นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 384 ไร้ความสงบสุข
ตอนที่ 384 ไร้ความสงบสุข
เมืองกวนหยุนมั่งคั่งรุ่งเรืองมากยิ่งนัก
ที่แห่งนี้เป็นดั่งทำเลทอง ผู้คนต่างมั่งมีและดูน่าเคารพนับถือ ตรอกส่าจินเป็นตรอกที่ครึกครื้นและมีขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองกวนหยุน
บัดนี้หนานกงตงเซวี๋ยกำลังพาต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินอีกทั้งซูซูเดินเที่ยวเล่นอยู่ในตรอกอันครึกครื้นแห่งนี้
“กล่าวกันว่าชื่อของตรอกส่าจินมีที่มาจากเมื่อคราที่กำลังก่อสร้างถนนเส้นนี้ ครานั้นมีขบวนม้าราวร้อยตัวบรรทุกเงินและทองผ่านมา แล้วเงินทองเหล่านั้นได้หล่นเรี่ยราดไปตามพื้นถนน ด้วยเหตุนี้ตรอกส่าจินจึงถูกสร้างโดยการวัดระยะทองที่ทองหล่นกว้างและยาวที่สุดในการตัดถนน และทุกวันนี้ก็เลยมีภาพอย่างที่เห็น ”
หนานกงตงเซวี๋ยกางแขนชี้ทั้งสองข้างของถนนแล้วยกยิ้มพร้อมกับเอ่ยกล่าว “พี่สาวและน้องสาวทั้งหลายจงดูเถิด ที่แห่งนี้สามารถหาซื้อสิ่งของที่ดีที่สุดได้ แน่นอนว่ายกเว้นเหล้าหมักซีซานขององค์ชายใหญ่ และชุดชั้นในของพี่สาวทั้งสอง”
ทันใดนั้นใบหน้าของนางก็พลันได้แดงเรื่อขึ้นมา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “พี่สาวทั้งสองนี้มีรสนิยมดียิ่งนัก แล้วชุดชั้นในนั้นก็สวมใส่สบาย ข้าคิดว่าของสิ่งนี้ย่อมขายดีเป็นเทน้ำเทท่าอย่างแน่นอน เพียงติดปัญหาเพียงประการเดียวคือเมืองจินหลิงนั้นห่างไกลเกินไป การจัดส่งสินค้าย่อมเป็นอุปสรรค”
นางแหงนหน้าขึ้นมาแล้วมองไปทางต่งชูหลาน “พี่สาวคิดที่จะย้ายโรงงานผลิตมายังเมืองกวนหยุนหรือไม่ ? ”
หนานกงตงเซวี๋ย ต่งชูหลาน และหยูเวิ่นหวินอีกทั้งซูซูได้ใกล้ชิดและสนิทสนมกันเป็นเวลา 7 วันเต็ม ๆ !
เมื่อนางรู้ว่าต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินได้ซื้อห้างร้านที่ตรอกส่าจินเพื่อค้าขาย นางก็ได้ตรงปรี่มายังคฤหาสน์จิ้งหูทันที ทว่านางมิได้เอ่ยสิ่งใดต่อฟู่เสี่ยววกวน แต่นางกลับแอบอาสาที่จะเป็นธุระและคอยสอบถามช่องทางให้กับต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวิน
ผ่านไปมินาน ทั้งสี่สาวก็ได้สนิทสนมกันมากขึ้นและสนทนาเป็นกันเองมากขึ้น
