นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 336 มันเทศ
ตอนที่ 336 มันเทศ
ฟู่เสี่ยวกวนเดินออกจากจวนนี้ไปพร้อมกับแผนที่เดินเรืออันล้ำค่าสองแผ่น
บัดนี้ยิงฮวากล่าวกับจิ่งเปียนสงเอ้อว่า “ท่านจิ่งเปียน ข้าได้ยินมาว่าที่แคว้นหยูมิมีท่าเรือ ท่านว่าใต้เท้าฟู่ต้องการแผนที่เดินเรือนี้ไปทำไมกัน ? ”
จิ่งเปียนสงเอ้อครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “บางทีอาจเป็นเพราะแคว้นหยูมิมีท่าเรือ เขาถึงได้รู้สึกแปลกใจก็เป็นได้”
ยิงฮวาขมวดคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย “หากว่า…หากว่าเขาเดินทางตามเส้นทางนั้นแล้วนำเรือรบเข้าโจมตีแคว้นเราจะเป็นเยี่ยงไร ? ”
จิ่งเปียนสงเอ้อหัวเราะออกมาเสียงดัง “อย่าว่าแต่แคว้นหยูเลย ต่อให้เป็นแคว้นอู๋ที่มีท่าเรือ แต่ทว่าพวกเขาก็มิได้มีเรือรบ…” เขาชะงักลง แล้วเอ่ยออกมาอีกว่า “ฝ่าบาทมิว่าจะเป็นราชวงศ์อู๋หรือราชวงศ์หยู พวกเขาต่างก็มีที่ดินผืนใหญ่และทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์มากมาย มิต้องใช้ชีวิตท่ามกลางทะเลเยี่ยงพวกเรา ท่านเดินทางมาที่นี่กว่าครึ่งปีแล้วคงจะเห็นว่า ที่ดินของพวกเขาอุดมสมบูรณ์และอุดมไปด้วยผลิตภัณฑ์มากมาย พวกเขาใช้ชีวิตและทำงานอย่างสงบสุขอิ่มเอมใจ ชีวิตของพวกเขาแตกต่างจากพวกเราโดยสิ้นเชิง”
“ที่ทะเลนั้นอันตรายยิ่งนัก พวกเขามิจำเป็นต้องเอาชีวิตมาเสี่ยง ดังนั้นจึงมิมีความเป็นไปได้เลยที่พวกเขาจะรุกรานแคว้นของพวกเรา สิ่งที่พวกเราต้องทำคือสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับแคว้นเหล่านี้และส่งเสริมด้านการค้าระหว่างแคว้น เพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ”
ยิงฮวาพยักหน้าคล้ายกับเข้าใจ ทันใดนั้นสายตาของนางก็เป็นประกายแล้วเอ่ยถามว่า “ในเมื่อท่านฟู่เชิญชวนพวกเราให้ก่อตั้งสถานทูตขึ้น ณ แคว้นหยู…ท่านจิ่งเปียนหลังจากงานชุมนุมวรรณกรรมแห่งราชวงศ์อู๋สิ้นสุดลง ข้าสามารถเดินทางไปดูแคว้นหยูพร้อมกับท่านใต้เท้าฟู่ได้หรือไม่ ? ”
จิ่งเปียนสงเอ้อเข้าใจความคิดขององค์หญิงเป็นอย่างดี หากว่าองค์หญิงเจ็ดสามารถแต่งงานกับฟู่เสี่ยวกวนได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดียิ่ง ได้ยินมาว่าเมืองจินหลิงเป็นเมืองที่มีความรุ่งโรจน์ อีกทั้งฟู่เสี่ยวกวนก็มีตำแหน่งหน้าที่ตั้งแต่อายุยังน้อย หากองค์หญิงเจ็ดได้เป็นภรรยาของฟู่เสี่ยวกวน…ต่อให้เป็นอนุภรรยา ก็ยังมีชีวิตที่ดีกว่าการอาศัยอยู่ที่แคว้นของพวกเขามากนัก
แต่ว่า… “ฟู่เสี่ยวกวนมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอย่างมาก ได้ยินมาว่าเขาและองค์หญิงเก้าแห่งราชวงศ์หยูมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เกรงว่าเขา…”
ยิงฮวาหน้าแดงแล้วก้มลงมองพื้น นางคงคิดมากไปเอง ใต้เท้าฟู่มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วทั้งหล้า จะรับคนจากต่างแคว้นเยี่ยงนางไปเป็นภรรยาได้เยี่ยงไร ?
