นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 323 กระบี่ของหนิงซือเหยียน
ตอนที่ 323 กระบี่ของหนิงซือเหยียน
ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองทางฝานเทียนหนิง
รออยู่เนิ่นนาน ฝานเทียนหนิงจึงได้เปิดปาก และกล่าวอีกว่า “ประมาณหนึ่งร้อยกว่าปีก่อน สงครามภายในราชวงศ์อู๋ มีกองกำลังชุดเหลือง 300,000 นายได้บุกรุกที่ราบสูงหลีลั่ว ต่อสู้กับทหารรักษาพระองค์แห่งราชวงศ์อู๋อีก 100,000 นาย ณ ที่ราบสูงหลีลั่ว”
“สงครามครานั้นเป็นสงครามที่สวรรค์ลงทัณฑ์และมีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ราชวงศ์อู๋”
“ตามหลักการแล้ว กองทัพราชองครักษ์หนึ่งแสนกว่านายมิสามารถต้านทานกองกำลังชุดเหลืองสามแสนนายได้ นั่นมิใช่สงครามเพื่อปกป้องบ้านเมือง แต่เป็นการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ ณ ที่ราบสูงหลีลั่วของทั้งสองฝ่าย”
“แต่ในสนามรบนั้น ทหารรักษาพระองค์กลับได้รับชัยชนะ แต่เหตุที่ชนะได้นั้นเป็นเพราะเทวาภูผาแห่งภูเขาหิมะที่มีหิมะตกตลอดทั้งปีที่อยู่ทางตอนใต้ของที่ราบสูงหลีลั่วบันดาลโทสะ”
“ค่ายทหารของกองกำลังชุดเหลืองทั้งสามแสนนายอยู่ใต้ภูเขาหิมะ และในตอนที่สงครามกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ผู้คนทั้งหมดบนที่ราบสูงหลีลั่ว ต่างเห็นเหตุการณ์ประหลาดนั้นกันถ้วนหน้า ต่อมาเหล่าคนรุ่นหลังต่างเรียกกันว่าตะวันทอแสงภูเขาทอง”
“ในยามที่ทุกคนกำลังตกตะลึงกับวินาทีตะวันทอแสงภูเขาทองที่น่าประหลาดใจ เกิดเสียงฟ้าร้องดังกัมปนาทจากฟากฟ้า หลังจากนั้นก็ได้เห็นหิมะบนภูเขาหิมะราวกับวิ่งลงมาอย่างบ้าคลั่ง”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงัก หิมะถล่มเยี่ยงนั้นหรือ !
“การลงโทษจากสวรรค์ได้เริ่มต้นตั้งแต่ตอนนั้น ! ”
“กองกำลังชุดเหลืองสามแสนกว่านายได้ก่อกบฏคราใหญ่ รบกวนไปถึงชั้นฟ้า ชั้นฟ้าจึงได้ลงทัณฑ์ลงมา เทวาภูผาเขย่าร่างของพวกเขา กระแสหิมะที่บ้าคลั่งกลืนกินฐานที่มั่นคงของกองกำลังชุดเหลืองไปทันพลัน มีเพียงทหารม้าไม่กี่พันนายเท่านั้นที่หนีออกมาได้”
“คนนับสามแสนคนได้มาสักการะเทวาภูผา ความวุ่นวายภายในราชวงศ์อู๋จึงได้สงบลงในที่สุด ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สถานที่สักการะนี้ จึงถูกเปลี่ยนให้อยู่ใต้ภูเขาหิมะ”
“แล้วในตอนนี้ใต้ภูเขาหิมะนั้นก็ได้มีวัดขนาดใหญ่ที่ราชวงศ์อู๋สร้างไว้ใช้ในยามสักการะ ดังนั้นจายซิงถายนี้จึงมิได้รับหน้าที่ทำการสักการะอีกต่อไป ภายหลังจึงถูกรวมอยู่ในคฤหาสน์จิ้งหูนี้ด้วย และกลับกลายมาเป็นทรัพย์สินของท่านแต่เพียงผู้เดียว”
ฝานเทียนหนิงส่ายหน้า “เรื่องทางโลกยากจะคาดเดา ! ”
แต่สิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนคิดกลับคือวิหารเทพที่สร้างอยู่ใต้ภูเขาหิมะนั่น หากเกิดหิมะถล่มอีก…จะถือว่าเป็นการลงโทษจากฟ้าหรือหายนะจากมนุษย์กัน ?
