นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 318 ร่องรอยแห่งอดีต
ตอนที่ 318 ร่องรอยแห่งอดีต
ยามที่มารดาของเจ้าสิ้นใจไป ได้ฝากอะไรไว้กับเจ้าหรือไม่ ?
ฟู่เสี่ยวกวนชะงักลงชั่วครู่ แล้วเดินตามจักรพรรดิเหวินไปยังต้นสนเก่าแก่ต้นนั้น เมื่อคิดไปคิดมา เขาก็รู้สึกว่าความทรงจำของเขามีข้อมูลของสวี่หยุนชิงเพียงน้อยนิด นอกเหนือจากที่นางได้ทิ้งเขาไว้กับพ่อแล้ว อย่างอื่นก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรพิเศษ
แม้ว่าท่านแม่จะทิ้งบางสิ่งไว้ให้เขา แล้วเกี่ยวข้องอันใดกับองค์จักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋กันเล่า ?
ทั้งสองคนนั่งลงที่โต๊ะหมากรุก จากนั้นก็มีบ่าวยกน้ำชาและของว่างมาวางให้
“เมื่อคราที่ท่านแม่จากไป กระหม่อมนั้น…มีอายุเพียงหกปี เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วยิ่งนัก บัดนี้ล่วงเลยมาได้สิบปีแล้ว หากจะกล่าวถึงสิ่งของ ท่านแม่มิได้ทิ้งสิ่งใดให้กระหม่อมเลย”
จักรพรรดิเหวินยิ้มออกมาอย่างสิ้นหวัง “ตราหยกนั่น นางก็มิได้ทิ้งไว้ให้เจ้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“มิมีพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเองได้คล้องตราหยกไว้อันหนึ่ง แต่เป็นของคู่หมั้นของกระหม่อมนามว่าเยี่ยนเสี่ยวโหลว นางให้ไว้ก่อนข้าจะออกเดินทาง…ฝ่าบาท เหตุใดท่านแม่จึงต้องทิ้งตราหยกไว้ให้กระหม่อมกัน ? ฝ่าบาททรงรู้ได้เยี่ยงไรว่านางมีตราหยก ? ”
“ไท่เหอปีที่สี่สิบ งานกวีหลานถิงจี๋เทศกาลไหว้พระจันทร์แห่งราชวงศ์หยู ในตอนนั้นข้ายังเป็นองค์รัชทายาท ปีนั้นข้าได้เดินทางไปยังราชวงศ์หยูพร้อมกับเหวินสิงโจว ข้าได้พบกับแม่ของเจ้าที่หลานถิงจี๋…”
ท่าทางของจักรพรรดิเหวินราวกับได้ย้อนไปในความทรงจำเก่า ๆ สายตาของเขามองทอดยาวออกไปในทะเลหมอก บัดนี้แววตาของเขาหาได้มีความน่าเกรงขามของจักรพรรดิหลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย แต่กลับกลายเป็นความทรงจำในรักแรก
“สวี่หยุนชิงเป็นความเจ็บปวดที่ทรมานที่สุดในชีวิตข้า ! ”
“นางงดงามราวเทพธิดา ความสามารถของนางก็มากมายเสียจนทำให้ข้านับถือมาจนบัดนี้”
“หลังจากงานกวีในเทศกาลไหว้พระจันทร์สิ้นสุดลง เดิมทีข้าควรเดินทางกลับมายังราชวงศ์อู๋ แต่ข้าได้อยู่ต่อที่นั่นเนื่องจากสวี่หยุนชิง ข้าได้เข้าศึกษา ณ สำนักศึกษาจี้เซี่ยด้วยกันกับนาง”
“ข้าเป็นรัชทายาทของราชวงศ์อู๋ จึงได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูองค์ก่อน และกล่าวถึงความในใจที่มีต่อแม่นางสวี่หยุนชิง และต้องการขอพระกรุณาจากฮ่องเต้ให้ทรงช่วยสู่ขอแม่นางสวี่หยุนชิง ตามธรรมเนียมของราชวงศ์หยู”
“ข้าได้ศึกษา ณ สำนักศึกษาจี้เซี่ยเป็นเวลาครึ่งปี ตอนนั้นเป็นเวลาที่งดงามที่สุดในชีวิตของข้า”
“สวี่หยุนชิงมิรู้ว่าข้าเป็นรัชทายาทของราชวงศ์อู๋ พวกเราทั้งสองคนได้คบหากัน ในสำนักศึกษาจี้เซี่ยและสวนต้นสาลี่แห่งเกาะชิงโยวล้วนเต็มไปด้วยความทรงจำของเราสองคน แม่ของเจ้ากล่าวว่าที่สวนต้นสาลี่นั้นงดงามยิ่ง ทุกปีในเดือนสามดอกสาลี่จะผลิบาน ทำให้เกาะชิงโหยวนั้นคล้ายกับมีหิมะตกลงมา น่าเสียดายที่ตอนนั้นเป็นเดือนแปดจึงมิมีให้เห็น แต่ก็ได้กินสาลี่ไปไม่น้อย”
ฝ่าบาททรงหันมามองฟู่เสี่ยวกวนแล้วตรัสด้วยท่าทางจริงจังว่า “เจ้าจงจำไว้ สาลี่ เป็นผลไม้ที่มิควรแบ่งกันกิน ! ”
“เราทั้งสองชมเมฆหมอกในยามเช้าด้วยกัน และร่วมชมอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าในยามเย็น”
“ในตอนนั้นข้าคิดว่านางจะต้องได้เป็นชายาของรัชทายาทเป็นแน่ เดิมทีข้าคิดว่าทุกสิ่งได้กำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว แต่คาดมิถึงว่าเมื่อท่านพ่อของสวี่หยุนชิงรู้เข้าว่าข้าเป็นองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์อู๋ เขาก็ปฏิเสธการสู่ขอจากข้าทันที”
“ข้าได้เดินทางไปยังจวนสวี่ด้วยตนเอง แต่กลับถูกเขาขับไล่ตั้งแต่หน้าประตู ข้าได้อยู่ที่เมืองจินหลิงอีกหลายวันทีเดียว แต่ก็มิได้แม้แต่เข้าไปในจวนสวี่”
ฟู่เสี่ยวกวนอ้าปากค้าง มีบางอย่างมิถูกต้อง !
