นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 361 มาลิ้มลองด้วยกันเถิด
ตอนที่ 361 มาลิ้มลองด้วยกันเถิด
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เก็บเรื่องนั้นมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
เยี่ยงไรเสียผลการตัดสินจะถูกประกาศให้ทราบกันถ้วนหน้า ณ หลิวหยุนถายแห่งทะเลสาบสือหลี่ในค่ำที่ยี่สิบแปดเดือนสาม พวกเขาหยุดพักอยู่ที่ทะเลสาบเทียนหูอีกชั่วครู่ จากนั้นก็ได้เดินทางกลับตำหนักหยุนชิง
พวกเขาเดินทะลุลานเบื้องหน้าพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยคำทักทายกับเหล่าบัณฑิตแห่งราชวงศ์หยู แล้วได้แวะไปสนทนากับฝานเทียนหนิงเช่นกัน
“ท่านทำเยี่ยงนี้เท่ากับมิให้ความเคารพต่อการแข่งขัน ! ”
“น้องฝานเอ่ยเช่นนี้หมายความว่าเยี่ยงไร ? ”
“จนถึงเวลานี้ธูปศักดิ์สิทธิ์ได้มอดไปเพียงแค่ครึ่งก้านเท่านั้น ยังมิมีบัณฑิตคนที่สองไปเขียนต่อจากท่านเลยด้วยซ้ำ แต่ท่านกลับปล่อยปะละเลยเช่นนี้ หรือมีสิ่งใดที่ข้าเข้าใจผิดไป ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า “น้องฝานเข้าใจผิดไปแล้วเสียจริง ๆ ค่อย ๆ ไตร่ตรองช้า ๆ ไว้กลับไปแล้วข้าจะอธิบายขยายความให้”
เขาเอ่ยเสร็จแล้วก็ได้เดินจากไป !
ฝานเทียนหนิงจะทำเยี่ยงไรได้อีก เขาทำได้เพียงส่ายหน้า แล้วจึงถอนหายใจยาวออกมา มีหลายคนรู้สึกเสียดายแทนฟู่เสี่ยวกวนจากใจจริง
ฟู่เสี่ยวกวนและคณะได้เดินออกจากลานประลอง จากนั้นได้มีหลายสายตาจับจ้องมาที่เขา ที่เป็นเช่นนี้นั้นไร้ซึ่งเหตุผลอื่นใด มิมีใครคิดว่าเขาจะมีความสามารถที่จะแต่งคำสัมผัสคล้องจองออกมาได้ สายตาของปัญญาชนเหล่านั้นจึงเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ใบหน้าของพวกเขาเปื้อนรอยยิ้มที่รู้สึกสะใจบนความทุกข์ของผู้อื่น
“ฟู่เสี่ยวกวน นึกว่าจะแน่สักแค่ไหนกัน”
“ข้าว่าราชวงศ์หยูคงจงใจสร้างตัวละครหนุ่มผู้เป็นอัจฉริยภาพขึ้นมาแล้วกล่าวขานเสียเกินความเป็นจริง”
“งานแข่งขันกวีครานี้ก็เลยได้เผยธาตุแท้ของตนมาแล้วสินะ พวกข้าจะเปิดโปงนิสัยที่แท้จริงของผู้นั่นเอง ! ”
“……”
ระหว่างที่กำลังเดินอยู่ในลานฟู่เสี่ยวกวนได้ยินเสียงของคนรู้ไม่จริงมานักต่อนัก แต่เขาก็มิได้เก็บมันมาใส่ใจ มีเพียงแต่เกาหยวนหยวนศิษย์พี่สองเท่านั้นที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หนอยแน่ ! ไอ้พวกสวะบังอาจมากล่าววาจาเหยียดหยามศิษย์น้องของข้าเยี่ยงนั้นหรือ !
หากฟู่เสี่ยวกวนไร้เหตุผล เขาคงจะแปลงร่างเป็นก้อนกลม ๆ กลิ้งใส่ไอ้พวกสวะนี้เสียให้ผิวหนังถลอกกันไปข้างหนึ่ง !