หากเกิดขึ้นในราชวงศ์หยู เขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อเกลี้ยกล่อมให้ฝ่าบาทรื้อถอนวิหารเทพนั่นทิ้งเสีย แต่เรื่องนี้กลับเกิดขึ้นที่ราชวงศ์อู๋ แม้ว่าองค์จักรพรรดิเหวินจะมอบความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ให้แก่เขาโดยที่ตัวเขายากจะจินตนาการถึงได้ แต่เขาก็เข้าใจได้ดีว่าเขานั้นไร้หนทางจะเกลี้ยกล่อมจักรพรรดิเหวินได้
ในเรื่องของเทพเจ้านั้น ภายในใจของคนโบราณแล้ว การดำรงอยู่นั้นถือว่าสูงที่สุดจนไร้ที่เปรียบ
สิ่งที่เรียกว่าโชคชะตาฟ้าประทาน คือเจตจำนงสูงสุดทางอำนาจของจักรพรรดิ เพระเหตุใดข้าถึงได้เป็นจักรพรรดิกัน เพราะพระเจ้าประทานมันมาให้แก่ข้า ดังนั้นพวกเจ้าทั้งหมดคือขุนนาง ดังนั้น ‘คัมภีร์บทกวี เสี่ยวหยา เป่ยซาน’ ถึงได้กล่าวว่า ทุกหนทุกแห่งใต้ผืนฟ้านี้ มิมีที่ใดมิใช่ผืนแผ่นดินขององค์จักรพรรดิ ผู้นำท้องถิ่นต่าง ๆ มิมีผู้ใดมิใช่ขุนนางขององค์จักรพรรดิ
นี่คือหลักการที่จักรพรรดิใช้ปกครองใต้หล้า ด้วยสถานะของฟู่เสี่ยวกวนในตอนนี้ เขาย่อมไร้หนทางที่จะเทียบเคียงกับเทพเจ้าได้ หากเขากล้าทูลจักรพรรดิเหวินให้รื้อถอนวิหารนั้นเสีย คาดว่าจักรพรรดิเหวินจะฉีกร่างเขาด้วยโทสะในทันที
ดังนั้นความคิดนี้จึงไม่ได้แลบผ่านเข้ามาในหัวของเขาเลย
หากเกิดหิมะถล่มในวันที่จักรพรรดิเหวินไปสักการะโดยบังเอิญขึ้นจริง ๆ เยี่ยงนั้นคงทำได้เพียงกล่าวว่าเป็นเพราะพระประสงค์ของเทพเจ้า
ฝานเทียนหนิงเล่าเรื่องนี้ออกมาจนจบ หลังจากที่ได้ระบายออกไปก็ได้ถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่หอจิ้นสุ่ยในเมื่อวาน
“เมื่อวานยามเว่ย เกาหยาเน่ยผู้นั้นได้มายังสถานทูตแคว้นฝานเพื่อเชิญข้า แต่ข้ามีธุระจึงมิได้ไป หลังจากนั้นก็ได้ยินมาว่าเจ้ากับเขามีเรื่องกัน เจ้าต้องระวังบิดาของเขาไว้ให้จงดี เห็นได้ชัดว่าหัวหน้าขันทีเกามิใช่ผู้อาวุโสที่สามารถต่อกรได้ง่าย คนผู้นี่โหดเหี้ยมยิ่ง หัวหน้าเกามีหน่วยสอดแนมอยู่นับหมื่น เขายังได้รวบรวมผู้มีฝีมือระดับสูงจากยุทธภพไว้อีกมากมาย ทวนเปิดเผยหลบหลีกง่าย เกาทัณฑ์ลับยากระวัง”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า เกาหยาเน่ยต้องทนทุกข์ จึงมีความเป็นไปได้อย่างมากที่บิดาของเขาจะหาโอกาสเอาคืน
ผู้ติดตามของฝานเทียนหนิงได้ส่งสำรับอาหารจากเซียนเค่อหลายมาสองโต๊ะ ศิษย์พี่รองเกาหยวนหยวนนั่งอยู่ที่โต๊ะพิเศษ ส่วนผู้อื่นนั่งล้อมรอบกันหนึ่งโต๊ะ ฟู่เสี่ยวกวนสำรวจมองผู้ที่มา ถึงได้พบว่าหนิงซือเหยียนยังไม่มา
