นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 43 เกินความคาดหมาย
ตอนที่ 43 เกินความคาดหมาย
ตั้งแต่ออกมาจากสำนักศึกษาหลินเจียง ฟู่เสี่ยวกวนก็ตรงไปที่จวนโจวแห่งหลินเจียง บิดาจะรอเขาอยู่ที่นั่น เพื่อไปทำความเคารพขุนนางระดับสูงจือโจวด้วยกัน และขอใบอนุมัติการขุดแร่เหล็ก
ขณะที่นั่งอยู่ในรถม้า ฟู่เสี่ยวกวนย้อนนึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของฉินปิ่งจง เขาไม่ต้องการเห็นสงคราม ทุกคนต่างต้องการมีชีวิตอยู่ในประเทศที่สงบสุข มิต้องการรับความทรมานจากไฟสงคราม และความเจ็บปวดของการพลัดถิ่น
แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา สงครามไม่สามารถเปลี่ยนแปลงไปตามเจตนารมณ์ของใครเพียงคนหนึ่ง และการวางแผนล่วงหน้าก็มักจะไม่มีข้อผิดพลาด ถึงแม้ชาวฮวงจะมิได้มาโจมตีที่เจียงเป่ย แต่ที่น่ากลัวก็คือผู้ลี้ภัยและโจรป่า พวกประเภทจับปลาในน้ำขุ่นนั้น เป็นเรื่องปกติในสังคมที่กฎหมายยังไม่สมบูรณ์
ดังนั้นเขาจึงหวังว่าตัวเองจะมีอำนาจที่มากพอ และสามารถทำการค้นคว้าปืนไฟจนสำเร็จได้เร็ววัน
ในยุคนี้ได้มีดินปืนแล้ว และได้มีประทัดแล้วเช่นกัน ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้ว่าอาวุธปืนนั้นจะพัฒนาไปได้ถึงขั้นไหน แต่จากความรู้ของเขาที่มีต่อการหลอมเหล็กและดินปืน เบื้องต้นน่าจะยังอยู่ในขั้นของจุดเริ่มต้นของปืนไฟ เป็นปืนที่เติมและยิงเป็นครั้งต่อครั้ง
ไม่ได้ต่างไปจากราชวงศ์ซ่งเท่าใดนัก หากเป็นปืนไฟชนิดนี้ ความสำคัญของมันในสงครามจะไม่ได้มากมายเท่าไหร่ ระยะการยิงสั้น ความแม่นยำต่ำ เติมได้ช้า ต้นทุนการสร้างสูง กล่าวโดยรวมแล้วข้อดีมีไม่มาก การฟาดฟันยังสู้หน้าไม้ไม่ได้
ถ้าหากว่ากล่องดำนั่นตามมาด้วยก็คงจะดีไม่น้อย ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย
ส่วนที่ฉินปิ่งจงกล่าวถึงพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยและองค์หญิงเก้า หากพวกนางต้องการจะพบเขาจริง ๆ เยี่ยงนั้น เขาก็คงหลบไม่พ้น เมื่อถึงเวลานั้นแล้วค่อยกล่าวอีกครา คงไม่พ้นเรื่องบทกวีเป็นแน่
สำหรับความนิยมของความฝันในหอแดง เขามิได้รู้สึกเหนือความคาดหมาย หากหนังสือเล่มนี้มิได้รับความสนใจ นั่นต่างหากที่เกินความคาดหมาย และเขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับชื่อเสียงที่ได้มาจากหนังสือเล่มนี้ แต่ราคาของหนังสือนั้นทำให้เขารู้สึกชื่นชมต่งชูหลานยิ่งนัก
นี่คือการกำหนดราคาตามบท หนึ่งบทคือ 500 อีแปะ และทุกครั้งที่มีการเพิ่มบท นางจะพิมพ์บทก่อนหน้านี้มาด้วย ซึ่งนั่นทำให้ผู้คนตกหลุมกันอย่างมาก ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนอ่านไปแล้วสิบกว่าบท และได้ใช้เงินไปแล้ว 5 ตำลึง แต่เมื่อมีตอนใหม่เพิ่มขึ้นมา กลับต้องใช้เงินถึง 5 ตำลึงกับอีก 500 อีแปะ ถึงจะซื้อมาได้… หากรอจนกระทั่งหนังสือเล่มนี้ได้รับการแต่งเติมจนเสร็จ จะได้รับเงินมาเท่าใดกัน? ฟู่เสี่ยวกวนยากที่จะประมาณได้
ดูเหมือนว่าภายภาคหน้าที่เขียนจดหมายถึงต่งชูหลานคงต้องห้ามปรามนางบ้าง คาดว่าทั้งเล่มที่มีถึง 100 บท คงจะทำให้ผู้คนล้มละลายได้!
