นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 345 แสงเป็นเสื้อคลุม น้ำค้างเป็นเครื่องประทินโฉม
ตอนที่ 345 แสงเป็นเสื้อคลุม น้ำค้างเป็นเครื่องประทินโฉม
สำหรับชาวเมืองกวนหยุน ค่ำคืนวันนี้มิได้แตกต่างไปจากในอดีต
แต่สำหรับขุนนางชั้นสูงในท้องพระโรงแล้ว ค่ำคืนนี้กลับเงียบเสียจนน่าตื่นกลัว
ฝ่าบาทเล่นหมากรุกกับหนานกงอี้หยู่อยู่ที่ตำหนักหยางซินถึงสามกระดาน ดื่มชาสี่กา และออกพระราชโองการถึง 3 ฉบับ
ประการที่หนึ่ง ปลดเซียวจ้านออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการราชองครักษ์ และให้หนานกงจิ่งเหยียนบุตรชายคนเล็กของหนานกงอี้หยู่ขึ้นรับตำแหน่งผู้บัญชาการราชองครักษ์เขตหลวง และเข้ารับตำแหน่งในทันที
ประการที่สอง มีรับสั่งให้จักรพรรดินีเซียวเข้าสู่ตำหนักเย็น และถอนตำแหน่งจักรพรรดินี
ประการที่สาม จับกุมหัวหน้าขันทีสำนักในเกาเสี่ยน นำไปขังคุกนักโทษประหาร รอพิพากษาหลังฤดูใบไม้ร่วง
เป็นพระราชโองการที่แสนเรียบง่าย อีกทั้งมิได้กล่าวถึงที่มาที่ไปแต่อย่างใด
และพระราชโองการทั้งสามฉบับนี้ได้ร่างขึ้นมาในค่ำวันนั้น แม้แต่ขุนนางอีกมากมายก็ยังมิทราบถึง
แน่นอนว่า อัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาจัวอี้สิงได้รับข่าวทั้งสามนี้ในทันที ในยามนั้นเขากำลังดื่มชาอยู่กับโจวถงถงแห่งหอเทียนจีในห้องอักษร
“ดังนั้น… เดิมทีแล้วนี่คือหมากกระดานหนึ่งที่ฝ่าบาทเป็นผู้วางเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
โจวถงถงนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทีเกียจคร้าน “ข้าได้บอกเจ้าไปเนิ่นนานแล้ว ว่ามิจำเป็นต้องคิดถึงเรื่องนี้ให้มาก คิดมากไปก็ปวดหัวเสียเปล่า”
“เขาเป็นบุตรนอกสมรสของฝ่าบาทจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ? ” จัวอี้สิงยังคงยากที่จะเชื่อได้ลง และกล่าวเสริมขึ้นมาอีกว่า “หากเป็นเยี่ยงนั้นจริง เหตุใดไทเฮาจึงมินำบันทึกเมื่อสามปีนั้นของฝ่าบาทออกมาเผยสู่สาธารณชนกัน ? ”
เพียงแค่นำบันทึกเมื่อสามปีที่แล้วฉบับนั้นเปิดเผยออกมา ก็สามารถพิสูจน์ได้อย่างง่ายดายแล้วว่าฟู่เสี่ยวกวนคือบุตรชายของฝ่าบาทและสวี่หยุนชิง แต่ไทเฮาก็มิทรงทำเยี่ยงนั้น
“ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของเจ้าคือการคิดไปเอง ! ”
โจวถงถงขยับตัวเล็กน้อย และกล่าวอีกว่า “นี่คือเรื่องของตระกูลสวรรค์ ถึงแม้เจ้าจะเป็นถึงอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวา แต่ก็ยังเป็นเพียงแค่ขุนนางของฝ่าบาท ฝ่าบาทกล่าวว่าฟู่เสี่ยวกวนคือบุตรชายของเขา ก็ย่อมต้องเป็นเยี่ยงนั้น เหตุใดจะต้องสืบสาวราวเรื่องกัน แต่เจ้าจงทราบไว้ว่าการกระทำที่เจ้าคิดว่าตนเองทำถูกแล้วนั้น ฝ่าบาทรับรู้ทุกอย่าง หากฝ่าบาทมิตระหนักถึงการทำงานที่เหน็ดเหนื่อยของเจ้า และในวันนี้หากบุตรชายของเจ้าจัวเปี๋ยหลีได้ร่วมมือกับผู้บัญชาการราชองครักษ์ไป…หากข้าต้องการดื่มชากับเจ้า เกรงว่าคงจะต้องพบเจอกันในคุกใหญ่เสียแล้ว”