“ข้าเพียงอยากเห็นว่าเมืองจินหลิงรุ่งโรจน์เพียงใดก็เท่านั้นเอง ข้าเพียงต้องการทำเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้แก่แคว้นของพวกเรา”
“ฝ่าบาท…เรื่องนี้ค่อยเจรจากันอีกครา”
……
……
หลังจากเดินทางออกมาจากสถานทูตของแคว้นหลิวแล้ว เติ้งซิวก็ได้พาฟู่เสี่ยวกวนไปยังแคว้นลี่ต่อ และไม่นาน เขาก็ได้รับแผนที่เดินเรืออีกหนึ่งแผ่น แคว้นลี่นั้นอยู่มิไกลจากแคว้นหยูเท่าใดนัก มีเพียงแคว้นหลางหยากั้นเอาไว้เท่านั้น
หากจะเดินทางจากแคว้นลี่ไปแคว้นหยู จะต้องข้ามผ่านแคว้นหลางหยา เมื่อเข้าเขตแดนหลางหยาแล้วก็จะถึงชายแดนตะวันออกของแคว้นหยู
แต่ทว่าแคว้นหลางหยามิอนุญาตให้แคว้นลี่เทียบท่า ดังนั้นแคว้นลี่จึงมิอาจไปยังแคว้นหยูได้ ส่วนเหตุผลก็คือ…ราชทูตจากแคว้นลี่กล่าวว่า เดิมทีทั้งสองแคว้นนั้นเคยสู้รบกันมาก่อน จึงทำให้มีความสัมพันธ์ที่มิค่อยดีนัก
บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนมิมีอารมณ์ไปจัดการเรื่องนี้ จึงได้เอ่ยลาและเดินทางไปยังสถานทูตหลู่ซ่ง
ฟู่เสี่ยวกวนเดินตามชายชราเข้ามาในสถานทูตหลู่ซ่ง จากนั้นเขาก็ได้กลิ่นหอมอันคุ้นเคย
เขายืนอยู่ที่กลางลานกว้าง แล้วสูดดมเข้าไปเต็มปอดด้วยท่าทางตื่นเต้น แต่เขากลับเอ่ยถามด้วยสีหน้านิ่งเรียบว่า “ท่านฮั่ว อ่า…กลิ่นหอมที่โชยมานี้มาจากที่ใดกัน ? ”
ชายชราผมขาวจึงได้ยิ้มแล้วรีบตอบว่า “เมื่อวานพ่อค้าจากแคว้นของข้าได้เดินทางมาถึงที่นี่และนำสิ่งมิทราบชื่อนี้มาด้วย เล่าว่าขุดมาจากในป่า รสชาติมิเลว ท่านใต้เท้าอยากลองชิมดูหน่อยหรือไม่ ? ”
“หากท่านสะดวก ข้าก็อยากจะขอลองชิมดูสักหน่อย”
ท่านฮั่วเดินไปยังห้องครัว จากนั้นในมือก็ได้ถือมันหวานที่เพิ่งย่างเสร็จเดินออกมาส่งให้กับฟู่เสี่ยวกวน
ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังสิ่งที่อยู่ในมือของเขาด้วยท่าทางดีใจ เขาหักมันหวานนั้นเป็นสองท่อน กลิ่นหวานหอมยั่วยวนใจมากยิ่งนัก
ใช่แล้ว สิ่งนี้… !
“ท่านฮั่ว ท่านยังมีสิ่งนี้อีกหรือไม่ แบบที่ยังมิได้ย่าง ? ”
เขากัดเข้าไปหนึ่งคำ รสชาติหอมหวานละมุนลิ้น เมื่อนึกได้ว่าสิ่งนี้เพิ่งถูกขุดมาจากในป่า อีกทั้งยังมิมีแม้กระทั่งชื่อ หรือว่ายังมิมีการเพาะปลูกในยุคนี้กัน ?
ในชาติที่แล้วมันหวานบางทีก็ถูกเรียกว่ามันเทศ เนื่องจากถูกนำเข้ามาจากต่างประเทศ
สิ่งนี้เดิมทีมาจากอเมริกากลาง และต่อมาชาวสเปนได้นำไปปลูกในฟิลิปปินส์ พวกเขามองว่าสิ่งนี้เป็นของแปลกและห้ามนำออกนอกประเทศโดยเด็ดขาด
กระทั่งในปี ค.ศ.1593 มีชาวจีนที่ทำธุรกิจในฟิลิปปินส์แอบนำสิ่งนี้กลับมาด้วยความยากลำบาก ดังนั้นต้าเซียจึงมีมันเทศกำเนิดขึ้น
แคว้นหลู่ซ่งมีมันเทศอยู่ในมือ ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกตกใจมากยิ่งนัก เหตุผลที่ทำให้เขาตื่นเต้นนั้นเนื่องจากหากสามารถเพาะปลูกสิ่งนี้ได้สำเร็จ ปัญหาด้านอาหารของราชวงศ์หยูก็จะคลี่คลายได้ง่ายขึ้น !