ทว่านางเรียกแต่พี่สาว ๆ มิยอมหยุด จึงทำให้ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินรู้สึกหวั่นใจมิน้อย
“ขอเอ่ยกับน้องสาวตามตรงว่าพวกข้านั้นต้องการที่จะสร้างโรงงานสัก 2 แห่งไว้ที่นี่ เพียงแต่ยังมิได้เลือกทำเลที่เหมาะสม…”
หนานกงตงเซวี๋ยหัวเราะร่า แล้วแวะซื้อปิงถังหูลู่ริมทางให้ซูซูหนึ่งไม้ จากนั้นจึงเอ่ยต่อ “น้องสาวรู้จักที่แปลงหนึ่ง พี่สาวต้องการไปดูบัดนี้เลยหรือไม่ ? ”
“อีกอย่างข้าได้ยินมาว่าพี่สาวต้องการซื้อสวน วันรุ่งขึ้นข้าขออาสาพาพวกท่านออกนอกเมืองไปชมที่ดิน ในเมื่อแสงสุริยาอบอุ่นกำลังดีก็ถือโอกาสไปเที่ยวในช่วงฤดูใบไม้ผลิเสีย หากท่านพี่มีกิจการอะไรดี ๆ ก็อย่าลืมเชื้อเชิญน้องสาวผู้นี้เชียวล่ะ ข้ามีเงินเก็บไว้พอประมาณ เก็บไว้เฉย ๆ ก็เปล่าประโยชน์ สู้เอาไปให้พี่สาวลงทุนเสียยังจะดีกว่า ข้าจะได้มีกำไรกลับมาบ้างอีกทั้งมันยังดีกับพวกเราทั้งสองฝ่าย พี่สาวคิดเห็นว่าเยี่ยงไร ? ”
ต่งชูหลานครุ่นคิดในใจว่าหนานกงตงเซวี๋ยเป็นถึงหลานสาวของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย หากฟู่เสี่ยวกวนได้รับตำแหน่งองค์รัชทายาทขึ้นมาเสียจริง ๆ ก็ย่อมต้องพึ่งพาแรงสนับสนุนจากเสนาบดีเหล่านี้ เมื่อได้ยินดังนั้นนางจึงพยักหน้าแล้วยิ้มตอบ “หากน้องสาวมิกลัวความเสี่ยงในการลงทุนก็จงมาร่วมลงทุนกันเถิด ทว่าข้าขอเอ่ยไว้ตรงนี้ก่อนเลยว่าการทำธุรกิจนั้นมิอาจจะรับประกันผลตอบแทนได้ หากทำให้สินทรัพย์ส่วนตัวของน้องสาวขาดทุนจนหมดสิ้น…น้องสาวก็อย่าได้กล่าวโทษข้าก็แล้วกัน ”
หนานกงตงเซวี๋ยตาเป็นประกายขึ้นมาทันใด จากนั้นจึงได้เอ่ยอย่างชอบใจว่า “น้องสาวผู้นี้จะกล่าวโทษพี่สาวได้เยี่ยงไร ข้ารู้สึกนับถือพี่สาวมากยิ่งนัก ท่านพี่บริหารการเงินเก่งยิ่ง มิเหมือนข้า…”
นางทำปากยื่นราวกับเด็กสาวตัวน้อย ๆ “ข้ามิช่ำชองเรื่องพวกนี้เอาเสียเลย ช่วยเหลือสิ่งใดก็มิได้ ทำได้เพียงให้ข่าวสารเล็ก ๆ น้อย ๆ เพียงเท่านั้น”
ซูซูกินปิงถังหูลู่อยู่ด้านหลังสุด แล้วสายตาของนางก็ได้ตกอยู่บนแผ่นหลังของหนานกงตงเซวี๋ย สายตาคู่นั้นจ้องมองนางด้วยความอาฆาตมาดร้าย ทุกเรื่องย่อมมีมูลเสมอ นางผู้นี้ปากหวานก้นเปรี้ยว ต้องการจะเข้าหาฟู่เสี่ยวกวนล่ะสิมิว่า !
เจ้านี่ก็อีกคน เมื่อใดหัวกระไดจะแห้งเสียที !