โจวถงถงส่ายหน้า “เหตุใดเจ้ามิเรียนรู้จากหนานกงอี้หยู่ คิดเรื่องราวให้ง่ายขึ้นอีกหน่อย และทำไปตามพระประสงค์ของฝ่าบาท เยี่ยงนั้นบุตรชายคนเล็กของเจ้าก็จะได้เป็นผู้บัญชาการราชองครักษ์ของเขตหลวง ฝ่าบาท…มิใช่ฝ่าบาทในอดีตอีกต่อไปแล้ว ในปีนั้นที่ตระกูลเซียวขึ้นมามีอำนาจ เจ้าเองก็ใช้วิธีการไปเสียมากมาย แต่ในตอนนี้เล่า ? ”
“พระนางคิดเรื่องนี้ผิดมหันต์ นางคิดว่าหากสังหารฟู่เสี่ยวกวนแล้ว องค์รัชทายาทก็คือองค์รัชทายาท พระนางเมินเฉยต่อฝ่าบาทที่ยังหนุ่มแน่น หากฝ่าบาททรงยินยอม คลอดองค์ชายมาอีกสักสองสามพระองค์ก็ยังทันการ พระนางคิดว่าไพ่ในมือของตนเองนั้นมีอยู่มากมาย แต่พระนางคงหลงลืมไปว่าราชวงศ์อู๋ในใต้หล้านี้ ท้ายที่สุดก็เป็นของฝ่าบาท และเจ้า…ก็ก่อปัญหาเช่นเดียวกับพระนาง หากมิใช่เพราะว่าเห็นแก่เจ้าที่ส่งหลานชายของเจ้าจัวตงหลายไปรายงานต่อเป่ยหวังฉวนที่เจี้ยนหลูแล้ว จวนอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาของเจ้าหลังนี้ น่ากลัวว่าจะถึงคราวจบสิ้นเสียแล้ว”
สีหน้าของจัวอี้สิงมิได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด เขากลับรินชาสองถ้วย ทันใดนั้นก็หัวเราะขึ้นมา “แต่สถานการณ์โดยรวมในบัดนี้ก็สงบลงแล้ว ท่านยังมิไปอีกหรือ ? ”
“เยี่ยงนั้นข้าขอตัว ! ”
โจวถงถงลุกขึ้นยืน ปัดสะโพกเล็กน้อย และเดินออกไปจากจวนอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวา
หลังจากที่โจวถงถงออกไปได้มินาน ก็ได้มีชายร่างกำยำเดินเข้ามาภายในห้องอักษร เขาคำนับจัวอี้สิง และเอ่ยถามว่า “ท่านพ่อ จบลงแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
จัวอี้สิงดื่มชาหนึ่งอึก และเหลือบสายตามองบุตรชายของเขา
เขาคือจัวเปี๋ยหลี แม่ทัพใหญ่กองทหารม้าของราชวงศ์อู๋คนปัจจุบัน เขาอายุเพียง 40 ปีเท่านั้น
“จบลงไปแล้ว ถือว่าดี ผลลัพธ์ดีกว่าที่ข้าจินตนาการเอาไว้มาก วันรุ่งขึ้น เจ้าจงไปเขียนหนังสือลาออกเสีย นี่มิใช่การหักแขนเพื่อความอยู่รอด แต่นี่ก็เพื่ออนาคตของเจ้า”
โจวเปี๋ยหลีคิ้วขมวดนิ่ว เขามิเข้าใจความหมายของมัน แต่เขาเชื่อในสัมผัสและสายตาของบิดา
“ขอรับ”
“หลังจากที่ฝ่าบาทลงนามอนุมัติ เจ้าจงไปภูเขาลั่วเหมย ณ ชางฮ่าย”
จัวเปี๋ยหลีผงะ จัวอี้สิงจึงกล่าวอีกว่า “วรยุทธ์ของเจ้าหยุดอยู่ที่ขั้นหนึ่งมานานหลายปีแล้ว เจ้าในตอนนี้ต้องบำเพ็ญตนอย่างสงบ เพื่อทะลวงเป็นปรมาจารย์โดยเร็วที่สุด”
“ระดับปรมาจารย์แห่งราชวงศ์อู๋มิใช่มีเป่ยหวังฉวนและโหยวเป่ยโต้วแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ท้ายที่สุดดวงอาทิตย์ก็ต้องลาลับขอบฟ้าไป พวกเขา…ก็เป็นดังเช่นดวงอาทิตย์ที่ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว”
…..
