นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 344 อาภรณ์เมฆหมอก
ตำหนักองค์หญิงตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของวังหลัง ห่างจากตำหนักเจิ้งหยางมากเสียทีเดียว
รถม้าของจักรพรรดินีกำลังแล่นเข้าไปบนเส้นทางที่เงียบสงบนี้ โคมไฟทั้งสองข้างทางถูกหมอกบังเสียจนมองเห็นเพียงเงาสีส้มจาง
จักรพรรดินีเซียวเอื้อมมือไปเปิดม่าน ทำให้หมอกชื้นพุ่งเข้าไปในรถม้า ใบหน้าของพระนางจึงดูเลือนรางยิ่ง
แต่ทว่าใบหน้านั้นยังคงยิ้มด้วยความสะใจ ฟู่เสี่ยวกวนตายแล้ว !
จากนี้คาดว่าจะต้องเผชิญหน้ากับองค์จักรพรรดิที่ทรงกริ้ว
ฝ่าบาททรงมีโอรสเพียง 2 คน บัดนี้อู๋คุนโอรสองค์ที่สองของเขา นับจากเวลาคาดว่าน่าจะตายแล้วเช่นกัน เช่นนี้ก็จะเหลือรัชทายาทเพียงคนเดียวแล้ว…ฝ่าบาทคงจะมิทรงให้ผู้อื่นขึ้นมานั่งตำแหน่งจักรพรรดิเป็นแน่ แม้ว่าฝ่าบาทจะมิทรงชื่นชอบองค์รัชทายาท แต่ทว่าตำแหน่งองค์รัชทายาท นี้คงจะนั่งได้อย่างมั่นคงขึ้น
ในเมื่อฝ่าบาททรงควบคุมอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวา เช่นนั้นคงจะคิดวางแผนกับจัวเปี๋ยหลีเอาไว้แล้ว อีกทั้งยังทรงควบคุมองครักษ์หลวง หากจะกระทำเหมือนเมื่อสิบสองปีที่แล้วคาดว่าจะมิได้ ดังนั้นจักรพรรดินีเซียวจึงได้ตระหนักถึงโชคชะตาที่นางจะต้องเผชิญ
ก่อนที่นางจะถูกจับขังในคุกเย็น นางอยากจะพบอู๋หลิงเอ๋อร์อีกสักครา นางอยากจะบอกกับอู๋หลิงเอ๋อร์ว่าฟู่เสี่ยวกวนตายแล้ว !
นางรู้ว่าอู๋หลิงเอ๋อร์จะต้องทุกข์ทรมาน แต่ความเจ็บปวดเช่นนี้จะถูกกำจัดออกไปตามกาลเวลา หลังจากหนึ่งหรือสองปีนางก็จะลืมฟู่เสี่ยวกวนได้สำเร็จ จากนั้นนางก็จะได้พบกับชายในดวงใจ เมื่อนั้นองค์จักรพรรดิจะทรงแต่งตั้งเขาให้เป็นพระสวามี หรือบางทีอู๋หลิงเอ๋อร์อาจจะอยู่ในตำหนักองค์หญิงไปชั่วชีวิต
บนถนนนี้มิมีผู้ใด ช่างเงียบสงบยิ่งนัก
นี่คือชีวิตของสตรี !
นางคิดไปต่าง ๆ นานาจนกระทั่งรถม้ามาถึงตำหนักขององค์หญิง
ภายในตำหนักยังคงมีแสงไฟส่องสว่าง จักรพรรดินีเซียวเสด็จลงมาจากรถม้าแล้วเดินตรงเข้าไปในห้องบรรทมของอู๋หลิงเอ๋อร์
ไฟในห้องบรรทมยังคงส่องสว่างอยู่ ประตูมิได้ถูกปิดลง
พระนางเดินเข้าไปด้านในห้องบรรทมแล้วขมวดคิ้วขึ้น มีบ่าวรับใช้ผู้หนึ่งเดินออกมา แต่ทว่ามิมีร่องรอยของอู๋หลิงเอ๋อร์
“องค์หญิงอยู่ที่ใด ? ”
บ่าวรับใช้ผู้นั้นคุกเข่าลงแล้วตอบกลับด้วยท่าทางหวาดกลัวว่า “ทูลจักรพรรดินี องค์หญิงทรงนำทัพทหารหญิงออกไปแล้วเพคะ ตรัสว่า ตรัสว่า…จะไปช่วยฟู่เสี่ยวกวน”
จักรพรรดินีเซียวได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วเสียจนหัวคิ้วแทบจะติดกัน พระนางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “นางออกไปตั้งแต่เมื่อใด ? ”