พวกเขาทานและดื่มกันบนจายซิงถายอย่างมีความสุข ในยามนี้หนิงซือเหยียนกำลังนอนอยู่บนเก้าอี้เล็กด้านนอกอาคารเล็ก มือของเขาถือน้ำเต้าสุราขนาดใหญ่ เงยหน้ามองดวงดาวบนฟากฟ้าที่สว่างไสว และยกขึ้นดื่มอย่างต่อเนื่อง
เบื้องหน้าของเขามีชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่ ชายหนุ่มผู้นั้นจ้องหนิงซือเหยียนเขม็ง แล้วกล่าวว่า “กระบี่ของเจ้า…เกรงว่าคงจะถูกสนิมเกาะเสียแล้ว ! ”
หนิงซือเหยียนเหยียดยิ้ม แต่เขากลับตอบในสิ่งที่มิได้ถูกเอ่ยถาม “เป่ยหวังฉวน…ไปยังภูเขาลั่วเหมยแล้วใช่หรือไม่ ? ”
ชายผู้นั้นคิ้วขมวด “อาจารย์ไปที่ใดศิษย์มิอาจถาม แต่ก่อนจะไปอาจารย์ของข้ากล่าวว่า ซูซูแห่งสำนักเต๋าได้มาเมืองกวนหยุนแล้ว สัญญาสิบปีของอาจารย์กับผู้สังเกตจบสิ้นลงแล้วในปีนี้ ข้าต้องการเข้าไปประลองฝีมือกับแม่นางซูซู เจ้ามาขวางทางข้าเช่นนี้หมายความว่าเยี่ยงไร ? ”
หนิงซือเหยียนดื่มสุราเข้าไปอึกใหญ่ “มิใช่ทุกคนที่จะสามารถเข้าไปในคฤหาสน์จิ้งหูนี้ได้ ในเมื่อข้าคือผู้เฝ้าประตูของที่นี่ ข้าย่อมต้องเฝ้าประตูนี้ให้กับพวกเขา”
คาดไม่ถึงว่าชายผู้นี้คือเยี่ยนกุยหลายบุตรชายของเป่ยหวังฉวน !
รอยยิ้มเหยียดหยามเผยขึ้นบนใบหน้าของเขา “หนิงซือเหยียนที่สง่างาม คาดมิถึงเลยว่าจะตกต่ำถึงขนาดมาเป็นคนเฝ้าประตูให้กับฟู่เสี่ยวกวนแห่งราชวงศ์หยู เจ้าช่างเป็นหน้าเป็นตาให้แก่พวกเราชาวราชวงศ์อู๋เสียจริง ๆ ”
หนิงซือเหยียนมิได้โมโหกับประโยคนี้แม้แต่น้อย สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉยอยู่ดังเดิม
เขามิได้กล่าวอันใดอีก สายตาของเขายังคงมองไปยังดวงดาวบนฟากฟ้า ราวกับรู้สึกว่าดาวเหล่านั้นสวยงามอย่างไร้ที่เปรียบ
เยี่ยนกุยหลายปลดคันศรที่แบกไว้ด้านหลังลง พาดธนูไว้หนึ่งดอก และชี้ไปทางหนิงซือเหยียน “หากข้าต้องการจะเข้าไปให้จงได้ เจ้าจะชักกระบี่ของเจ้าออกมาหรือไม่ ? ”
เมื่อสิ้นเสียงของเขา ประกายสีเงินก็วาดผ่านมา เป็นแสงหนึ่งสาย และก็ได้ยินเสียง “แคร้ง… ! ” ดังขึ้นมา
นั่นคือเสียงของกระบี่ยาวที่กลับคืนสู่ฝัก
สีหน้าของเขาซีดเผือดไปทันพลัน แม้แต่เหงื่อที่ไหลลงมาก็ให้ความรู้สึกหนาวเย็นมากยิ่งนัก
ลูกศรที่เขาพาดไว้บนคันธนู คาดมิถึงว่าจะถูกแสงสีเงินตัดจนขาด เขาไม่แม้แต่จะเห็นว่าหนิงซือเหยียนดึงกระบี่ออกมาเยี่ยงไร !
