นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 358 เด็ดขาด
ตอนที่ 358 เด็ดขาด
ถังจู้กั๋วเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ เขาลอบนึกในใจว่านี่เพิ่งจะผ่านไปได้เพียงมินานมิใช่หรือ ?
เหวินชังไห่มองไปยังธูปดอกนั้น ธูปเพิ่งจะมอดไหม้ไปเล็กน้อยเท่านั้น
ซั่งเหลียนทั้งสองแผ่นนั้นมิได้ง่ายเลย บัณฑิตทั้งหลายนับพันคนจากแต่ละแคว้นล้วนเป็นผู้มากความสามารถ เกรงว่าพวกเขาเหล่านั้นยังมิทันจะเข้าใจในความหมายดี แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนกลับกำลังจะเริ่มเขียนแล้ว !
เจ้าเด็กหนุ่มนี่เป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง !
แต่ฝ่าบาททรงมิฉลาดเท่าใดนัก เหตุใดเขาจึงได้มีบุตรอันชาญฉลาดเยี่ยงนี้กัน ?
หรือจะเป็นเพราะสวี่หยุนชิงที่เฉลียวฉลาดกัน ?
ความคิดเหล่านี้เขาทำได้เพียงแค่คิดในใจ และย่อมมิกล้ากล่าวออกไปเป็นแน่
เยียนหานยวี่และท่าป๋ายวนมองหน้ากัน จากนั้นทั้งสองก็ได้เผยถึงความตกตะลึงออกมา
“ข้ามิเชื่อ ! ”
“ข้าก็มิเชื่อ ! ”
“ดังนั้นข้าคิดว่าเขาเพียงต้องการรับมือเท่านั้น ! ”
“เกรงว่าเขาจะเพียงต้องการทำให้พวกเราตกใจ จึงใช้วิธีนี้ทำให้คนอื่น ๆ พากันลนลาน อย่าลืมว่าบัณฑิตที่เขาพามาด้วยทั้งร้อยคนนั้น หากผู้ใดได้รับคัดเลือกให้เป็นอันดับหนึ่ง ก็จะเป็นเกียรติแก่ราชวงศ์หยูและต่อตัวเขาเองด้วย เพราะเขาคืออาจารย์ของบัณฑิตเหล่านั้น ! ”
“ท่านเยียนกล่าวได้มีเหตุมีผลยิ่ง ! ”
การคาดเดาเช่นนี้มิใช่เพียงเยียนหานยวี่และท่าป๋ายวนที่คิดได้ แต่บัณฑิตทั้งหลาย ณ ที่นั้นเมื่อตั้งสติได้ต่างก็พากันคิดเยี่ยงนั้น
เช่นศิษย์ทั้งหกแห่งหลานซี และเช่นคุณหนูถังซาน
“เขาก็เพียงแค่ทำท่าทางไปเช่นนั้น พวกเราอย่าได้ถูกเขาหลอกลวงเลย ซั่งเหลียนทั้งสองแผ่นนั้นความหมายลึกซึ้งยิ่ง ต่อให้เป็นเทพเหวินฉวี่ซิงลงมาจุติก็คงมิอาจต่อเซี่ยเหลียนที่งดงามได้ในเพียงเวลาเท่านี้ ดังนั้นทุกท่าน นี่หมายความว่าเขาถอดใจแล้ว ที่พวกเราควรเป็นกังวลคือบัณฑิตแห่งราชวงศ์หยูอีกร้อยคนนั่นต่างหาก เกรงว่าจะมีเพชรน้ำดีซ่อนอยู่ ! ”
คุณหนูถังซานครุ่นคิดถึงคำเอ่ยเมื่อครู่ของบัณฑิตราชวงศ์อู๋ และคิดว่าสมเหตุสมผล นางรู้สึกว่าฟู่เสี่ยวกวนช่างทำตัวน่ารังเกียจเสียจริง !
หากจะเอ่ยว่า ยังมีผู้ใดที่เชื่อว่าฟู่เสี่ยวกวนคิดเซี่ยเหลียนออกแล้วจริงหรือไม่นั้น นอกจากบัณฑิตแห่งราชวงศ์หยูร้อยกว่าคนแล้ว ก็มีเพียงคูฉานเท่านั้นที่เชื่อว่าเขาต่อซั่งเหลียนสองบทนั้นได้แล้วอย่างแท้จริง !
ฟู่เสี่ยวกวนสามารถกล่าวบทสวดพระโพธิสัตว์นั้นออกมาได้ในทันที จึงทำให้เขาบรรลุ นั่นคือผู้มีความสามารถอย่างแท้จริง !
บทสวดพระโพธิสัตว์นั้น แต่ละประโยคช่างลึกซึ้งยิ่ง หากฟู่เสี่ยวกวนมิได้ประพันธ์ออกมาต่อหน้าเขา หากเขามิได้พบเห็นด้วยตาตนเอง เขาก็คงจะมิเชื่ออย่างแน่นอนว่าชายอายุเพียง 17 ปีจะเป็นเจ้าของผลงานนั้น
ความสามารถทางธรรมของฟู่เสี่ยวกวน เกรงว่าจะสูงถึงระดับบรรลุได้ด้วยตนเอง !