…..
ตำหนักหยางซิน
จักรพรรดิเหวินนั่งลงบนเตียง ที่นอนอยู่บนเตียงคือฟู่เสี่ยวกวน เขาใบหน้าซีดเผือดและยังมิตื่นขึ้นมา
หมอหลวงอาวุโสหลายคนกำลังยุ่งวุ่นวาย ภายในห้องจึงมีกลิ่นของยาจีนอยู่อย่างตลบอบอวล
จักรพรรดิเหวินมองพินิจใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ประณีตของฟู่เสี่ยวกวน ในแววตาดูอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น และเต็มไปด้วยคำชมเชย
เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เขาก็มิได้หลบซ่อนตัวที่จายซิงถาย
แต่ในสายตาของหนานกงอี้หยู่มันกลับดูโง่งม นักวรรณกรรมผู้หนึ่ง คาดมิถึงว่าจะไม่เข้าใจที่จะหลีกเลี่ยงหายนะ เห็นได้ชัดว่าเป็นหายนะที่ใกล้เข้ามา แต่คาดมิถึงว่าจะยังแบกรับมันเอาไว้ เยี่ยงนี้โง่หรือไม่ ?
รอยน้ำตาบนใบหน้าของอู๋หลิงเอ๋อร์ยังมิแห้งเหือดดี มองดูใบหน้าที่ซีดขาว ก็รู้สึกปวดใจยิ่ง
จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นยืน และกล่าวกับอู๋หลิงเอ๋อร์ว่า “เขามิได้เป็นอันใด มานั่งกับพ่อเถอะ…” เขาหันกลับไปมองหนานกงอี้หยู่ “เจ้ากลับไปเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องเริ่มแต่เช้า จำไว้ว่าต้องให้สำนักดาราศาสตร์จัดทำระเบียบของงานบวงสรวงสู่สวรรค์ขึ้นมา…และฟู่เสี่ยวกวนจะต้องไปเข้าร่วม”
หนานกงอี้หยู่ตกตะลึง เมื่อผ่านเรื่องค่ำคืนนี้ไป เขาถึงได้เข้าใจแล้วว่าชายผู้นี้คือบุตรนอกสมรสของฝ่าบาทอย่างแท้จริง ทั้งยังได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทอีกด้วย ในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนต้องไปวันบวงสรวงสู่สวรรค์ หลังจากที่กลับมาแล้วก็จะได้ทำพิธีเซ่นไหว้ที่วัดไท่เมี่ยว
ฟู่เสี่ยวกวนก็จะได้เปลี่ยนแซ่ การลงนามบนตำราทองคำคือเรื่องน้ำหลากมาเมื่อเขื่อนสร้างเสร็จ ต่อจากนี้ความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ต่อไปก็คือปลดตำแหน่งองค์รัชทายาท
เรื่องนี้ตนเองจำต้องใช้พลังอย่างหนักเพื่อจัดการให้ดี และอย่าได้สับสนอีก
เขาโน้มตัวและถอยเท้าไป จักรพรรดิเหวินได้พาอู๋หลิงเอ๋อร์ไปยังห้องอักษร
“เสด็จแม่ของเจ้าลงมือกับฟู่เสี่ยวกวน ดังนั้นพ่อจึงปลดเสด็จแม่ของเจ้า ให้เข้าตำหนักเย็น ในเรื่องนี้ พ่อควรจะแจ้งให้เจ้าทราบ”
อู๋หลิงเอ๋อร์ตื่นตะลึง ดวงตาเบิกกว้าง เสด็จแม่เป็นผู้ลงมือทุกอย่างเยี่ยงนั้นหรือ ?
