นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 420 เทพแห่งโชคลาภ
ตอนที่ 420 เทพแห่งโชคลาภ
ฟู่เสี่ยวกวนยังคงพำนักต่อยู่ที่อำเภอผิงหลิง ส่วนไป๋ยู่เหลียนนั้นออกเดินทางไปยังอำเภอชวูอี้โดยลำพัง
ย่อมเป็นที่แน่นอนว่าภารกิจการไปเยือนอำเภอชวูอี้ครานี้คือการมอบจดหมายฉบับเดียวกันให้กับเยี่ยนหลินชิวผู้เป็นนายอำเภอ
แต่สิ่งที่แตกต่างไปจากจางเหวินฮั่นก็คือเยี่ยนหลินชิวแทบจะไม่มีความเคลือบแคลงในตัวตนของไป๋ยู่เหลียนเลย เพราะเขานั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องของเยี่ยนเสี่ยวโหลวและเยี่ยนซีเหวิน เขารู้อยู่แล้วว่าศักยภาพของอุตสาหกรรมการผลิตนี้ยอดเยี่ยมถึงเพียงใด และก็รู้ว่าว่าที่สามีของน้องสาวนั้นเก่งกาจถึงเพียงใด
แม้ตัวเขาจะลาจากโลกนี้ไปแล้ว แต่ทว่าหนทางในการพัฒนาได้ถูกวางแผนไว้ล่วงหน้านานกว่าครึ่งปีแล้ว !
เยี่ยนหลินชิวรู้สึกเสียดายว่าที่สามีของน้องสาวผู้ที่ซึ่งทำคุณประโยชน์ไว้มากมายมหาศาลถึงเพียงนี้ และกล่าวสรรเสริญเทิดทูนถึงความสำเร็จในการขับไล่กองโจรของไป๋ยู้เหลียนที่ภูเขาผิงหลิง จากนั้นยังขอให้เขาอยู่รับประทานมื้อกลางวันด้วยกันอีกด้วย
ขณะเดียวกันเขาก็ได้ใช้วิธีที่คล้ายกันกับจางเหวินฮั่นเพื่อประกาศรับสมัครคนงาน อนึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมจัดหาแรงงานให้เพียงพอก่อนที่ชาวซีซานจะมาถึง
……
จางเพ่ยเอ๋อร์ได้ออกเดินทางจากที่ว่าการอำเภอผิงหลิง นางสะพายกระบี่ด้ามยาวเอาไว้ที่ด้านหลังแล้วโลดแล่นไปตามถนนในขณะที่หิมะกำลังโปรยปรายลงมาจากท้องนภา
สายตาของนางนั้นกวาดไปยังสองข้างทางอย่างละเอียด นางเชื่อมั่นเสียเหลือเกินว่าฟู่เสี่ยวกวนยังคงมีชีวิตอยู่ และบัดนี้เขาก็ได้พำนักอยู่ที่เมืองผิงหลิงเช่นกัน !
แม้ว่าจะมีสัมผัสที่หกของสตรีแอบแฝงอยู่ในนั้น แต่แน่นอนเสียว่ามันย่อมมิเกิดขึ้นมาอย่างไร้มูลเหตุเป็นแน่ เพราะนางมิปักใจเชื่อว่าเขาจะสามารถวางแผนทุกขั้นตอนละเอียดจนเห็นภาพเสร็จตั้งแต่เดือนสาม แม้ว่าเวลานี้ราชวงศ์หยูจะผลักดันนโยบายเศรษฐกิจใหม่ แต่ทว่าเพิ่งเริ่มผลักดันอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนสี่นี้เอง ฟู่เสี่ยวกวนมิใช่เทพเจ้าที่จะคำนวณเรื่องราวของทุกวันนี้ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ !
อีกทั้งน้ำหมึกบนกระดาษนั้นก็ยังส่งกลิ่นสดใหม่ออกมาราวกับเพิ่งเขียนเมื่อมินานมานี้ !
เหตุใดเขาจึงมิยอมโผล่หน้าออกมากัน ?