พวกเขาทั้งหมดได้เดินทางกลับมายังตำหนักหยุนชิงแล้ว เขาหยุดอยู่ตรงเบื้องหน้าประตูเพื่อมองป้ายชื่อตำหนักด้วยความตั้งใจอีกครา แล้วต่งชูหลานก็ได้โพล่งถามออกมา “ถ้าหากว่าเจ้าเป็นโอรสในจักรพรรดิเหวินอย่างแท้จริง เจ้าจะกลับไปเหยียบแผ่นดินราชวงศ์หยูอีกหรือไม่ ? ”
หยูเวิ่นหวินหันไปมองฟู่เสี่ยวกวนเช่นกัน นางรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่เขากำลังจะเอ่ยตอบ
เฉกเช่นที่ที่โบราณกล่าวไว้ว่าสตรีเมื่อโดนสู่ขอแล้วก็ต้องตามใจสามี ทว่าหากเปรียบเมืองจินหลิงกับเมืองกวนหยุนแล้ว นางโปรดปรานบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองเสียมากกว่า
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงเสียจนมิรู้จะตอบกลับไปเยี่ยงไร “พวกเจ้าคิดอะไรกัน เรื่องนั้นย่อมเป็นไปมิได้ ! ”
“ข้าหมายถึงถ้าหากว่าเป็นเยี่ยงนั้นขึ้นมาล่ะก็… ! ”
“พวกเจ้าจงไตร่ตรองดูเถิด ฟู่ต้ากวนบิดาข้าต้องรู้เป็นแน่ว่าข้าคือบุตรชายของผู้ใด หากข้าเป็นโอรสในองค์จักรพรรดิเหวินอย่างแท้จริงล่ะก็ ท่านพ่อจะเลี้ยงข้าให้เติบใหญ่ไปเพราะเหตุใดกัน ข้าจะบอกบางอย่างให้พวกเจ้าได้รับรู้ไว้ ท่านพ่อดีกับข้ามากยิ่งนัก หากมิมีราชโองการจากฝ่าบาท ท่านคงมิฝักใฝ่จะมีอนุหรอก”
“พวกเจ้าลองใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนอีกครา เขามาเยือนเมืองกวนหยุนเพื่อใช้เงินกว่าล้านตำลึงเพื่อซื้อคฤหาสน์จิ้งหู ถ้าหากว่าข้าเป็นโอรสในจักรพรรดิเหวินอย่างแท้จริง คฤหาสน์จิ้งหูเองก็เป็นทรัพย์สมบัติของราชสำนักเช่นกัน เพียงแค่คำรับสั่งจากองค์จักรพรรดิ ทรัพย์สมบัติชิ้นนี้ก็จะตกเป็นของข้าแล้วมิใช่หรือ ? ”
“ในส่วนของเรื่องราวระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ของข้านั้น ท่านพ่อมีความรักให้ท่านแม่ของข้าอย่างสุดซึ้งอย่างแน่นอน ส่วนท่านแม่จะรักท่านพ่อหรือไม่นั้น คราหนึ่งท่านพ่อเคยบอกข้าว่า เรื่องของความรู้สึกของคนสองคน เพียงแค่ไปร่วมนอนเตียงเดียวกันสักครา ความรู้สึกก็จะค่อย ๆ ผลิบานซึ่งเป็นธรรมดาของมนุษย์ ตอนแรกท่านแม่ก็คงจะไร้ความรู้สึกพิเศษต่อท่านพ่อ แต่นานวันเข้าข้าคิดว่านางต้องมีความรักต่อท่านพ่อเป็นแน่ อย่าได้ดูแคลนว่าท่านพ่อของข้าอ้วนเยี่ยงนั้นจะขี้ริ้วขี้เหร่เชียว แท้จริงแล้วท่านพ่อของข้าเป็นคนที่น่ามองมาก ๆ คนหนึ่งเลยล่ะ”
ทั้งสามนางลองใคร่ครวญดูอีกครา หยูเวินหวินและต่งชูหลานนั้นเข้าใจในสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยแล้ว ใบหน้าของพวกนางได้เผยความโล่งใจออกมา แต่ทว่ายังมีซูซูที่ยังมิหายข้องใจนัก จากนั้นนางจึงได้เอ่ยถาม “หากว่าตอนที่ท่านแม่ตั้งท้องเจ้าเสียก่อนที่จะแต่งงานกับท่านพ่อของเจ้า แต่ท่านพ่อของเจ้าก็ดันมิรู้ ถ้าเป็นเช่นนี้เจ้าจะถือว่าเป็นโอรสในจักรพรรดิเหวินอีกหรือไม่ ? ”
“……”
ไอหยา ! ซูซูคิดมากเกินไปแล้ว แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็มิได้เอ่ยตอบ !
