นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 364 สามหัวข้อ
วันที่ยี่สิบหกเดือนสาม เวลาเช้าตรู่
ท้องฟ้าแจ่มใสไร้เงาเมฆและแสงแดดได้สาดส่องเจิดจ้าไกลลิบลิ่วต้อนรับการมาถึงของการแข่งขันกวีในวันที่สอง
การแข่งขันตุ้ยเหลียนเมื่อวานฟู่เสี่ยวได้ใช้เวลาเพียงแค่ดื่มชาครึ่งถ้วยเท่านั้นก็สามารถส่งกระดาษคำตอบได้ ด้วยเหตุนี้ทำให้เหล่าบัณฑิตชอบใจนัก ในใจพวกเขาพลางคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน และการแข่งประพันธ์กวีในวันนี้จึงเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสนใจยิ่งนัก
“การแข่งขันตุ้ยเหลียนเมื่อวานศิษย์พี่จัวนั้นคงจะอยู่ลำดับที่หนึ่ง หากการแข่งขันประพันธ์กวีวันนี้สามารถเอาชนะฟู่เสี่ยวกวนได้ล่ะก็เท่ากับว่าจะชนะการแข่งขันสองในสาม ศิษย์พี่จัวถือว่าอยู่ในตำแหน่งที่มีชัยเหนือใครอื่น ขอให้ศิษย์ร่วมสถาบันทุกท่านจงอย่าดูแคลนคู่แข่ง ข้าคิดว่าเมื่อวานฟู่เสี่ยวกวนได้ยอมแพ้ หากว่าการแข่งขันอีกสองคราที่เหลือเขาอยากจะปล่อยของออกมาเสียล่ะก็จะว่าไปทั้งสองการแข่งขันนี้ก็เป็นสิ่งที่เขาถนัดเสียด้วย เช่นนั้นพวกท่านอย่าได้ประมาทเป็นอันขาด ! ”
คุณหนูถังซานกำชับอย่างดิบดีเพื่อที่จะให้เหล่าปัญญาชนเข้าใจตรงกัน ความสามารถในด้านกวีของฟู่เสี่ยวกวนนั้นไม่เป็นสองรองใคร มิอาจชะล่าใจได้
ฝานเทียนหนิงบัดนี้ได้ตามติดฟู่เสียวกวนราวกับเป็นแมลงวัน เขามิได้ร่วมวงอยู่กับเหล่าบัณฑิตแห่งแคว้นฝาน แต่เขากลับตามอยู่ข้างกายของฟู่เสี่ยวกวน
“ท่านเป็นเพียงเศรษฐีทีดินแห่งเมืองหลินเจียง เหตุใดถึงได้รับอภิสิทธิ์มากมายถึงเพียงนี้ สิ่งนี้ทำให้ข้าข้องใจมากยิ่งนัก ! ”
แน่นอนว่าอภิสิทธิ์ที่เอ่ยนี่คือการที่ฟู่เสี่ยวกวนมีที่พักส่วนตัวซึ่งต่างจากบัณฑิตคนอื่น ๆ ที่มาด้วยกัน
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า “ท่านน้องฝานข้ามิประสงศ์จะข่มท่าน แต่งานแข่งขันกวีครานี้ที่จักรพรรดิเหวินทรงอัญเชิญบัณฑิตจากทั้งสี่แคว้นมา ก็มีเพียงแค่ข้าเท่านั้นที่พระองค์ทรงเอ่ยนามถึง”
ฝานเทียนหนิงทำตาถลึงใส่ฟู่เสี่ยวกวน “บัดนี้ข้ายิ่งปักใจเชื่อขึ้นมาเสียจริง ๆ แล้วว่าท่านคือโอรสนอกสมรสของจักรพรรดิเหวิน มิเช่นนั้นพระองค์คงมิทรงลำเอียงได้ถึงเพียงนี้ ! ”
“น้องฝานลองคิดดูเถิดว่าหากข้าเป็นโอรสนอกสมรสของจักรพรรดิเหวินอย่างแท้จริงล่ะก็ ข้าอยู่ต่างแดนมานานถึง 17 ปี ข้าควรเรียกร้องสิ่งใดชดเชยจากพระองค์ดีจึงจะเหมาะสม ? ”
ฝานเทียนหนิงมองสีหน้ากะล่อนของฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา “หรือว่าจะขอตำแหน่งองค์รัชทายาทดีหรือไม่ ? ”