จางเพ่ยเอ๋อร์เคยได้ยินมาว่าฟู่เสี่ยวกวนคือโอรสในจักรพรรดิเหวินแห่งราชวงศ์อู๋ แต่ทว่านางเองก็มิได้เข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันของราวงศ์อู๋ การเคลื่อนไหวของฟู่เสี่ยวกวนในครานี้อาจจะแฝงวัตถุประสงค์อื่นอยู่ก็เป็นได้
จะเป็นวัตถุประสงค์ที่ใหญ่หลวงเพียงใดนั้น จางเพ่ยเอ๋อร์เองก็ยากที่จะคาดการณ์ได้
ทันใดนั้นนางก็ได้ชะงักฝีเท้าลง แล้วก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า หากข้าไปหาเขา…แล้วจะทำเยี่ยงไรต่อไป ?
หรือจะสังหารเขาให้ตายคามือไปเสีย ?
ถ้าหากสังหารเขาให้ตาย เกรงว่าแม้แต่พี่ชายของตนก็จะแปรเปลี่ยนไปเป็นศัตรูกับตน !
เพราะเขาเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นำพาโชคลาภมาให้ ท่านพี่ยังคงคาดหวังให้เขาช่วยเหลือเหล่าราษฎรออกจากเพลิงแห่งความทุกข์ยากนี้
เยี่ยงนั้นแล้ว สังหารเขาเสียย่อมทำมิได้
หากแม้ได้พบเจอ…ก็คงทำได้เพียงจดจ้องเท่านั้นคาดว่าคงไร้ซึ่งคำเอ่ยใด ๆ
เยี่ยงนั้นแล้วมิเจอยังจะดีเสียกว่า !
จางเพ่ยเอ๋อร์สูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ หนึ่งครา เมื่อย้อนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองหลินเจียงคราก่อน ริมฝีปากของนางก็เผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันออกมา ช่างเหลวไหลสิ้นดี !
นางส่ายศีรษะ ในขณะที่นางกำลังจะหันหลังกลับไปที่ว่าการอำเภอเพื่อไปบอกลาพี่ชาย ทันในนั้นนางก็ได้เห็นแผ่นหลังที่แสนคุ้นเคยเดินออกมาจากโรงเตี๊ยมที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า
เอ่ยถึงผี ผีก็มา จางเพ่ยเอ๋อร์ปรับหมวกให้ต่ำลงหน่อย จากนั้นก็ลงจากม้าแล้วเดินตามแผ่นหลังที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้า
ฟู่เสี่ยวกวนก็กำลังจะเดินออกมาจากประตูพอดี
เขามิได้มีธุระสำคัญอันใดให้ต้องจัดการ จึงทำให้เขารู้สึกเบื่อหน่าย เลยอยากจะออกไปเดินเล่นผ่อนคลายกายใจด้านนอกเสียหน่อย แล้วถือโอกาสทำความเข้าใจสถานการณ์ในเมืองผิงหลิงไปด้วย
ในช่วงกลางวัน อาจจะเป็นเพราะหิมะตกหนัก เลยทำให้ผู้คนในเมืองผิงหลิงออกมาเดินบางตามากยิ่งนัก
ห้างร้านทั้งสองข้างทางนั้นเปิดมากถึงเจ็ดในสิบ แต่ทว่ากลับเงียบเชียบไร้เงาของผู้มาใช้บริการ ผู้จัดการร้านต่างก็นั่งสัปหงกอยู่หน้าเตาผิงตรงโต๊ะหน้าร้าน มีเพียงเหล่าเด็กน้อยที่ไร้ซึ่งความกังวลใด ๆ เท่านั้นที่ออกมาวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานท่ามกลางหิมะที่ตกลงมามิขาดสาย ต่างก็ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว เพิ่มสีสันและความมีชีวิตชีวาให้เมืองนี้ได้ดีมากยิ่งนัก
เศรษฐกิจของเมืองนี้ตกอยู่ในสภาวะอัมพาต !