ฟู่ต้ากวนเป็นพ่อเลี้ยงโดยมิรู้ตัวเยี่ยงนั้นหรือ ?
หากเป็นเยี่ยงนี้คงน่าอนาถใจยิ่ง !
“ซูซูเรื่องเช่นนี้มิสมควรเอามาคิดเรื่อยเปื่อย ! ”
ซูซูเบ้ปากแล้วก้มหัวอย่างรู้สึกผิด นางลอบคิดในใจว่าเรื่องเช่นนี้ยากนักที่จะบอกกล่าวให้กระจ่างชัดได้
……
……
เมื่อแสงอาทิตย์สาดเข้ามากระทบกับร่าง ความอบอุ่นจึงบังเกิด
ฟู่เสี่ยวกวนนำเก้าอี้เอนออกมาหนึ่งตัว แล้ววางมันไว้ตรงลานบ้านเพื่อนอนอาบแดด
มีชีวิตตามอำเภอใจมันช่างเป็นสุขเยี่ยงนี้แหละ มิจำเป็นต้องประพันธ์กวีหรือบทความใด ๆ ทั้งสิ้น !
เขานอนเอนอยู่ชั่วครู่ ในจังหวะที่กำลังจะเคลิ้มหลับนั่นเอง เสียงของซูซูก็ได้ดังขึ้นมาปลุกเขาให้ตื่นออกจากห้วงภวังค์
“มีสาสน์จากศิษย์พี่ใหญ่”
มีนกตัวหนึ่งเกาะอยู่บนบ่าของซูซู และนางได้ส่งต่อกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับฟู่เสี่ยวกวน
ศิษย์น้องเล็ก ข้าได้ค้นหาในตำหนักไทเฮาจนทั่วแล้ว ไร้ซึ่งเงาของบันทึกประจำวันอะไรนั่นที่ท่านตามหา
เดิมทีศิษย์น้องทั้งสี่ของข้าต้องการไปพบท่านที่วัดหานหลิง ทว่าเวลานี้วัดหานหลิงได้โดนทหารรักษาการณ์ชุดแดงปิดล้อมเอาไว้อย่างแน่นหนา เนื่องด้วยข้าได้พบพานกับสุ่ยหยุนเจียนระหว่างทางที่กลับไปยังตำหนักหยุนชิง
เขาเอ่ยว่าเป่ยหวังฉวนฝืนใจยิงธนูไปสองคราเพื่อที่จะช่วยชีวิตท่านไว้ บัดนี้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและกำลังอยู่ในช่วงพักฟื้น หากท่านจะตามหาตัวเขาเพื่อแก้แค้น ก็ขอให้ท่านโปรดรอให้เวลาผ่านไปถึงปีครึ่งเสียก่อน
อีกอย่างข้าได้ข่าวมาว่าอ๋องนามว่าหนิงหวางได้โดนจักรพรรดินีเซียวลอบสังหารจนสิ้นพระชนม์ เพลานี้เหลือเพียงองค์รัชทายาทและท่านที่เป็นโอรสในองค์จักรพรรดิเหวิน เหมือนว่าพระองค์จะทรงมีแผนกำจัดองค์รัชทายาทองค์นี้ออกไปให้พ้นทางเสีย หากพระองค์ทรงปรารถนาที่จะแต่งตั้งท่านเป็นองค์รัชทายาท ขอท่านได้โปรดเตรียมการรับมือเอาไว้ด้วย
ข้าได้มอบหมายให้ศิษย์พี่ห้าของท่านไปจับตามองดูจัวอีสิงแล้ว ศิษย์น้องแปดได้นำแม่นางถาวฮวาเข้าสำนักเต๋าจนสำเร็จแล้วเช่นกัน ท่านอาจารย์ชื่นชอบนางยิ่งนัก ภารกิจที่ข้ามอบหมายให้เขาคือให้เขาฝึกศิษย์น้องอีกพันคนตามแบบแผนการฝึกการทหารที่ท่านได้วางเอาไว้ ตั้งมั่นแน่วแน่ไว้แล้วว่าจะต้องทำให้แผ่นดินสะเทือนกับการฝึกครานี้ให้จงได้