“มิดีหรอก นี่ข้าจะบอกให้ หากให้ข้าเลือก…ข้าจะเลือกทองคำ 100,000 ตำลึง”
“หากท่านเป็นองค์รัชทายาทเสียท่านก็ย่อมมีทุกอย่าง นี่ท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหน้า “องค์รัชทายาทของแคว้นฝานเป็นแล้วสำราญใจหรือไม่เล่า ? ”
ฝานเทียนหนิงสะดุ้งเพราะตกใจ แล้วนึกถึงฝานเทียนหยุนพี่ใหญ่ของเขาที่บัดนี้ทรงดำรงตำแหน่งองค์รัชทายาทและบัดนี้อายุได้ล่วงเลยเข้าสู่วัยสามสิบสามแล้ว ทว่าเสด็จพ่อก็ยังคงแข็งแรงดี พี่ใหญ่ของเขาในฐานะคนที่รอตำแหน่งมิอาจล่วงรู้ได้เลยว่าต้องทุกข์ใจถึงเพียงใด
“เอาเถิดอย่าได้คิดมาก ข้าเพียงอยากหยอกล้อเจ้าเล่นก็เท่านั้น เรื่องนั้นมันมิเกี่ยวข้องอันใดกับข้า ว่าแต่ตุ้ยเหลียนของเจ้าเมื่อวานเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
“ข้าคิดว่าฝีมือตนนั้นใช้ได้ อีกอย่างเมื่อวานที่ท่านได้ยอมแพ้ไปทำให้ท่านชายจัวตงหลายสบโอกาสเชิดหน้าเชิดตา และในงานเมื่อคืนนั้นเเม้ว่าเขาจะมิได้เอ่ยวาจาโอ้อวดจนเสียงแหลม แต่กลับเป็นคนอื่น ๆ ที่เที่ยวป่าวประกาศว่าชัยชนะครานี้จะเป็นของจัวตงหลายอย่างแน่นอน ถ้าหากว่าการแข่งขันประพันธ์กวีวันนี้สามารถคว้าชัยมาได้เช่นกันล่ะก็…”
ฟานเทียนหนิงหันไปมองฟู่เสี่ยวกวนแล้วรู้สึกเป็นกังวลมากยิ่งนัก “ท่านพี่ฟู่ หรือว่าสมองของท่านได้โดนจัวตงหลายขโมยไปเสียแล้ว ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนนึกประหลาดใจ เขาคิดว่าตุ้ยเหลียนของตนนั้นย่อมคว้าชัยมาได้อย่างแน่นอน ใครกันที่มันแอบขโมยความกล้าหาญนี้ไปให้จัวตงหลาย ทำให้เขามีชัยเหนือตนได้ ?
หรือพ่อหนุ่มหน้าใสจะแกล้งทำเป็นหมูเพื่อที่จะกินเสือ เหตุใจเขาจึงได้เก่งกาจถึงเพียงนี้กัน ?
แต่ไหนแต่ไรมาเขามิเคยดูแคลนคนในสมัยโบราณ เพราะที่เขาสามารถแสดงได้อย่างแยบยลบนโลกใบนี้ก็ล้วนแต่อาศัยผลงานของคนในสมัยโบราณทั้งสิ้น
เขาจึงหันหน้าไปมองจัวตงหลายประจวบเหมาะพอดี ที่สายตาของชายหนุ่มผู้นั้นก็หันมามองเขาเช่นกัน จากนั้นทั้งสองจึงสบตากัน
ซึ่งแน่นอนว่าการสบตากันครานี้ไร้ซึ่งดอกไม้ไฟเบ่งบาน เพราะสายตาของจัวตงหลายนั้นเต็มไปด้วยความข่มเหงต่อคู่แข่ง อีกทั้งใบหน้าอันหล่อเหลานั้นยังแฝงไปด้วยรอยยิ้มที่แสนจะเย็นยะเยือก ราวกับกำลังบอกฟู่เสี่ยวกวนว่า “ข้าจะเหยียบเจ้าให้จมดิน ! ”
ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก จากนั้นเขาเลยชูนิ้วกลางให้กับเขาไป
จัวตงหลายถึงกับผงะ หมายความว่าสิ่งใดกัน หรือฟู่เสี่ยวกวนต้องการจะสื่อว่าตนจะคว้าที่หนึ่งมาให้จงได้กัน ?