หากเป็นสำนักเต๋าจะกล่าวว่าเป็นผู้รู้โดยกำเนิด ส่วนนิกายฝูนั้นจะกล่าวว่าบรรลุได้ด้วยตนเอง ทั้งสองสิ่งนี้คือสิ่งเดียวกัน นั่นคือเป็นผู้ที่ฟ้าลิขิตมาแล้วนั่นเอง !
เนื่องจากเขาเองก็มิอาจอธิบายได้ จึงทำได้เพียงกล่าวว่าเป็นผู้ที่ฟ้าลิขิตมา !
เช่นนั้นการเขียนเซี่ยเหลียนทั้งสองแผ่นนี้ ก็คงมิใช่เรื่องยากอันใดสำหรับเขา
คูฉานมองไปยังเยาวชนเหล่านั้นแล้วเผยอยิ้ม นึกในใจว่า…พวกคนธรรมดาเหล่านี้ มิรู้เสียแล้วว่าคู่แข่งขันของตนแข็งแกร่งเพียงใด !
ต่งชูหลานฝนหมึกเรียบร้อยแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนยกแขนเสื้อขึ้น จากนั้นก็หยิบพู่กันขึ้นมาจึงได้รู้ว่าแผลบริเวณที่ถูกกงซุนทำร้ายนั้นยังเจ็บอยู่
เขาครุ่นคิดแล้วเงยหน้าขึ้นมองเหวินสิงโจวที่อยู่บนเวที เนื่องจากเวทีนี้มีขนาดใหญ่และสูงเป็นอย่างมาก เขาจึงได้ตะโกนเสียงดังว่า “ท่านอาจารย์เหวินขอรับ มือขวาของข้าบาดเจ็บ สามารถให้ผู้อื่นเขียนตามข้ากล่าวได้หรือไม่ ? ”
บัณฑิตที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างพากันอุทานออกมา ให้ตายสิ เสแสร้งแกล้งทำอย่างแท้จริง หากเขียนมิได้ก็มิต้องเขียน อย่ามาทำลายสมาธิของข้าได้หรือไม่ !
เหวินสิงโจวครุ่นคิดแล้วหารือกับถังจู้กั๋ว “กฏระเบียบมิอาจเปลี่ยนแปลงได้ เจ้าจะต้องเขียนด้วยตนเองเท่านั้น ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกอึดอัดยิ่งนัก เขาถอนหายใจแล้วคิดว่า เดิมทีเขาก็เขียนอักขระไม่น่ามองอยู่แล้ว บัดนี้มือเจ้ากรรมยังมาบาดเจ็บอีก จะมิเขียนน่าเกลียดกว่าเดิมเยี่ยงนั้นหรือ ?
บัณฑิตที่มองเห็นฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดเช่นนั้น พวกเขาก็พากันหัวเราะเยาะและซุบซิบนินทาว่า
“ข้าละนับถือเขาจริง ๆ แสดงละครได้ยอดเยี่ยมยิ่ง ! ”
“ข้าได้ยินมาว่าตัวอักษรที่เขาเขียนนั้นน่าเกลียดเสียจนผู้พบเห็นถึงกับร้องไห้ คาดว่าจะกลัวกรรมการมิให้คะแนนเป็นแน่”
“ยกข้ออ้างขึ้นมามากมายทำไมกัน ในสมองมิมีอันใดเลยด้วยซ้ำไป เพียงแค่ทำท่าทางมิให้เสียหน้าในฐานะผู้มีความสามารถที่โด่งดังไปทั่วหล้า พวกเจ้าคิดว่าเป็นเรื่องจริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“อย่าเอะอะเสียงดังไป รีบ ๆ คิดเข้าเถิด จะไปยุ่งกับคนบ้าเยี่ยงเขาทำไมกัน ? ”
“……”
เมื่อทุกคนเริ่มสงบลง ฟู่เสี่ยวกวนเองก็เริ่มลงมือ
เขาอยากจะเขียนตัวอักษรให้สวยที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ทว่ากลับมิเป็นไปตามคาด เมื่อเขาวางพู่กันลงบนกระดาษเส้นแดงนั้น มองไปยิ่งมิน่ามองเข้าไปใหญ่
ต่งชูหลานเบ้ปากเหล่มองเขา หยูเวิ่นหวินหยิกเข้าไปที่แขนของเขาอย่างจัง ซูซูเอียงศีรษะเข้าไปมองแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าเขียนภาษาฝานเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนมือสั่น เขารู้สึกแย่ขึ้นกว่าเดิมเสียอีก แต่ทว่าต่งชูหลานกลับเบิกตากว้าง ตัวอักษรที่ฟู่เสี่ยวกวนเขียนเหล่านี้แม้จะมิน่ามอง แต่ก็ยังสามารถอ่านออกมาได้ เซี่ยเหลียนนี้…
นางสูดหายใจเข้าลึก เซี่ยเหลียนนี้ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง !
หยูเวิ่นหวินก็มองไปยังเซี่ยเหลียนนั้นด้วยสีหน้าชื่นชม กระทั่งรู้สึกว่าตัวอักษรเหล่านี้มิได้น่าเกลียดเสียจนเกินไป
ฟู่เสี่ยวกวนเขียนตุ้ยเหลียนแผ่นที่หนึ่งเรียบร้อยแล้ว ต่งชูหลานหยิบมันขึ้นมาวางไว้ข้าง ๆ ด้วยความระมัดระวัง ฟู่เสี่ยวกวนเติมหมึกแล้วสัมผัสปลายพู่กันไปบนกระดาษนั้นเพื่อเขียนตุ้ยเหลียนแผ่นที่สอง
ในที่นี้นอกจากสาวงามทั้งสามนางและซูโหรวแล้ว มีเพียงเกาหยวนหยวนเท่านั้น
เกาหยวนหยวนยืนอยู่ด้านหลังฟู่เสี่ยวกวน จึงทำให้บัณฑิตทั้งหลายมองไม่เห็นฟู่เสี่ยวกวนแม้แต่น้อย อีกทั้งท่าทางตกตะลึงของต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินเมื่อครู่ ก็มิมีคนได้ยิน
ซูซูรู้สึกประหลาดใจยิ่ง จึงได้เอ่ยถามว่า “ท่านพี่ทั้งสอง เขาเขียนได้…ยอดเยี่ยมเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“น้องสาวซูซู มิใช่เพียงแต่ยอดเยี่ยมเท่านั้น ! ”
“เขาอาจจะได้เป็นผู้ชนะเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เป็นเยี่ยงนั้น ! ”
ซูซูกัดขนมที่อยู่ในมือเข้าไปคำหนึ่ง เคี้ยวเสียจนแก้มป่องแล้วกล่าวว่า “มิสนุกเลย”
ซูโหรวเงยหน้ามองดูซูซูอย่างละเอียด สีหน้าของนางปรากฏความภาคภูมิใจขึ้น !
ฟู่เสี่ยวกวนเขียนเสร็จสิ้นแล้ว เขามิได้หันหลังกลับไปมองบัณฑิตเหล่านั้น แต่กลับพาทั้งคนทั้งสี่อ้อมไปด้านหลังพระพุทธรูปแล้วตรงไปยังทะเลสาบเทียนหู
แสงอาทิตย์ส่องกระทบมายังทะเลสาบเทียนหู สายลมในฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านมาเบา ๆ มองเห็นแสงระยิบระยับสีทองเรืองรอง เผยให้เห็นถึงความสดใสของทะเลสาบ
มิไกลออกไปนั้นก็คือหอป๋อเสวีย
ขณะเดียวกัน ไทเฮาก็ทรงประทับอยู่ ณ บริเวณหน้าต่าง ทอดพระเนตรไปยังแสงสะท้อนนั้นแล้วคิดถึงเรื่องบางเรื่องอยู่
อาจจะเป็นเพราะเหนื่อยล้า หรืออาจเพราะแสงจากทะเลสาบค่อนข้างสว่างเสียจนแสบตา พระนางจึงละสายตามา บังเอิญพบเข้ากับฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ที่ติดตามเขามา
ในที่นี้ นอกจากบัณฑิตและขุนนางผู้รับผิดชอบการแข่งขันแล้ว มิมีผู้อื่นเข้ามาปะปน เช่นนั้น คนกลุ่มนั้นคือผู้ใดกัน ?
พระนางโบกมือให้เสนาบดีกวนหลี่เตี้ยนฉงซาน จากนั้นฉงซานก็รีบตรงเข้ามา
พระนางชี้ไปยังนอกหน้าต่าง เมื่อฉงซานมองเห็นผู้มาเยือนแล้วเขาก็ตกตะลึงไปทันพลัน
“ทูลไทเฮา ชายหนุ่มผู้นั้นคือฟู่เสี่ยวกวนพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ไทเฮาทรงขมวดคิ้วแล้วตั้งใจมองดู แต่สายตานั้นฝ้าฟาง ทำให้มองเห็นได้มิชัดเท่าใดนัก
“เขามาที่นี่ทำไมกัน ? ”
“…หรือว่า ข้าน้อยจะไปถามดูดีหรือไม่ ? ”
“มีสิ่งใดต้องถามกัน ? เกรงว่าจะมาหาแรงบันดาลใจเป็นแน่”
ไม่ว่าจะเป็นไทเฮาหรือว่าฉงซาน อีกทั้งนักปราชญ์ทั้งเจ็ด พวกเขาล้วนคิดไม่ถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเขียนคำตอบเสร็จสิ้นแล้ว ความยากของซั่งเหลียนทั้งสองนั้นพวกเขาย่อมรู้ดี ต่อให้เป็นฟู่เสี่ยวกวน ต่อให้เขาคิดเซี่ยเหลียนได้แล้ว ก็ควรจะตรวจดูอีกสักหน่อยเพื่อให้สวยงามมากยิ่งขึ้น
ในขณะเดียวกัน ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากในหอป๋อเสวียอย่างรีบร้อน