เขาเคยได้ยินไทเฮาเล่าว่าจักรพรรดิเหวินเคยเดินทางมาร่วมงานกวีในปีไท่เหอที่สี่สิบ จักรพรรดิเหวินเคยเดินทางมายังเมืองจินหลิงจริง ๆ และเคยเข้าศึกษาที่สำนักศึกษาจี้เซี่ยถึงครึ่งปี
แต่พระนางมิเคยเล่าว่า จักรพรรดิเหวินและท่านแม่ของเขาเคยพบรักกันมาก่อน !
ไทเฮาทรงเคยตรัสว่า นางประสงค์ให้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันอภิเษกกับสวี่หยุนชิง แต่ฮ่องเต้องค์ก่อนมิเห็นด้วย คาดว่าในตอนนั้นจักรพรรดิเหวินได้กล่าวเรื่องความรู้สึกของตนแก่ฮ่องเต้องค์ก่อนแล้ว เหตุนี้จึงทำให้สูญเสียโอกาสอภิเษกกับสวี่หยุนชิงไป
หากคำกล่าวของจักรพรรดิเหวินเป็นจริง หมายความว่าในตอนนั้นสวี่หยุนชิงมิได้ชอบพอฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน และแน่นอนว่ามิได้ชอบพอเยี่ยนซือเต้าและต่งคังผิงซึ่งเป็นผู้มีความสามารถแห่งราชวงศ์หยูด้วยเช่นกัน
เช่นนั้นท่านพ่อ…ชายอ้วนผู้นั้นรับบทเป็นอะไรกัน ?
หรือเขาจะเป็นตัวสำรองกัน ?
“ในตอนนั้นข้าได้มอบตราหยกให้แก่แม่ของเจ้าเอาไว้ มันมีลักษณะมิเหมือนหยกอื่น เพราะมันเป็นหยกเลือด พบเพียงแค่ในราชวงศ์อู๋เท่านั้น ตราหยกนั้นมีชื่อของข้าและแม่ของเจ้าสลักไว้อยู่ ดังนั้นจึงเป็นตราหยกที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก”
“กระหม่อมมิเคยเห็นจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิเหวินถอนหายใจออกมายาว ๆ “หากเจ้ามิเคยเห็น นั่นหมายความว่านางมิให้อภัยข้าจนกระทั่งจากไป ! ”
“สวี่เช่ากวงปฏิเสธการสู่ขอของท่านแล้วมิใช่หรือ ? ”
“ นางปฏิเสธข้า แต่ข้าเคยบอกกับสวี่หยุนชิงว่า…ให้เวลาข้าหนึ่งปี ข้าจะมาสู่ขอนางที่เมืองจินหลิง”
“เช่นนั้นพ่อของกระหม่อมเล่า ? ”
จักรพรรดิเหวินหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น จากนั้นนิ่งเงียบไป
“รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงยกเลิกราชโองการนั้น ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหน้า
“เนื่องจากพ่อของเจ้าเดินทางมายังเมืองกวนหยุนก่อนหน้านี้สามวัน และได้สนทนากับข้าเรื่องนี้อยู่ครึ่งค่อนวัน”
จากนั้นเล่า ?
เกี่ยวข้องอันใดกับราชโองการนั้น ?