“ทูลฝ่าบาท องค์หญิงทรงเสด็จออกไปราว 2 เค่อแล้วเพคะ”
นางจึงเดินมาที่หน้าโต๊ะทรงพระอักษร นั่งลงและมองไปยังกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะแผ่นนั้น
มีกวีบทหนึ่งถูกเขียนลงไป
ตัวอักษรที่งดงามนี้ มองดูมิใช่ลายมือของอู๋หลิงเอ๋อร์
พระนางอ่านกวีนี้ขึ้น
“ไร้ซึ่งความปรารถนา บทประพันธ์สวนแพร์แห่งตำหนักชิงเสียน
มหาชนท่องเที่ยวยามวสันตฤดูเอิกเกริกในทุกปี ดอกแพร์บานสะพรั่งต้อนรับหานสือเจี๋ย
ช่างหอมฟุ้งขาวนวลไร้มลทิน ลำต้นดั่งหยกงาม ขาวปานหิมะ
ค่ำคืนเงียบสงัด สาดแสงครุมเครือ เย็นระเรื่อจันทร์ส่องผ่องอำไพ
ดุจสวรรค์บนผืนพสุธา แสงเงินสาดส่องทั่วหล้า
ดั่งบังอรผู้หาญกล้า ทีท่าอรชร กมลมั่นแลสูงส่ง
สารพันน้อยใหญ่ใคร่ประสงค์ หอมบุษบงมิแม้นเหมือน
เกรียงไกรส่องสะเทือน เดื่อนดุจพรสวงสวรรค์ ปักธรณินไซร้ยากแยกแยะ
มองจากถิ่นสุราลัย แสนวิสุทธ์สกาวตา
ประพันธ์โดยฟู่เสี่ยวกวน เขียนโดยต่งชูหลาน ณ เรือนชิงเสียนเมืองฝานหนิง รัชสมัยเซวียนปีที่ 9 เดือนสาม วันที่สิบห้า
นางหยิบกระดาษขึ้นมา หัวคิ้วสองข้างเริ่มคลายลง จากนั้นคิดทบทวนอย่างละเอียด บุตรนอกสมรสผู้นี้มีความสามารถอย่างแท้จริง หากมองทั่วทั้งใต้หล้าหาได้มีผู้ใดประพันธ์ออกมาได้ยอดเยี่ยมเยี่ยงเขาไม่ ?
น่าเสียดายยิ่ง เกรงว่ากวีบทนี้จะเป็นบทสุดท้ายของเขาเสียแล้ว
ไร้ซึ่งความปรารถนา มุมปากของพระนางเผยอขึ้นแฝงด้วยรอยยิ้มอันเยือกเย็น มนุษย์ทั่วหล้า ผู้ใดกันที่ไร้ซึ่งความปรารถนา ?
ไร้สาระ !
เพียงทำให้หลิงเอ๋อร์ สาวน้อยผู้ไร้เดียงสาหลงเชื่อได้ก็เท่านั้น !
……
……
ผู้ที่บุกเข้าไปในคฤหาสน์จิ้งหูนั่นก็คืออู๋หลิงเอ๋อร์และเหล่าทหารหญิงของนาง
แม้ว่านางจะตะโกนออกไปตั้งแต่ยังมิได้เข้ามาด้านในว่าให้หยุด แต่หาได้มีผู้ใดฟังนางไม่
ดังนั้นเมื่อนางเข้ามาด้านใน จึงได้เห็นภาพซากศพจำนวนมากกองอยู่บนพื้น อีกทั้งดาบและกระบี่ก็กระจัดกระจายอยู่คนละทิศละทาง
ผู้มีฝีมือทั้งสามคน คนหนึ่งตายด้วยกระบี่ของหนิงซือเหยียน อีกสองคนนั้นถูกโหยวเป่ยโต้วฟันขาดเป็นสองท่อน
บัดนี้ผู้ที่อยู่กลางลานกว้างมีเพียงโหยวเป่ยโต้ว หนิงซือเหยียน และเป่ยหวังฉวนที่เพิ่งมาถึงเท่านั้น
พวกเขายืนล้อมใครคนหนึ่งอยู่ เขาผู้นั้นนอนอยู่บนพื้น ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท ที่มุมปากปรากฏเลือดสีแดงสดไหลซึมออกมา
ฟู่เสี่ยวกวนตกอยู่ในภาวะสลบไสล ปืนของเขาเมื่อครู่ได้ปลิดชีพจั่วซีสุ่ย แต่มีดบินของกงซุนนั้นทำให้เขาได้รับบาดเจ็บภายใน แม้ว่าจะมีชุดคราบจักจั่นป้องกันไว้ มีดนั้นจึงมิได้แทงทะลุเข้ามาด้านใน แต่ทว่าแรงของมีดทำให้เขาช้ำในอย่างแสนสาหัส
เขาหมดแรงล้มลงเมื่อมองเห็นหนิงซือเหยียนเดินเข้ามา และวินาทีนั้นเขาได้เก็บปืนเข้าไปในแขนเสื้อ