เหตุใดเสด็จแม่ถึงต้องทำเยี่ยงนี้ด้วย ?
แต่นางก็ตระหนักถึงเหตุและผลได้ในฉับพลัน ถึงได้ทราบว่าตนเองมัวแต่คะนึงถึงแต่ฟู่เสี่ยวกวน จึงคาดมิถึงว่าจะเป็นเช่นนี้ไปได้
ในตอนนี้เรื่องก็ได้เกิดขึ้นไปแล้ว จนไร้หนทางจะย้อนกลับไป บัดนี้ในหัวของนางตกอยู่ในความขัดแย้งที่รุนแรง
ด้านหนึ่งคือฟู่เสี่ยวกวนที่นางเอาแต่คะนึงถึง อีกด้านหนึ่งคือเสด็จแม่ที่รักนางเป็นอย่างยิ่ง… นั่นทำให้จิตใจของนางเกิดความยุ่งเหยิง มิรู้ว่าควรจะเผชิญหน้าและยอมรับมันเยี่ยงไร
“พ่อรู้ว่าเรื่องนี้มันทำให้เจ้าเจ็บปวด แต่พ่อจำเป็นต้องทำเยี่ยงนี้ มิเช่นนั้นปัญหาก็จะมิมีที่สิ้นสุด”
ต่อจากนั้นอู๋หลิงเอ๋อร์ก็ไม่ได้ยินว่าจักรพรรดิเหวินกำลังตรัสถึงสิ่งใด
หยาดน้ำตาของนางไหลลงมาอีกครา หลังจากนั้นก็หันหลังกลับวิ่งออกไป วิ่งเข้าไปในเมฆหมอก และไม่ทราบว่าจะไปยังแห่งหนใด
…..
ท้องฟ้าค่อย ๆ สว่างขึ้น เมฆหมอกปกคลุมเมืองหลวง บนกวนหยุนถายสามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของเมฆหมอกที่ปกคลุมรอบตัวเมืองเอาไว้ได้อย่างชัดเจน
อู๋หลิงเอ๋อร์นั่งลงด้านล่างต้นสนเก่า นั่งอยู่เยี่ยงนั้นทั้งคืนพลางครุ่นคิดไปด้วย
ใบหน้าของนางยังคงมีร่องรอยของหยาดน้ำตา นางมองไปที่เส้นขอบฟ้าที่สว่างไสวขึ้นเรื่อย ๆ เป็นความสวยงาม เป็นความกว้างใหญ่ที่อลังการยิ่ง
นางเช็ดหน้าเบา ๆ ใบหน้ารูปไข่ทั้งเย็นและเปียกชื้น นั่นคือน้ำค้างที่ทิ้งตัวมาจากเมฆหมอก
นางใช้น้ำค้างเช็ดรอยคราบน้ำตาบนใบหน้าจนสะอาด ใบหน้าที่ขาวผ่องรับแสงแดดอ่อน ๆ จนบานสะพรั่งและมีสีสัน
“เสด็จแม่ เขามิได้ปรารถนา เดิมทีเขานั้นมิสามารถคุกคามตำแหน่งองค์รัชทายาทได้อยู่แล้ว เหตุใดเสด็จแม่จึงต้องทำเช่นนี้ด้วย ! ”
“หม่อมฉันจะช่วยเสด็จแม่ แต่หม่อมฉันจะมิมีทางให้อภัยเสด็จแม่เป็นอันขาด ! ”
“ขออภัยเพคะ ! ”
นางหันหลังจากไป ยืนหยัดอย่างเด็ดเดี่ยว โดยสวมเสื้อตัวใหญ่ที่ปักลายเมฆเรืองรอง