……
ฟู่เสี่ยวกวนจามออกมาเสียงดัง เขาคลึงจมูกไปมาพลางคิดว่าคงจะเป็นเพราะแพ้เกสรดอกไม้
บัดนี้เขามิได้อยู่ในเมืองกวนหยุน
อู๋หลิงเอ๋อร์ได้เชื้อเชิญเขา และเขาก็ได้พาซูเจวี๋ยศิษย์พี่ใหญ่และซูโหรวศิษย์พี่สามติดตามออกไปนอกเมืองด้วย ทั้งสามได้มายังที่ราบสูงหลีลั่ว
ท้องนภาเปิดกว้างเป็นสีฟ้าแจ่มใส ทว่าผืนฟ้านั้นดูเหมือนมิได้ห่างไกลมากเท่าใดนัก
ผืนหญ้าอันกว้างใหญ่เป็นดั่งพรมที่ถูกถักทออย่างประณีตงดงาม มันถูกปูไปไกลจนสุดลูกหูลูกตา ไกลจนถึงเส้นขอบฟ้ามองดูแล้วราวกับภาพวาด
สายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านเข้ามาเป็นระลอก ผืนหญ้าพลิ้วเอนดั่งเกลียวคลื่นในมหาสมุทร ดอกไม้ป่านานาชนิด บ้างเป็นพุ่ม บ้างเป็นดอก พวกมันได้ช่วยแต่งเติมสีสันสดสวยให้กับพรมผืนนี้ได้อย่างไร้ที่ติ
อู๋หลิงเอ๋อร์แต่งองค์ด้วยชุดสีม่วง นางกำลังขี่อยู่บนหลังม้าสีแดงพุทรารูปงามตัวนั้นของนาง และบัดนี้นางและฟู่เสี่ยวกวนได้ยืนอยู่บนที่ราบทั้งสองยืนแน่นิ่งและงดงามดั่งรูปปั้นแกะสลัก
กองทัพหญิงและกองกำลังองครักษ์ชุดแดงนั้นคอยคุ้มกันอยู่ไกลออกไป
ซูเจวี๋ยและซูโหรวก็ได้ยืนอยู่ห่างพอสมควร
บนนภากว้างใหญ่แห่งนี้ ราวกับมีเพียงเขาและนางอยู่เพียงสองคนเท่านั้น
“ศิษย์พี่ใหญ่”
“อือ…”
“ท่านลองมองพวกเขาสิ”
“ข้าก็มองอยู่นี่ไง มีอันใดหรือ ? ”
“ช่างเหมาะสมราวกับกิ่งทองใบหยก เหตุใดสวรรค์ถึงอยุติธรรมได้ถึงเพียงนี้” ระหว่างที่เอ่ยซูโหรวก็ได้แอบมองซูเจวี๋ยด้วยสายตาอันขมขื่น เขาช่างไร้เดียงสาเสียจริง ๆ ต้องรอให้อายุถึงเจ็ดแปดสิบหรือเยี่ยงไรถึงจะรับรู้ได้เสียที
ซูเจวี๋ยปรับหมวกเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยถามด้วยความตั้งใจ “สวรรค์กำหนดให้พวกเขาเกิดมาเป็นพี่น้องกัน จะอยุติธรรมได้เยี่ยงไร ? ”
ซูโหรวตกตะลึงเสียจนนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ “แต่ทว่าอู๋หลิงเอ๋อร์ปรารถนาให้เขาเป็นพระสวามีมิใช่พระเชษฐา ! ”
“ศิษย์น้องสาม หากปรารถนาให้เป็นพระสวามีนั้นจะต้องยินยอมทั้งสองฝ่าย ดั่งมัจฉาที่ต้องการน้ำเพื่อความรื่นรมย์ ทว่าเป็นพระเชษฐานั้นมีความสัมพันธ์ยึดโยงด้วยเลือดและเนื้อ ความรู้สึกของพี่น้องนั้นคงมั่นและยืนยาว ศิษย์น้องเอ่ยเช่นนี้มิถูกต้องนัก หากจะกล่าวถึงลิขิตสรรค์ ความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องย่อมชนะความรักที่ฉาบฉวยเสมอ”
ซูโหรวถลึงตาใส่ซูเจวี๋ย จากนั้นนางก็ได้ก้มศีรษะลงไปปักนกหยวนหยางของนางต่อ
ฟู่เสี่ยวกวนและอู๋หลิงเอ๋อร์ย่อมมิได้ยินบทสนทนาระหว่างพวกเขาทั้งสองคน
ขณะนี้ฟู่เสี่ยวกวนกำลังทอดมองทิวทัศน์บนที่ราบสูงแห่งนี้ เขารู้สึกว่าทิวทัศน์ ณ ที่แห่งนี้ช่างงดงามมากยิ่งนัก เมื่อทอดสายตามองออกไปก็ทำให้สบายใจมากยิ่งนัก ราวกับความทุกข์ท้อที่สั่งสมมาได้อันตรธานหายไปในบัดดล
ทว่าอู๋หลิงเอ๋อร์พาเขามายังที่แห่งนี้ ดูเหมือว่ามิได้ประสงค์เพียงแค่มาชมทิวทัศน์เท่านั้น น้องสาวผู้นี้ นางต้องการจะทำสิ่งใดกัน ?