ฟู่เสี่ยวกวนคิดไตร่ตรองแล้วทอดน่องเดินไปบนถนนเส้นนั้นอย่างเชื่องช้า ผู้คนต่างก็ต้องการที่จะจับจ่ายซื้อของในร้านรวง แต่ทว่าในกระเป๋าของพวกเขานั้นกลับมิมีเงินแม้แต่แดงเดียว
เดิมทีที่แห่งนี้นั้นพึ่งพาการจับจ่ายหลักจากคาราวานสินค้า แต่ทว่าเมื่อต้องเผชิญกับหายนะที่เจ้าจอมโจรกงเซินจ่างได้ก่อขึ้นมา ทำให้กองคาราวานสินค้าต่าง ๆ มิกล้าย่างกรายเข้ามาเหยียบที่นี่ เลยทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงักเหมือนน้ำที่หยุดนิ่งอยู่ในบ่อ
สิ่งเดียวที่สามารถทำให้น้ำไหลเวียนได้อีกคราก็คือต้องทำให้ผู้คนมีเงินในกระเป๋ามากยิ่งขึ้น
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา การจับจ่ายใช้สอยในเมืองแห่งนี้ก็อยู่ในระดับต่ำมาโดยตลอด พวกเขาจะยอมใช้จ่ายเพียงปัจจัยหลักของการอยู่รอดเท่านั้นเช่น อาหาร ยา และเครื่องนุ่งห่ม
ฤดูใบไม้ผลิปีหน้า คงจะต้องไหว้วานให้หวางเอ้อร์นำมันเทศมาที่นี่เสียหน่อย และคงต้องขอที่จากจางเหวินฮั่นและเยี่ยนหลินชิวสักสองสามแปลงเพื่อที่จะลองทำการเพาะปลูก
ต้องทำให้ผู้คนทั้งสองเมืองนี้เกิดแรงกระตุ้นที่จะอยากศึกษาวิธีการเพาะปลูกมันเทศกับหวางเอ้อร์
เดิมทีเขาวางแผนที่จะนำมันเทศที่เก็บเกี่ยวในปีนี้ปลูกที่ซีซานอีกคราในปีหน้า แต่ทว่าวันนี้ได้คิดแล้วว่าคงจะมิทันการเสียแล้ว
จำต้องเหลือมันเทศจำนวนเล็กน้อยเพื่อเก็บไว้เป็นเมล็ดพันธุ์ต่อที่ซีซาน ส่วนที่เหลือนั้นก็บรรทุกมาที่นี่ให้หมด
ในฐานะเศรษฐีที่ดินแน่นอนเสียว่าเขามิได้เป็นผู้ที่ใจบุญสุนทาน มันเทศเหล่านี้ก็ต้องเก็บเงินเช่นกัน ในส่วนที่ว่าผู้คนยินยอมที่จะควักเงินออกมาซื้อมันเทศหรือไม่นั้น เขากลับมิได้เป็นกังวลในเรื่องนี้ เพราะเยี่ยงไรเสียผู้คนเหล่านี้ก็ต้องเป็นแรงงานในโรงงานของตน เมื่อถึงเวลานั้นตนจะหักเงินจากค่าตอบแทนของพวกเขาก็ย่อมทำได้
ในส่วนเมล็ดพันธ์ของฟู่เอ้อร์ไต้นั้น ฟู่เสี่ยวกวนมิได้วางแผนที่จะมาทดลองเพาะปลูกที่นี่
การเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์ฟู่เอ้อร์ไต้นั้นมิได้ง่ายดายเลย ความสามารถในการผลิตของที่นี่นั้นช่างน่าเวทนามากยิ่งนัก ทำให้เขารู้สึกผิดต่อเมล็ดพันธุ์ของตนเอง
ในขณะที่เขากำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความคิดนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงตีเหล็กแว่วมาจากมุมของถนน เมื่อหันไปมองดวงตาของเขาก็ได้จรัสเป็นประกาย จากนั้นก็ได้เข้าไปดูด้วยความตื่นเต้น
“ร้านเครื่องเหล็กโจวจี้ ! ”
ประตูของห้องที่ดำทะมึนนั้นได้ถูกเปิดเอาไว้ เขายกเท้าก้าวเข้าไปในร้าน แสงไฟภายในนั้นมืดสลัว เขากวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้องอย่างละเอียด เครื่องใช้ที่ทำจากเหล็กนั้นมีให้เลือกเพียงแค่หยิบมือเท่านั้น มีเพียงพลั่วสามด้าม มีดทำครัวสี่เล่มและขวานอีกห้าด้ามแขวนอยู่ในตู้โชว์เท่านั้น