มิมีทาง !
จากนั้นจัวตงหลายเลยชูนิ้วกลางกลับไปให้ฟู่เสี่ยวกวนเช่นกัน
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ผงะเช่นกัน “นี่มันเข้าใจความหมายเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ขอร้องเถิด อย่าได้บันดาลโทสะใส่คนพรรค์นั้นเสียจะดีกว่า
ฝานเทียนหนิงผู้เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ตนจนจบก็ได้เฝ้ามองด้วยความแปลกใจ แล้วเขาจึงยิ้มออกมา “ยามรุ่งสางของเช้าวันนี้ได้มีเสียงกลองยามเช้าดังก้องกังวาลปลุกข้าจนตื่นขึ้นมา เสียงนั้นดังแว่วมาจากพงไพรแสนไกล เสียงดั่งพระสงฆ์นับหมื่นกำลังสวดมนต์ ช่างหน้าอัศจรรย์ใจเสียเหลือเกิน มิทราบว่าท่านได้ยินหรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนยักใหล่อย่างไม่แยแส “ข้านอนหลับลึกจนมิได้ยินเสียงใด ๆ ”
“ช่างหน้าเสียดายยิ่ง เสียงกลองยามเช้านั้นดังขึ้นในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างยามรุ่งสางและยามเช้าตรู่ ข้าคิดว่าในเมื่อมาถึงวัดหานหลิงแล้วได้ยินเสียงกลองบอกเวลายามเช้านั้นถือว่าคุ้มค่ามากยิ่งนัก”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าและเห็นด้วยกับสิ่งที่ชายหนุ่มกล่าว ทว่าการนอนหลับนั้นสำคัญยิ่งกว่าเสียงกลองยามเช้าพวกนี้มากนัก
เวลานั้นเองเหวินสิงโจวและถังจู้กั๋วได้เดินทางมาถึงเวทีหน้าจุดรวมพล เหวินสิงโจวใช้สายตากวาดมองด้วยความเคร่งขรึม จากนั้นทุกคนจึงเงียบเสียงลง
“วันนี้เป็นวันที่สองของงานชุมนุมวรรณกรรม นั่นคือการแข่งขันประพันธ์กวี”
“หัวข้อในการแข่งขันประพันธ์กวีครานี้ได้อยู่ในกล่องที่ข้าถืออยู่ อีกชั่วครู่ถังจู้กั๋วจะนำหัวข้อเหล่านี้เขียนใส่ในผ้าขาว แล้วนำไปผูกไว้กับพระบาทของพระพุทธรูปเพื่อเป็นการสะดวกให้พวกเจ้าได้มาอ่าน”
“เวลาในการแข่งขันการประพันธ์กวีครานี้มีเวลาหนึ่งวันเต็ม วันนี้พวกเราจะมิจุดธูปศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นการนับเวลาอีกต่อไป เวลาจะเริ่มนับตั้งแต่ประกาศหัวข้อ เมื่อกลองแห่งสนธยาถูกตีขึ้นจึงจะถือว่าเป็นการสิ้นสุด หวังว่าทุกท่านจะประพันธ์กวีได้อย่างวิจิตรบรรจง”
“ต่อไปข้าจะขอประกาศหัวข้อ ! ”
เขาเตรียมเปิดกล่องที่อยู่ในมือ ถังจู้กั๋วได้ยืนรออยู่ด้านข้างตรงริมขอบโต๊ะตัวหนึ่ง ในมือเขาถือฟู่กันด้ามมหึมา