ในระหว่างที่กำลังใช้ความคิดอย่างวุ่นวายอยู่ในหัว รถม้าก็มาหยุดอยู่ที่หน้าประตูจวนโจว ฟู่เสี่ยวกวนลงจากรถม้า ก็พบว่าฟู่ต้ากวนได้มารอเขาอยู่แล้ว
“ลูกชาย ท่านนี้คือหลิ่วซานเย่ คำนับซานเย่”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินมายืนข้างกายร่างท้วมของฟู่ต้ากวน ด้วยใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ และกล่าวด้วยความเคารพ “ข้าน้อยขอคารวะท่านซานเย่ขอรับ!”
“อย่าได้ห่างเหินกันเลย คุณชายฟู่ในวันนี้เป็นถึงผู้มีพรสวรรค์ชั้นแนวหน้าของหลินเจียง มิต้องพูดถึงบทกวีจิตใจต่างสื่อสารไปถึงกัน เพียงแค่ความฝันในหอแดง ก็ทำให้ชื่อเสียงของคุณชายฟู่กระฉ่อนไปทั่วหล้าแล้ว ตามข้ามา เข้าทางด้านหลังจวนไปคารวะขุนนางระดับสูงจือโจวกัน”
ทางที่พวกเขาเดินเข้าไปคือประตูด้านข้าง
เมื่อเดินผ่านสวนดอกไม้ ผ่านระเบียงทางเดินที่ลาดยาว ข้ามผ่านประตูวงเดือน ก็ได้มาถึงด้านหลังของจวน
ที่นี่เงียบสงบ การตกแต่งนั้นเรียบง่าย แสงแดดถูกปกคลุมด้วยร่มเงา ช่วยขจัดความร้อนไปได้เล็กน้อย
หลิวจือต้งอายุอานามประมาณ 50 ปี ร่างกายผ่ายผอมใบหน้าหย่อนคล้อย เปลือกตาคล้อยลงมาเล็กน้อย ในขณะนี้กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ร่มไม้ สองตานั้นราวกับปิดอยู่ก็ไม่ปาน
เมื่อทั้งสามมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าของเขา เขาก็เงยศีรษะขึ้นมาเล็กน้อย ดวงตาคู่นั้นเปิดออก สิ่งที่เผยขึ้นมาในสายตาเป็นอันดับแรกคือใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน ทันใดนั้นแววตาก็เฉียบคมขึ้นแต่มิได้คุกคาม ยิ่งทำให้เขาดูน่าเกรงขามและกดดัน
ใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนยังคงมีรอยยิ้ม เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวและคารวะอย่างนอบน้อม “ข้าน้อยฟู่เสี่ยวกวน ขอคารวะขุนนางระดับสูงจือโจว”
“อืม…” หลิวจือต้งวางหนังสือในมือลง ยังคงจับจ้องไปที่ฟู่เสี่ยวกวน และเอ่ยถามว่า “ความฝันในหอแดงเขียนได้มากน้อยเท่าใดแล้ว?”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงัก ก่อนจะเอ่ยตอบ “นั่นเป็นเพียงงานในยามว่างเท่านั้น และในช่วงนี้ข้าน้อยค่อนข้างยุ่ง จึงเขียนเพิ่มได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพิ่งจะถึงบทที่ 28 ขอรับ”
“หนังสือเล่มนี้ใช้ได้เลย เจ้าถือเป็นบัณฑิตที่มีพรสวรรค์ที่ช่วยเป็นหน้าเป็นตาให้แก่หลินเจียงเป็นอย่างมาก แต่ข้าอยากจะกล่าวสักเล็กน้อย เนื้อหาที่เขียนเกี่ยวข้องกับชายหนุ่มและหญิงสาวมากมายข้างใน เขียนให้น้อยลงเถิด บทกวีเหล่านั้นยอดเยี่ยมยิ่ง สมควรได้รับการยกย่อง แน่นอนว่าหนังสือเล่มนี้เจ้าเป็นผู้ประพันธ์ ที่ข้ากล่าวเยี่ยงนี้ก็เพราะกลัวว่าเจ้าจะทรมานกับคำพูดของผู้คน”
ฟู่เสี่ยวกวนโค้งคำนับอย่างนอบน้อมอีกครา แล้วกล่าวว่า “สิ่งที่ท่านกล่าวมานั้นเป็นจริงยิ่ง หลังจากนี้ข้าน้อยจะระวังให้มากกว่านี้ขอรับ”
“เติบโตพอที่จะถ่ายทอดวิชาได้แล้วอย่างแท้จริง” หลิวจือต้งยกชาขึ้นมาจิบ และกล่าวอีกว่า “เอกสารที่เจ้าต้องการขอขุดเหมืองข้าได้อ่านแล้ว ในยามนี้ข้ามิอาจลงตราประทับให้ได้ ตัวข้าคิดว่า ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า หนทางของนักประพันธ์น่าจะเป็นหนทางที่เจ้าควรจะก้าวเดินเสียมากกว่า ประการที่หนึ่งเรื่องของเหมืองแร่นั้นมีทางการเป็นผู้ควบคุมอยู่แล้ว… ประการที่สอง …เส้นทางที่เจ้าจะตะลุยไปนี้จะมิเป็นการพลาดหนทางที่ถูกต้องไปรึ?”
