นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 441 สถานการณ์
ตอนที่ 441 สถานการณ์
ในยามราตรีที่เงียบสงัดมีดวงดาราส่องแสงระยิบระยับทั่วทั้งท้องนภา
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ในศาลาเถาหราน และได้ยิ้มกว้างออกมา
“เสี่ยวไป๋ รั่วซีมิใช่สตรีธรรมดาทั่วไป วิชาการฝึกของดาบเทวะมิต้องสงวนแก่รั่วซี หากนางต้องการจะเข้าร่วม ข้ารับปากได้เลยว่าอย่างน้อยนางจะสามารถเป็นกองพลได้อย่างแน่นอนในยามที่จบการศึกษา”
“แน่นอนว่า เรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับความประสงค์ของเจ้า”
ไป๋ยู่เหลียนจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาล้ำลึก วิชาการฝึกของดาบเทวะต่อให้เป็นการถวายให้แก่ฝ่าบาท ก็ยังต้องเป็นฉบับที่รวบรัด เหวินรั่วซีเป็นคนของราชวงศ์อู๋ แน่นอนว่าฟู่เสี่ยวกวนเองก็เป็นคนของราชวงศ์อู๋เช่นกัน ทั้งยั้งเป็นถึงองค์ชายของราชวงศ์อู๋ แต่ฟู่เสี่ยวกวนหาได้ใส่ใจเรื่องของราชวงศ์อู๋ไม่
ดังนั้นไป๋ยู่เหลียนจึงคิดว่าวิชาการฝึกของดาบเทวะ เป็นเรื่องที่มิควรให้สตรีของราชวงศ์อู๋ผู้หนึ่งมารับทราบด้วย
แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับหาได้ใส่ใจไม่ สตรีผู้นี้ก็เหมาะกับความชอบของตนอย่างแท้จริง ดังนั้นเขาจึงพยักหน้า
เหวินรั่วซีรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก จากนั้นจึงโค้งคำนับให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน “ข้าควรเรียกท่านว่าองค์ชาย หรือเรียกท่านว่าคุณชายดี ? ”
“อย่าได้สนใจเรื่องไร้สาระเหล่านั้นเลย เรียกข้าว่าคุณชายก็พอแล้ว”
“เจ้าจะมิกลับไปที่ราชวงศ์อู๋แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? แต่ข้าได้ยินมาว่าไทเฮาได้พระราชทานหมั้นหมายหนานกงตงเซวี๋ยให้แก่เจ้าแล้ว”
ของขวัญที่อู๋หลิงเอ๋อร์ส่งมาให้กับฟู่เสี่ยวกวนยังอยู่ในระหว่างการเดินทาง เขามิทราบว่าหนานกงตงเซวี๋ยก็ได้แนบจดหมายมาให้กับเขาด้วย 1 ฉบับ
ในเรื่องนี้มิสามารถโทษความประมาทของอู๋หลิงเอ๋อร์ได้ แต่เป็นเพราะฟู่เสี่ยวกวนรีบร้อนที่จะแต่งงานจนเกินไป
แคว้นฝาน…ฝานเทียนหนิง แคว้นอี๋…เยียนหานยวี่ หลังจากที่ได้ทราบข่าวนี้แล้ว ต่างก็ได้ส่งของขวัญมาให้ฟู่เสี่ยวกวน เพียงแต่ตอนนี้ยังอยู่ในระหว่างการเดินทาง
“เป็นเรื่องที่ดีที่หลิงเอ๋อร์ขึ้นเป็นจักรพรรดินี ทุกคนต่างก็กล่าวกันว่าสตรีขึ้นเป็นจักรพรรดิมิได้ เพียงแต่สรุปแล้วหลิงเอ๋อร์ป่วยเป็นอันใดกันแน่ เจ้าพอจะทราบหรือไม่ ? ”
เหวินรั่วซีส่ายหน้า “ข้าได้ยินมาเพียงว่าหลังจากที่นางเข้าไปในคฤหาสน์จิ้งหูก็มิยอมออกมาอีกเลย หลังจากที่หมอหลวงเข้าไป ก็มิเคยได้ออกมาเช่นกัน ต่อให้จำเป็นจะต้องใช้ยา กล่าวกันว่าก็เป็นยาที่หมอหลวงได้เตรียมมา และมีบางคราที่ให้หนิงซือเหยียนออกไปซื้อด้วย…”
เหวินรั่วซีกัดริมฝีปาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล “ฟังแล้ว ดูเหมือนจะหนักหนาอยู่พอควร”
ฟู่เสี่ยวกวนเงียบไปอีกอึดใจ “มีอัครมหาเสนาบดีทั้งฝ่ายซ้ายและขวา อีกทั้งยังมีไทเฮาซีคอยดูอยู่ ราชวงศ์อู๋ย่อมมิเกิดความโกลาหลขึ้นมาเป็นแน่”
เขาหันหน้าไปมองซูซูและซูโหรว และเอ่ยถามว่า “ช่วงหลายวันมานี้ข้ายุ่งเป็นอย่างมาก ศิษย์พี่ใหญ่ไปที่ใดกัน ? ”
ซูซูเบะปาก ซูโหรวก้มหน้าหลบสายตา สีหน้าดูหงอยเหงา และเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ก่อนหน้านี้สองสามวันที่อำเภอผิงหลิง พวกข้าได้เข้าปะทะกับคนนับสิบที่องครักษ์ฝ่ายขวาเหมียวเสี่ยวเสี่ยวของศาสดาลัทธิจันทราเป็นผู้พามา เขาได้รับบาดเจ็บ และได้กลับอารามไปเพื่อทำการรักษาแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนตกใจขึ้นมาทันพลัน ซูเจวี๋ยคือผู้มีฝีมือระดับสูงที่ขาข้างหนึ่งได้ย่างเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์แล้ว คาดมิถึงว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บ
ซูโหรวเอ่ยเสียงเบา แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับทราบว่าบาดแผลนั้นเกรงว่าจะมิใช่บาดแผลเล็ก ๆ เสียแล้ว
เขาคิ้วขมวด “ลัทธิจันทราไปทำอันใดที่ผิงหลิงกัน ? ”
ซูซูเงยหน้าขึ้นมองฟู่เสี่ยวกวน และกล่าวว่า “เพื่อสังหารชาวบ้านพวกนั้น ชาวบ้านที่ทำงานอยู่ในโรงงานปูนซีเมนต์ของเจ้า”
ข้าไปอยู่ที่ใดมากัน !