“การแข่งขันประพันธ์กวีครานี้มีด้วยกันสามส่วน ส่วนแรกขอเชิญทุกท่านใช้สามบทกวี ดังนี้ บทกวีแก้วจันทราแห่งซีเจียง บทกวียุติความวุ่นวาย และบทกวีดั่งความฝัน ประพันธ์กวีออกมาอย่างละหนึ่งบท”
เมื่อเหวินสิงโจวได้ประกาศส่วนที่หนึ่งออกมา ด้านล่างก็ได้มีเสียงกระซิบกระซาบแผ่ซ่านไปทั่ว
หัวข้อนี่เหมือนจะไม่ยาก เพราะล้วนแต่เป็นบทกวีทั่วไป เหล่าบัณฑิตส่วนใหญ่ต่างก็เคยประพันธ์กวีเช่นนี้มาแล้วทั้งสิ้น
จากนั้นเหวินสิงโจวได้กล่าวต่อ “ส่วนที่สองอีกประเดี๋ยวขอให้ทุกท่านจงพินิจมองภาพวาดนี้ให้ละเอียด แล้วจงนำภาพวาดนี้มาเป็นหัวข้อในการประพันธ์กวีบทที่สอง”
นี่นับว่าเป็นการให้ประพันธ์ตามหัวข้อที่กำหนด คิดดูแล้วก็คงมิหน้ายากจนเกินไป
“ส่วนที่สามมิกี่วันให้หลังการแข่งขันก็จะเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาหกสิบปีขององค์ไทเฮา ขอทุกท่านจงประพันธ์บทกวีเพื่อเป็นการอวยพรแก่พระองค์ และพระองค์จะทรงอ่านกวีอวยพรเหล่านี้ที่พวกท่านประพันธ์ด้วยตัวพระองค์เอง ท่านที่ประพันธ์ได้ดีเป็นลำดับที่หนึ่งจะได้รับเงินรางวัล 10,000 ตำลึง ลำดับที่สอง 1,000 ตำลึง ลำดับที่สาม 200 ตำลึง และทั้งสามท่านจะได้ร่วมงานเลี้ยงเฉลิมฉลองอีกด้วย”
เมื่อหัวข้อการแข่งขันที่สามได้ถูกประกาศออกมา เหล่าบัณฑิตด้านล่างต่างโห่ร้องด้วยความดีใจ มีเงินรางวัลให้อีกด้วย แต่ที่สำคัญคือยังถูกเชิญไปร่วมงานเฉลิมพระชนมพรรษาขององค์ไทเฮาอีกด้วย
ภายในงานเฉลิมพระชนมพรรษานี้ย่อมมีโอกาสได้พบเจอขุนนางใหญ่โตมากมาย อีกทั้งชื่อของตนย่อมเป็นที่จดจำของเหล่าขุนนาง
ซึ่งมีความสำคัญต่ออนาคตพวกเขาเป็นอย่างมาก !
เหล่าปัญญาชนจากสามแคว้นที่เหลือนั้นตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เพราะหากตนได้รับเกียรติถูกเชิญไปเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองครานี้ แน่นอนว่านี้เป็นการแย่งชิงศักดิ์ศรีให้แคว้นตน ต่อไปเมื่อกลับแคว้นตนก็จะได้รับการสรรเสริญจากองค์จักรพรรดิอีกด้วย หรืออาจจะได้รับตำแหน่งขุนนางก็เป็นได้
ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้ว่าพวกเขาตื้นเต้นอะไรกัน แต่เขานั้นตื่นเต้นเพราะเงิน 10,000 ตำลึง ในส่วนของงานเลี้ยงเฉลิมพระชนมพรรษา หากจะเอ่ยตามความจริง แม้ว่าจะเป็นงานรื่นเริงแต่จะต้องสร้างความกดดันและความลำบากใจแก่ผู้เข้าร่วมงานเป็นแน่
ฝานเทียนหนิงยกยิ้มขึ้นมา “ท่านอาจจะเห็นว่าพวกเขาดูมีท่าทีดีใจ ทั้งสามหัวข้อนี้ดูเหมือนจะง่ายแต่เอาเข้าจริงนั้นยากเกินจะต้านทาน ! ”