กระบี่ของหนิงซือเหยียนไม่เพียงแต่จะไม่ขึ้นสนิม กลับเฉียบคมยิ่งกว่าในอดีต เพียงชั่วพริบตานั้นก็ทำให้เขาเข้าใจถึงช่องว่างระยะชั้นฟ้าที่มีต่อกัน ถึงได้เข้าใจว่าหนิงซือเหยียนได้ย่างเข้าสู่ประตูของปรมาจารย์แล้ว !
เพราะหนิงฝาเทียนมีความหลงใหลถึงได้หลงใหลในกระบี่
แต่เพราะเหตุการณ์ที่ผ่านมา หนิงซือเหยียนถึงได้ลืมความหลงใหลในกระบี่ !
นี่มิใช่เพราะเยี่ยนกุยหลายมองออก แต่สองประโยคนี้คือคำวิจารณ์ที่อาจารย์ของเขาเป่ยหวังฉวนได้กล่าวไว้ !
“หากหนิงซือเหยียนลืมกระบี่ไปจนสิ้นแล้ว เขาถึงจะกลายเป็นผู้บรรลุในหนทางวรยุทธ์อย่างแท้จริง”
ในยามนี้เห็นได้ชัดแล้วว่าหนิงซือเหยียนมิได้ลืมกระบี่ไปจนสิ้น เพราะเขาชักกระบี่ออกมาและฟันไปที่ศรจากคันธนูของเขาจนขาดครึ่ง เยี่ยงนั้นเขาจะลืมกระบี่ที่ติดตามเขามานานหลายปีได้จริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ
เยี่ยนกุยหลายเก็บธนู โน้มตัวคำนับ และหันหลังออกไปจากคฤหาสน์จิ้งหู แต่แล้วหนิงซือเหยียนก็ได้ลุกขึ้นหยิบธนูที่หักบนพื้นขึ้นมา เขามองอยู่เนิ่นนาน และนอนลงบนเก้าอี้อีกครา ดื่มสุรา และมองไปยังบนฟากฟ้า
ความเข้าใจของเขาที่มีต่อฟู่เสี่ยวกวนยังคงผิวเผิน แต่เขาก็รู้สึกชื่นชมชายผู้นี้เป็นอย่างมาก
ประการแรกเพราะเขาได้ประพันธ์บทกวีที่ไพเราะอย่าง ‘เจ๋อกุ้ยหลิง’ บน ‘ภาพวาดนกหยวนหยางผู้โศกา’ ประการที่สอง เขาสงสัยหนึ่งในสี่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของใต้หล้าอย่างสำนักเต๋าเป็นอย่างมาก เหตุใดจึงส่งลูกศิษย์จำนวนมากมาติดตามฟู่เสี่ยวกวนกัน
“เยี่ยงนั้น ข้าขายชีวิตให้กับเขาไปเลยดีหรือไม่ ? ”
“เป่ยหวังฉวน ข้าจะรอเจ้ารักษาอาการบาดเจ็บให้หายดี ! ”