ประโยคนี้หลิวจือต้งกล่าวในฐานะจือโจว นี่คือคำพูดในแบบทางการ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือการกล่าวในแบบธุรกิจ
ฟู่เสี่ยวกวนได้ยินเยี่ยงนั้น หัวใจพลันกระตุก แต่สีหน้านั้นกลับมิได้เปลี่ยนไป เขายังคงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สิ่งที่ท่านกล่าวมานั้นเป็นจริงยิ่ง ข้าน้อยคิดไว้เยี่ยงนี้ การประพันธ์หนังสือนั้นก็มิอาจปล่อยวางได้ แต่ข้าน้อยก็อยากทำกิจการอื่นด้วยเช่นกัน แต่เดิมเคยใคร่ครวญเรื่องการค้าเกลือ และได้เคยไปไถ่ถามเรื่องนี้แล้ว แต่เกลือในหลินเจียงได้มีการวางผู้ค้ามาแต่เนิ่นนานแล้ว กิจการนี้จึงหมดหนทางจะทำได้ เมื่อมาลองครุ่นคิดดูแล้ว เหมืองแร่ของหลินเจียงนั้นยังคงมีส่วนแบ่งอยู่บ้าง ดังนั้นข้าน้อยจึงวาดหวังจะเดินไปในเส้นทางนี้ จึงต้องขอให้ท่านผ่อนผันให้แก่ข้าน้อยด้วย”
หลิวจือต้งเอนกายพิงเก้าอี้ และหยิบสมุดบัญชีขึ้นมา มิได้มองทั้งสามคนอีก และกล่าวเสียงเรียบ “เอกสารชุดนั้นวางไว้ที่ข้าก่อน ข้าจะใคร่ครวญอีกครา พวกเจ้ากลับไปรอเถอะ”
“นั่น…” ฟู่ต้ากวนร้อนรนเล็กน้อย ฟู่เสี่ยวกวนจึงดึงมือของฟู่ต้ากวนเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “เยี่ยงนั้น คงต้องรบกวนท่านแล้วขอรับ”
สองพ่อลูกถอยออกไป หลิ่วซานเย่ก็เดินตามมาในภายหลัง
ฟู่ต้ากวนเอ่ยถาม “หรือว่าเงินมิพอกัน?”
หลิ่วซานเย่หัวเราะเสียงขมขื่น “นั่นมิใช่ปัญหาเรื่องเงินหรอก”
“เยี่ยงนั้นแล้วทำไม?”
หลิ่วซานเย่มองไปทางฟู่เสี่ยวกวน แล้วกล่าวว่า “ลูกพี่ลูกน้องของจางจือเช่อ คืออนุของขุนนางระดับสูงจือโจว ถึงแม้จะเป็นเพียงอนุ แต่ขุนนางระดับสูงหลิวก็เคารพคุณนายที่สามมากที่สุด และโปรดปราณมากที่สุดเช่นกัน เมื่อคืนวานจางจือเช่อและจางเพ่ยเอ๋อร์ได้มาพบคุณนายที่สาม วันนี้ขุนนางระดับสูงหลิวจึงได้เปลี่ยนความตั้งใจไป… เจ้าเคยสร้างความขุ่นเคืองใจให้จางเพ่ยเอ๋อร์ใช่หรือไม่?”
นี่มันเรื่องอันใดกัน !
ฟู่เสี่ยวกวนลูบหน้าผากไปมาแล้วมิพูดอันใด แต่หลิ่วซานเย่ก็มองออก เขากล่าวเสริมอีกว่า “ขุนนางระดับสูงหลิวกล่าวว่าให้วางเอกสารชุดนี้ไว้ที่เขาก่อน นั่นก็คือการคว้าไว้เพียงกำมือเดียว ความหมายนั้นก็ชัดเจนยิ่ง ต่อจากนั้นจะสำเร็จหรือไม่ข้าเองก็ช่วยเจ้ามิได้ อยู่ที่เจ้าแล้วเสี่ยวกวน ว่าจะจัดการเรื่องนี้เยี่ยงไร”
……
…..
“เจ้าจะจัดการเยี่ยงไร?” ด้านหลังของจวนฟู่ ฟู่ต้ากวนเอ่ยถาม
“ข้ามิคิดว่าแม่นางผู้นั้นจะใช้วิธีสกปรก พอไว้เท่านี้ ข้าจะคิดหาวิธีอื่น”
“จางเพ่ยเอ๋อร์ เจ้าคิดยังไงกับนาง?”
“ ไม่มีความรู้สึก ! ”
“ผู้เยาว์เยี่ยงเจ้า ขึ้นเตียงปิดไฟแล้วนอนกลิ้งเกลือกอยู่บนเตียงเสียครู่ เดี๋ยวก็รู้สึกขึ้นมาเอง เฮ้อ…”