ภายในร้านไร้ซึ่งเงาของผู้คน เสียงนั้นได้ดังแว่วมาจากลานด้านหลังบ้าน จากนั้นเขาจึงเดินเข้าไปที่ลานด้านหลัง ส่วนจางเพ่ยเอ๋อร์นั้นได้ขมวดคิ้ว จากนั้นก็ได้ม้วนตัวลอยขึ้นไปบนหลังคาของร้านเหล็ก
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเดินมาถึงสวนด้านหลังเขาก็ได้พบกับชายวัยสี่สิบปีผู้ที่มีผิวดำกร้าน เขากำลังนั่งขัดค้อนโลหะเพื่อที่จะตีบางอย่างที่วางอยู่บนทั่ง
เมื่อเขาหันมาเห็นฟู่เสี่ยวกวน เขาก็มิได้เอ่ยกล่าวสิ่งใดออกมา แต่ยังคงก้มลงใช้ค้อนด้ามนั้นทุบตีโลหะอย่างมีจังหวะต่อไป จากนั้นก็นำสิ่งที่เพิ่งตีเสร็จลงไปแช่ในน้ำ และภายในภาชนะที่ใส่น้ำก็เกิดเสียง “ซ่า…” ดังขึ้นแล้วก็มีควันลอยโขมงขึ้นมา
“คุณชายต้องการซื้อสิ่งใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ” โจวเถียเจี้ยงเอามือเช็ดกับผ้ากันเปื้อนที่ผูกไว้ที่เอว แล้วเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง
ฟู่เสี่ยวกวนมองสิ่งที่อยู่บนทั่งของโจวเถียเจี้ยงด้วยความสงสัยใคร่รู้ “พลั่วด้ามนี้ของท่านนั้นดูมิเหมือนผู้ใด ! ”
โจวเถียเจี้ยงผงะเล็กน้อย แล้วจึงฉีกยิ้มกว้างออกมา “คุณชายรู้วิธีการหลอมเหล็กด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“รู้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงที่ท่านใช้ค้อนตี เหล็กที่ยังมิได้หลอมของท่านเมื่อได้เติมแร่ธาตุแล้วตีซ้ำอีกครานั้นได้ส่งเสียงดั่งเหล็กกล้าออกมามากเป็นพิเศษ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนได้หยิบส่วนหัวของพลั่วที่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา จากนั้นก็ได้เพ่งเล็งอย่างละเอียด แล้วได้ใช้มือของเขาลูบตรงปลายแหลม เมื่อหันกลับไปก็เห็นโจวเถียเจี้ยงกำลังตกอยู่ในอารามตกตะลึง
นี่เป็นสูตรลับที่ตระกูลโจวสืบทอดกันมาถึงสามรุ่น !
ทว่าคุณชายผู้นี้กลับฟังออกถึงความแตกต่าง หรือว่าเขาจะเป็นปรมาจารย์หลอมเหล็กผู้เยาว์วัยกัน ?
ทันใดนั้นเขาก็ได้คว้าเศษเงินออกมาจากกระเป๋า รวมกันได้ราวสองตำลึง แล้วส่งมอบให้กับโจวเถียเจี้ยง “จงใช้กลวิธีในการหลอมเหล็กเช่นนี้ทำกระบี่ให้ข้า 1 เล่ม นี่คือเงินมัดจำ เมื่อตีกระบี่เสร็จท่านต้องการเท่าใดก็จงเรียกมา แต่ทว่าข้าใคร่ขอเพียงอย่างเดียว”
“ขอคุณชายจงเอ่ยกล่าว ! ”
เมื่อโจวเถียเจี้ยงเห็นเงิน 2 ตำลึงอยู่ในมือสายตาก็ลุกวาวขึ้นทันที !
นานเท่าใดแล้วที่ขายมิได้ ลูกชายก็ป่วยหนักและมิมีเงินจ้างหมอมารักษา ภรรยาก็จำต้องเฝ้าไข้ลูกอยู่มิห่าง เหนื่อยสายตัวแทบขาด ทุกวันนี้ชีวิตช่างไร้ซึ่งความหวังให้ยืนหยัดสู้ต่อไป
วันนี้เขามาเปิดร้านก็หวังที่จะหาเงินได้สักเล็กน้อย ให้พอมีเงินไปซื้อยาให้กับลูกชายหัวแก้วหัวแหวน แต่กลับคิดมิถึงว่าจะได้พบกับเทพแห่งโชคลาภ !
“เจ้าใช้ทักษะในการตีเหล็กที่ยังมิได้หลอมให้เป็นเหล็กกล้า แต่ข้าต้องการกระบี่ที่ทำจากเหล็กกล้าทั้งเล่ม ! ”
โจวเถียเจี้ยงตกตะลึงทันพลัน แล้วรู้สึกผิดหวังขึ้นมาภายในใจ