“หากเรื่องนี้ยังมิอาจตรวจสอบได้อย่างชัดเจน องค์หญิงไท่ผิงจะอภิเษกกับเจ้ามิได้เป็นอันขาด ! ”
“กระหม่อมก็มิได้ประสงค์จะสู่ขอนางพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงตรัสว่าจะไปสู่ขอแม่ของข้าที่เมืองจินหลิง หมายความว่าพระองค์ผิดสัญญากับนางเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
เรื่องราวเช่นนี้ ฟู่เสี่ยวกวนสนใจยิ่งนัก
เขามิใช่ฟู่เสี่ยวกวนคนเดิม ดังนั้นแม้ว่าเขาจะเคารพสวี่หยุนชิง แต่ทว่าก็อยากรู้เรื่องราวในอดีตว่าเกิดอันใดขึ้นบ้าง
จักรพรรดิเหวินหลับตาลง เนิ่นนานทีเดียวกว่าจะเอ่ยออกมาว่า “เนื่องจากมีสงครามภายในราชวงศ์อู๋ ข้าจึงเดินทางไปช้ากว่ากำหนดถึงปีครึ่ง ! ”
“เมื่อข้ากลับไปยังเมืองจินหลิงอีกครา เป็นปีไท่เหอที่สี่สิบสองฤดูใบไม้ร่วง ข้าได้เขียนจดหมายส่งไปให้สวี่หยุนชิงหลายฉบับ แต่นางมิได้ตอบกลับมา เมื่อข้าได้พบนางอีกครั้งที่เมืองจินหลิง จึงได้รู้ว่านางมิเคยได้รับจดหมายเลย”
ฟู่เสี่ยวกวนหวนนึกถึงป้ายหินหน้าหลุมศพของสวี่หยุนชิงนั้น
เนื้อความที่บันทึกไว้ ในไท่เหอปีที่สี่สิบเอ็ด ได้พบเข้ากับสวี่หยุนชิง ซึ่งหมายความว่าเมื่อจักรพรรดิเหวินกลับมายังราชวงศ์อู๋ในปีที่สอง…ชายอ้วนผู้นั้นก็เข้ามาแทรกกลางเยี่ยงนั้นหรือ ?
“เมื่อข้ากลับไปยังจวนสวี่อีกครา ท่านพ่อขอสวี่หยุนชิงได้ให้ข้าเข้าไปด้านในจวน แต่ก็มิเห็นด้วยกับการสู่ขอของข้า”
ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “เพราะเหตุอันใดกัน ? ”
“เนื่องจากข้าเป็นคนของราชวงศ์อู๋ และอีกทั้งข้ายังเป็นถึงจักรพรรดิองค์ต่อไป ! ”
เพราะเหตุนี้จักรพรรดิเหวินจึงมิได้แต่งงานกับสวี่หยุนชิง ทำให้นางโมโหและประชดประชันด้วยแต่งงานกับฟู่ต้ากวนผู้นั้นหรือ ?
ถ้าเช่นนั้นที่อาจารย์หูแห่งหงซิ่วจาวเคยกล่าวไว้คงจะถูกต้องแล้ว ว่าสวี่หยุนชิงมิได้รักฟู่ต้ากวนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว !
ท่านพ่อช่างน่าสงสารเสียจริง มีภรรยางดงามถึงเพียงนั้น แต่มิเคยได้รับความรักจากนางเลย น่าหดหู่ยิ่ง !
“ดังนั้น เรื่องนี้จบลงเพียงเท่านี้หรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
แต่เรื่องมิได้จบลงเพียงเท่านี้
“เมื่อคราชื่อเสียงของเจ้าเลื่องลือไปทั่วราชวงศ์อู๋ ข้าจึงได้ให้คนไปตรวจสอบข้อมูลของเจ้า จึงได้รู้ว่าเจ้าคือบุตรชายของสวี่หยุนชิง ข้า…ความรู้สึกของข้านั้นซับซ้อนไปหมด”
“หากเจ้าเกิดในราชวงศ์อู๋ก็คงจะดี ข้าจะมอบตำแหน่งขุนนางชั้นหนึ่งให้แก่เจ้า แน่นอนว่าแม้เจ้าจะเป็นคนในราชวงศ์หยู ข้าสัญญาว่าจะมิให้เกิดเรื่องเช่นเดียวกับเมื่อคืนนี้อีก”
มองไปแล้วจักรพรรดิเหวินนับเป็นผู้ให้ความสำคัญกับความรู้สึกมากเสียทีเดียว
ในฐานะจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ ในเมื่อเขาเอ่ยปากรับคำกับฟู่เสี่ยวกวนเช่นนั้น ในเมืองกวนหยุนคงมิมีผู้ใดกล้าหาเรื่องฟู่เสี่ยวกวนอีก
นับเป็นที่พึ่งกำบังที่ดีทีเดียว
ในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยขอบคุณ คาดมิถึงว่าจักรพรรดิเหวินได้กล่าวขึ้นมาอีกว่า “องค์ชายสี่แห่งราชวงศ์หยูนั้นจ้องจับตาจัดการเจ้าอยู่ เจ้ามีความสนใจจะอยู่ในราชวงศ์อู๋ต่อไปหรือไม่ ? ที่ราชวงศ์หยูนั้นอันตรายเกินไป อีกทั้งข้ามิอาจปกป้องเจ้าได้ เจ้าว่าเยี่ยงไร ? ”