือหลี่ก็ได้มีเรือสำราญปรากฏขึ้นมาเฉกเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าผู้คนในราชวงศ์อู๋มิชื่นชอบเท่าใดนัก พวกเขากล่าวว่าเรือมีขนาดเล็กเกินไป จึงมีการก่อสร้างหอนางโลมขึ้นที่บนเกาะของทะเลสาบสือหลี่หลายแห่ง แต่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือหลิวหยุนถาย หากท่านมีเวลา เชิญไปชมได้”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าตอบรับ เติ้งซิวนำทางพวกเขาไปยังหอสามชั้นงดงามที่ข้างทะเลสาบ
ยังมิทันได้มาถึงปากประตู ก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านใน
“ว่าเยี่ยงไรนะ ? เจ้าว่าที่หอจิ้นสุ่ยนี้มีผู้เช่าเหมาไว้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? กล้าดีมาจากไหนกัน ? เป็นผู้ใด ? บอกข้ามาสิ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นมองพบว่ามีชายหนุ่มชุดเขียวมีท่าทีของผู้มีวรยุทธ์ กำลังตะโกนใส่หลงจู๊
หลงจู๊ผู้นั้นผงกหัวและยิ้มให้กับฟู่เสี่ยวกวนเป็นสัญญาณว่าขออภัย
ชายหนุ่มในชุดเขียวผู้นั้นชี้นิ้วขึ้นและกล่าวว่า “ท่านหลงจู๊สง คุณชายจวนข้ามิใช่แขกคนสำคัญของหอจิ้นสุ่ยหรือเยี่ยงไร ? ”
“ใช่ ๆ ๆ คุณชายเกาเป็นแขกคนสำคัญขอรับ เพียงแต่ว่าวันนี้ช่างบังเอิญ…”
“บังองบังเอิญอันใดเล่า ที่เมืองกวนหยุนนี้ ผู้ใดกล้าขัดขืนมิไว้หน้าคุณชายจวนข้ากัน ? เจ้าหลงลืมไปแล้วหรือเยี่ยงไร ? คุณชายข้าจะจัดงานเลี้ยงกินดื่มที่นี่ เจ้ากลับไปให้ผู้อื่นเหมาหอนี้ ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ควรจะเว้นห้องชมจันทร์เอาไว้ ! ”
“เอ่อ…”
ด้านข้างของชายหนุ่มผู้นั้นมีรถม้า 5 คันจอดอยู่ คันตรงกลางมีชายอ้วนท้วนเดินลงมากับสตรีชุดเขียว
ทั้งสองเดินมาหยุดตรงหน้าหลงจู๊สง กลุ่มผู้มีวรยุทธ์ราว 30 คนต่างล้อมกรูเข้ามา
หลงจู๊สงเห็นดังนั้นก็ลนลานและรีบเดินเข้ามาคารวะ “คุณชายเกา ในวันนี้ช่างบังเอิญเสียจริง…วันพรุ่งนี้ข้าจะเชิญท่านมารับประทานอาหารโดยมิคิดค่าใช้จ่ายเป็นเยี่ยงไร ? ”
ชายอ้วนผู้นั้นเอามือไขว้หลัง ดวงตาเล็กเรียวของเขาจ้องเขม็งจนดูใหญ่ขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นหัวเราะขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ข้าขาดแคลนเงินตั้งแต่เมื่อใดกัน ? ”
“อ่า มิใช่ มิใช่ขอรับ ! คุณชายเกาจะขาดแคลนเงินทองได้เยี่ยงไร สิ่งนี้เป็นการตอบแทนจากใจข้าเพียงเท่านั้น”
“ข้ามิต้องการน้ำใจจากเจ้า ข้าจะเหมาเช่าหอจิ้นสุ่ย บัดเดี๋ยวนี้ เร็ว ! รีบไปจัดการให้ข้า ข้าให้เวลาเจ้า 1 ก้านธูป มิเช่นนั้นข้าจะเผาที่นี่ทิ้งเสีย ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังกลับไปมองเติ้งซิว เติ้งซิวกลืนน้ำลายลงคอแล้วกระซิบข้างหูฟู่เสี่ยวกวนว่า “ท่ามิดีนัก เจ้าอ้วนนี่คือบุตรบุญธรรมของขันทีเกาสำนักในแห่งราชวงศ์อู๋ ที่นี่นั้นขันทีมีอำนาจมากกว่าที่ราชวงศ์ของพวกเรา สำนักในดูแลอยู่ถึง 12 แห่ง ในมือขันทีเกามีหน่วยสอดแนมอยู่หนึ่งหน่วย อำนาจล้นฟ้า ดังนั้นบุตรชายของเขาจึงได้วางท่าใหญ่โตในเมืองกวนหยุน ! ”
เติ้งซิวกล่าวจบก็มองไปยังฟู่เสี่ยวกวน จากความคิดของเขานั้น คาดว่าคงจะสละหอจิ้นสุ่ยให้แก่เกาหยาเน่ย ประการแรกเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะกับเกาหยาเน่ย ประการที่สอง…คนกลุ่มนี้มิอาจต่อกรกับเกาหยาเน่ยได้
แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนมิได้ทำเช่นนั้น เนื่องจากเขาสละให้มิได้ !