ข้าไร้ซึ่งเรื่องสำคัญอื่น หากท่านมีธุระอันใดโปรดเขียนจดหมายมาบอกกล่าว
ฟู่เสี่ยวกวนไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน จากนั้นจึงไปหยิบกระดาษแล้วเขียนจดหมายส่งกลับไปให้กับซูเจวี๋ย
“ขอศิษย์พี่เจ็ดได้โปรดไปที่ศาลต้าหลี่ เพื่อดูว่าจักรพรรดินีเซียวถูกคุมขังอยู่ที่ใด และจงระมัดระวังอย่าให้คนใกล้ชิดของนางล่วงรู้เป็นอันขาด”
เขานำกระดาษแผ่นนั้นส่งต่อให้ซูซู ซูซูจึงปล่อยนกตัวนั้นขึ้นสู่ท้องนภา แล้วฟู่เสี่ยวกวนจึงได้เอ่ยถามออกมา “ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวิน พวกนางไปที่ใดกันแล้วล่ะ ? ”
“พวกนางทั้งสองได้ตามหยุนกุยไปเก็บลูกสาลี่ที่สวน ที่นั่นสวยงามยิ่งนัก เจ้าอยากไปชมดูหรือไม่ ? ”
“ได้สิ ! ไปกันเถอะ”
และทั้งสองก็ได้เดินทางออกจากตำหนักหยุนชิงไปยังสวนสาลี่
สวนสาลี่มีพื้นที่กว้างขวางยิ่ง มีต้นสาลี่ราวร้อยต้นโดยประมาณ กลิ่นผลสาลี่หอมเย้ายวนแตะจมูกทันทีที่ย่างกรายเข้าไปเหยียบในที่แห่งนั้น
ฟู่เสี่ยวกวนยังคงมองหาทั้งสองนางมิเจอ เขาและซูซูได้เดินอย่างผ่อนคลาย มินานนักก็ได้เดินมาจนถึงด้านหลังของสวน
หลังจากนั้นเขาจึงมองเห็นศาลาหลังหนึ่งตั้งอยู่ตรงริมหน้าผา และในศาลาหลังนั้นก็ได้มีหญิงชราหนึ่งคนและหญิงสาววัยบานสะพรั่งอีกสองคนกำลังชงชาดื่มด้วยกัน
เขาหันมองย้อนกลับไป ระยะห่างระหว่างตำหนักหยุนชิงกับที่นี่มิได้ไกลกันมากนัก หญิงชราผู้นั้นคือใครกัน ? เหตุใดนางจึงได้มาอยู่ในที่แห่งนี้ ?
ในขณะนั้นเอง หญิงสาวทั้งสองคนนั้นก็ได้หันมาเห็นฟู่เสี่ยวกวนและซูซู พวกนางรู้สึกประหม่าเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยกล่าวแก่หญิงชราด้วยเสียงแผ่วเบาเสียจนฟังมิได้ศัพท์ จากนั้นหญิงชราผู้นั้นถึงได้หันมามองฟู่เสี่ยวกวน และหญิงสาวทั้งสองถึงได้ลุกขึ้นยืนและเดินตรงไปยังฟู่เสี่ยวกวน
พวกนางต่างส่งสายตาเป็นประกายขณะมองดูฟู่เสี่ยวกวน แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ลูกสาลี่เพิ่งเก็บมาสดใหม่ รสชาติหอมหวานมากยิ่งนัก ช่างเข้ากับบรรยากาศเช่นนี้เสียจริง มาเถิด มาลิ้มลองด้วยกันเถิด ! ”