เจ้าสิ่งนี้ปลูกได้ในทุกสภาพดินและภูมิอากาศ ปริมาณผลผลิตก็มากเสียจนน่าแปลกใจ อีกทั้งยังสามารถเก็บรักษาได้ง่าย ที่สำคัญคือรสชาติหวานหอมมากยิ่งนัก
หากเทียบกับธัญพืชต่าง ๆ แล้วนั้น เจ้าสิ่งนี้สามารถสร้างมูลค่าได้มากมายมหาศาล
เติ้งซิวมิเข้าใจว่าเหตุใดฟู่เสี่ยวกวนถึงได้ชื่นชอบสิ่งนี้นักหนา
ท่านฮั่วจากแคว้นหลู่ซ่งก็คิดแบบนั้นเช่นกัน เขายิ้มแล้วเอ่ยว่า “ยังพอมีอยู่บ้างเล็กน้อย หากท่านฟู่ชื่นชอบ เชิญนำไปเถิด”
ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้กินมันเทศที่อยู่ในมืออย่างสบายใจ เมื่อกินเสร็จเขาก็ปัดมือให้สะอาดแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าจะมิเกรงใจแล้ว ! ”
จากนั้นทั้งสองก็ร่วมดื่มน้ำชากันต่อ ฟู่เสี่ยวกวนได้เชิญชวนท่านฮั่วเดินทางไปยังเมืองจินหลิงเช่นกัน ต่อจากนั้นซูเจวี๋ยก็ได้แบกกระสอบขึ้นไหล่ และเดินทางกลับไปยังคฤหาสน์จิ้งหู
พวกต่งชูหลานเดินทางกลับมาแล้ว สีหน้าพวกนางยินดียิ่งและได้เอ่ยว่า “พวกข้าหาที่ตั้งร้านได้แล้ว อยู่ในถนนฮุ่ยจินกลางเมือง เป็นทำเลที่ดียิ่ง ข้าได้สั่งให้คนซ่อมแซมร้านแล้ว คาดว่าอีกมิกี่วันก็คงจะสามารถเปิดร้านได้”
ซูซูมองไปยังศิษย์พี่ใหญ่จากนั้นจึงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจว่า “พวกเจ้าไปขโมยสิ่งใดมา ? ”
ซูเจวี๋ยวางกระสอบลง เขาได้กลิ่นหอมตอนที่ฟู่เสี่ยวกวนกินมันอย่างเอร็ดอร่อย จึงตอบไปว่า “คาดว่าจะเป็นของอร่อย”
ดวงตาของซูซูเป็นประกายขึ้นมาทันที นางรีบเปิดกระสอบดูว่าด้านในคือสิ่งใดกัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะแล้วกล่าวว่า “อย่าแม้แต่จะคิดเชียว สิ่งนี้มีค่ายิ่ง หากเจ้าอยากจะกินต้องรอถึงปลายปี”
หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานก็ล้อมเข้ามาล้อมดูเช่นกัน นางหยิบมันเทศที่มีขนาดประมาณกำมือผู้ใหญ่ขึ้นมา มองมิออกว่ามันมีราคาได้เยี่ยงไร จากนั้นจึงมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน
“สิ่งนี้เรียกว่ามันเทศ เปลือกด้านนอกเป็นสีแดง สามารถเพาะปลูกได้ รสชาติดียิ่ง ประเดี๋ยวข้าจะเผาให้พวกเจ้าชิม แต่ได้เพียงหัวเดียวเท่านั้น มันเทศเหล่านี้คือเมล็ดพันธุ์ ต่อไปพวกเจ้าก็จะได้กินจนเบื่อเลยหละ”
บัดนี้เป็นวันที่ยี่สิบเดือนสาม หากรีบนำสิ่งนี้ส่งไปยังซีซานให้แก่หวางเอ้อ ก็ยังทันได้ผลผลิตตอนปลายปี
เขารีบให้ชุนซิ่วเตรียมกระดาษและพู่กันมา จากนั้นก็เขียนรายละเอียดเกี่ยวกับการเพาะปลูกมันเทศลงไป ต่งชูหลานและคนอื่น ๆ ต่างก็พากันสงสัย เขาเป็นพ่อค้าที่ดินที่เก่งกาจอย่างแท้จริง แม้แต่วิธีเพาะปลูกของป่าเช่นนี้ ก็สามารถบรรยายออกมาได้อย่างละเอียดยิ่ง
หลังจากปิดผนึกจดหมายแล้ว เขาก็ได้มอบมันให้แก่ชุนซิ่ว “เจ้าจะต้องกลับไปที่เมืองหลินเจียง และนำมันเทศกับจดหมายฉบับนี้ไปให้หวางเอ้อ จำไว้ว่าต้องให้เขาด้วยตนเองเท่านั้น ! ”
“จงไปยังเมืองฝานหนิง ไปหาท่านแม่ทัพเสวียผิงกุย และนำจดหมายฉบับนี้ไปให้แก่เขา จากนั้นเขาจะส่งคนไปคุ้มกันเจ้ากลับซีซานเอง”
ชุนซิ่วพยักหน้าจากนั้นก็มิได้รีรอแต่อย่างใด นางรีบนั่งรถม้าออกจากคฤหาสน์จิ้งหูทันที
เมื่อจัดการเรื่องใหญ่เรียบร้อยแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกโล่งอกมากยิ่งนัก
ท้องฟ้ากำลังจะมืดลง ฝานเทียนหนิงได้พาคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา เขาคือซูเตี่ยนเตี่ยน ศิษย์คนที่ห้าแห่งสำนักเต๋านั่นเอง
“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าพบเป่ยหวังฉวนแล้ว ! ”
“เขาอยู่ที่ใด ? ”
“ชางฮ่าย เจี้ยนหลู ! ”