ในเมื่อหนิงซือเหยียนมาถึงแล้ว อีกทั้งโหยวเป่ยโต้วได้จัดการต้วนหยุนโฉวเรียบร้อยแล้ว ที่นี่คาดว่าจะปลอดภัยหายห่วง
เขามิรู้ว่ายังมีเป่ยหวังฉวนอีกคน หากเขารู้คงมิกล้าเป็นลมล้มพับไปเช่นนี้
เป่ยหวังฉวนก้มตัวลงมา เขาจ้องไปยังหน้าผากของจั่วซีสุ่ย ซึ่งมีรูเล็ก ๆ และเลือดสีแดงสดไหลออกมา
เขาได้ยินเสียงปืนนั้น เป็นเสียงที่ชัดเจนกว่าเมื่อตอนที่อยู่ในเมืองเปียนเฉิง อีกทั้งยังแตกต่างไปจากเสียงที่ยิงมายังเขาในตอนนั้น
เขาเงยหน้ามองดูหนิงซือเหยียน หนิงซือเหยียนแบมือออกแล้วส่ายหัว
อู๋หลิงเอ๋อร์วิ่งเข้ามาแล้วผลักหนิงซือเหยียนออก เมื่อนางเห็นฟู่เสี่ยวกวนนอนหลับตากระอักเลือดอยู่ ดวงตาก็พลันแดงก่ำขึ้นมาทันใด “ทหาร รีบนำเขาส่งเข้าวังหลวง ! ”
ทหารหญิงของนางรีบเข้ามาพยุงฟู่เสี่ยวกวนขึ้น แต่กลับพบว่าเขาบาดเจ็บมิอาจขี่ม้าได้
อู๋หลิงเอ๋อร์ลุกขึ้นยืนแล้วมองค้อนไปยังเป่ยหวังฉวน “ข้าจะแก้แค้นแทนเขาแน่ ! ”
นางแบกฟู่เสี่ยวกวนขึ้นแล้วใช้เชือกแดงมัดตัวเอาไว้ จากนั้นขึ้นขี่ม้า พวกนางมุ่งหน้าเข้าไปยังพระราชวังทันที
เป่ยหวังฉวนมองตามเงาที่จากไปแล้วนึกในใจว่า ข้าเข้ามาช่วยต่างหากเล่า !
อู๋หลิงเอ๋อร์ขี่ม้านำขบวนไปยังถนนที่เงียบสงัด
นางขี่ม้าแหวกหมอกหนานั้นไป เมฆขาวปกคลุมไปทั่วร่าง นางราวกับว่านางกำลังสวมใส่อาภรณ์สีขาวผ่อง
นางควบคุมม้าให้วิ่งไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว ภายในใจได้แต่ภาวนาว่าฟู่เสี่ยวกวนจะตายมิได้ !
เขาเป็นพระเชษฐาของนาง นางมิอยากจะยอมรับในเรื่องนี้ ต่อให้เป็นพระเชษฐา…แล้วเยี่ยงไรเล่า !
น้ำตาของนางไหลริน โชคชะตากำลังเล่นตลกกับนางเยี่ยงนั้นหรือ ?
ไม่ !
ข้ามิต้องการโชคชะตาเช่นนี้ !
หากนี่เป็นชะตาชีวิตที่ถูกลิขิตมาแล้ว ข้าก็จะทำลายมันทิ้งเสีย !
หากที่คือความต้องการของเบื้องบน ข้าก็จะต่อสู้กับฟ้าดินให้ดู !
น้ำตาของนางไหลรินสู่เมฆหมอก คล้ายกลีบดอกไม้ร่วงหล่น
ดอกไม้ใสราวกับกระจก อาภรณ์เมฆหมอก มองดูแล้วงดงามยิ่งแต่ทว่ากลับเย็นเยือกมากเช่นกัน
ม้าศึกวิ่งไปบนถนนฉาวเทียน ซึ่งเป็นถนนที่ตรงไปยังพระราชวังโดยตรง ด้านข้างของถนนสายนี้มีหอคอยเจ็ดชั้น ชื่อเรียกว่าหอคอยฉาวเทียน
ที่ชายคาชั้นสามนั้น มีใครบางคนกำลังยืนอยู่
เขายืนอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก มองไปคล้ายเทวดา
เขามองตามอู๋หลิงเอ๋อร์ที่คล้ายกับกำลังสวมอาภรณ์เมฆหมอกอยู่บนถนนฉาวเทียน จนกระทั่งร่างของอู๋หลิงเอ๋อร์หายไปท่ามกลางหมอกนั้น เขาจึงได้ถอนหายใจออกมาแล้วจากไปอย่างเงียบ ๆ
เขาผู้นี้ก็คือจัวตงหลาย
เขามาจากชางฮ่าย
และเขากำลังจะไปหลานซี
“หากว่านี่คือชะตา…คาดว่าข้าคงจะต้องยอมจำนนแก่ชะตานี้ ! ”