“น้องชอบทุ่งหญ้าบนที่ราบสูงแห่งนี้มากยิ่งนัก”
อู๋หลิงเอ๋อร์เอ่ย ฟู่เสี่ยวกวนจึงพยักหน้าตอบรับ “พี่ก็ชอบเช่นกัน”
“น้องชอบยืนบนที่ที่ห่างไกลผู้คน เช่นตรงนี้ ทอดสายตามองไปยังภูเขาหิมะที่สูงเสียดฟ้า” มือของอู๋หลิงเอ๋อร์ได้ถือแซ่ม้าเอาไว้และนิ้วของนางได้ชี้ตรงไปยังภูเขาเบื้องหน้า “นั่นคือภูเขาหิมะ เสียดายที่พวกเรามาสายไปหน่อย มิเช่นนั้นจะได้ยลความงดงามของแสงสุริยาที่สาดส่องลงบนภูเขาจนเป็นสีทองอร่าม”
ฟู่เสี่ยวกวนได้หันไปมองภูเขาหิมะลูกนั้น มันสูงเป็นอย่างมาก แม้ว่าแสงสุริยาแห่งฤดูใบไม้ผลิจะเจิดจ้าเพียงใด ภูเขาหิมะลูกนั้นก็ยังถูกเมฆหมอกปกคลุมเอาไว้ มิยอมเผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงของตนออกมา
“น้องเคยสาบานกับตนเองว่าจะต้องสมรสกับผู้ที่ยิ่งใหญ่ดั่งเช่นภูเขาหิมะลูกนั้น”
ฟู่เสี่ยวกวนผงะเล็กน้อย แล้วจึงได้เอ่ยกล่าวว่า “พี่จะหาชายหนุ่มที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้นมาให้น้องให้จงได้ ! ”
อู๋หลิงเอ๋อร์หันกลับไปหาฟู่เสี่ยวกวนอย่างกะทันหัน สายลมพัดเข้ามาโดนใบหน้ารูปงามของนาง เส้นผมของนางปลิวไสวไปตามแรงลม แล้วกระทบบนใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนอย่างแผ่วเบา
นางจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยแววตาตั้งมั่น สีหน้าของนางพลันแดงเรื่อขึ้นมา
“น้องมิได้อยากมีท่านเป็นพี่ชาย และมิประสงค์ให้ท่านพี่ช่วยค้นหาชายใดมาให้กับน้อง ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกตื่นตกใจเสียจนทำอะไรมิถูก เขาทำได้เพียงมองอู๋หลิงเอ๋อร์ด้วยสายตาที่ตกตะลึง แล้วสมองก็ได้หยุดทำงานไปชั่วคราว นี่มันหมายความว่าเยี่ยงไรกัน ?
“น้องอยากเป็นหญิงสาวของพี่ ! มิใช่น้องสาว ! ”
“จะเป็นไปได้เยี่ยงไร ? ”
“เหตุใดจึงเป็นไปมิได้กัน ? ”
“น้องเป็นบ้าไปแล้ว ! ”
อู๋หลิงเอ๋อร์หัวเราะขึ้นมาทันใด เสียงหัวเราะของนางเป็นดั่งพฤกษาที่เบ่งบาน นางหัวเราะจนน้ำตาไหล หัวเราะจนดินแดนที่เวิ้งว้างต้นหญ้าและสายลมบนที่แห่งนี้ต่างเงียบไปชั่วขณะ
“ทำเหมือนกับว่าเรื่องทั้งหมดมิเคยเกิดขึ้นมาก่อนได้หรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจยาว และตอบกลับไปด้วยท่าทางที่เคร่งขรึมว่า “แต่เรื่องทั้งหมดนั้นมันก็ได้เกิดขึ้นไปแล้ว ไป กลับเถอะ ! ”