หอจิ้นสุ่ยนี้เป็นสถานที่ของหอซี่หยู่ที่ก่อตั้งในราชวงศ์อู๋ และหลงจู๊สงคือผู้รับผิดชอบข่าวสารในราชวงศ์อู๋ เดือนห้านั่นเอง
ในขณะที่เขากำลังจะเดินเข้าไป พบว่ามีคนอีกส่วนหนึ่งเดินลงมาจากรถม้า มีอยู่ 2 คนที่เขารู้จัก หนึ่งคือองค์ชายหกแห่งแคว้นอี๋ และท่าป๋ายวนบุตรชายของท่าป๋าชิว ชินอ๋องแห่งแคว้นฮวง
คนที่เกาหยาเน่ยจะเชิญมาร่วมงานเลี้ยงคือเจ้าสองคนนี้เยี่ยงนั้นหรือ !
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วขึ้น จากนั้นเดินตรงเข้าไป ซูเจวี๋ยสะพายกล่องดำนั่นไว้แล้วเดินตามไป
เยียนหานยวี่และท่าป๋ายวนก็มองมาทางฟู่เสี่ยวกวนเช่นกัน พวกเขาประหลาดใจยิ่ง หรือคุณชายเกาจะเชิญเจ้าหมอนี่มาด้วยกันนะ ?
แต่ทว่าต่อจากนั้นพวกเขาก็หัวเราะออกมา
ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่ด้านหลงจู๊สง แล้วโบกมือทักทายไปยังเกาหยาเน่ย ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “คุณชายเกา หอจิ้นสุ่ยนี้ข้าเป็นผู้เหมาไว้เอง บัดนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดลง จะให้ข้าไปหาสถานที่กว้างขวางเช่นนี้อีกคงมิสะดวกนัก เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ เยี่ยงไรเสียคนของข้าคงนั่งมิเต็ม พวกเรามาร่วมกินดื่มด้วยกันเป็นเยี่ยงไร ? ”
เกาหยาเน่ยเงยหน้าลืมตาอันเรียวเล็กของเขามองมายังฟู่เสี่ยวกวน “เจ้าเป็นใครกัน ? ”
“ข้าคือฟู่เสี่ยวกวน”
เกาหยาเน่ยขมวดคิ้วขึ้น แววตาของเขาเป็นประกาย “เจ้าคือฟู่เสี่ยวกวนเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ถูกต้องแล้ว”
“ได้ยินมาว่าวันนี้เจ้าเอาชนะถังเชียนจวินได้ ? ”
“นั่นเพราะถังเชียนจวินออมมือให้แก่ข้าถึง 3 กระบวนท่า”
“ฮ่า ๆ… ! ” เกาหยาเน่ยหัวเราะขึ้นมาทันใด เขาหัวเราะอย่างสุดเสียง ลำตัวโน้มไปมา ต่อจากนั้นเขาก็หยุดเสียงลง ทำสีหน้าเยือกเย็น
“คนของราชวงศ์หยูกล้าดีเยี่ยงไรรังแกคนของข้า เจ้าช่างขัดหูขัดตาข้าเสียจริง ไสหัวออกไปเสีย ! ”