พวกสารเลวนั่นจะทำเกินไปแล้ว !
“แล้วทำสำเร็จหรือไม่ ? ”
“โชคดีที่ศิษย์พี่ใหญ่พาพวกข้าไปถึงได้ทันเวลา ชาวบ้านเหล่านั้นมิได้ประสบกับหายนะ แต่ศิษย์พี่ใหญ่กลับได้รับบาดเจ็บ”
“เหมียวเสี่ยวเสี่ยวเก่งกาจมากเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เขาเป็นปรมาจารย์ครึ่งก้าวแล้ว เจ้าว่าเก่งกาจหรือไม่เล่า ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนตกใจมากยิ่งขึ้นไปอีก “สุดท้ายแล้วอาการบาดเจ็บของศิษย์พี่ใหญ่เป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
ซูโหรวเหลือบสายตาขึ้นมา และกล่าวว่า “ยังมิตาย ตัวเขาคือปรมาจารย์ฉีหวง เขาดีกว่าเหมียวเสี่ยวเสี่ยวอยู่มาก ต่อให้เหมียวเสี่ยวเสี่ยวไม่สิ้นแต่เกรงว่าก็จะโดนถลกหนังไปอยู่ดี”
ที่ฟู่เสี่ยวกวนมิทราบก็คือ วันนั้นซูโหรวได้คลุ้มคลั่ง !
ในยามที่ซูเจวี๋ยและเหมียวเสี่ยวเสี่ยวระเบิดพลังกระบี่เพื่อฟาดฟันกันคราสุดท้าย และเมื่อกระบี่ไม้ของซูเจวี๋ยทะลวงปราณที่ปกป้องร่างของเหมียวเสี่ยวเสี่ยวไปแล้ว หลังจากที่ทะลุท้องของเหมียวเสี่ยวเสี่ยวไป ดาบของเหมียวเสี่ยวเสี่ยวก็เกือบจะผ่าหมวกของซูเจวี๋ยในเวลาเดียวกัน ผ่าลงมาจนอีกาตัวนั้นบินหนี ซูเจวี๋ยเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อย แต่ก็มิพ้น
ดาบเล่มนั้น ผ่าลงมาจากหน้าผากด้านซ้ายของซูเจวี๋ย ผ่าผ่านสันจมูก และผ่าจนไปถึงซีกแก้มด้านขวาของซูเจวี๋ย
ซูโหรวเกิดอาการคลุ้มคลั่ง เข็มของนางทะยานไปหาเหมียวเสี่ยวเสี่ยวอย่างบ้าคลั่ง ด้ายสีแดงบนเข็มนั้น ตัดเนื้อของเหมียวเสี่ยวเสี่ยวออกเป็นแผ่น ๆ
กองกำลังนับสิบที่เหมียวเสี่ยวเสี่ยวพามาด้วยต่างก็ดับสูญ แต่ในตอนสุดท้ายนางก็ใช้เล่ห์กลโดยใช้เลือดปกคลุมร่างและหายไป
ดังนั้นบาดแผลของซูเจวี๋ยจะกล่าวว่าเบาก็ย่อมได้ เพราะมิได้บาดเจ็บถึงแก่นของวรยุทธ์ จะกล่าวว่าหนักอีกก็ย่อมได้ เพราะหน้าตาที่ไร้ร่องรอยของบาดแผลเยี่ยงนั้น คงจะมิมีอีกต่อไปแล้ว
ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วกล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบามากยิ่งนัก “ลัทธิจันทรา เสี่ยวไป๋เอ๋ย กองกำลังดาบเทวะต้องไปที่ซีหรง หลังจากที่เจ้ากลับซีซาน เรื่องที่หนึ่งคือต้องรีบเกณฑ์ทหาร เรื่องที่สองคือให้สำนักอาวุธปืนผลิตปืนคาบศิลาออกมาจำนวนมาก บัดนี้ฉินเฉิงเย่ได้ไปผิงหลิงแล้ว เฟิ๋งหล่าวซื่อก็ได้นำคนจำนวนหนึ่งไปที่ผิงหลิงแล้วเช่นกัน
หากทุกอย่างเป็นไปได้อย่างราบรื่น ก็ให้สร้างสำนักอาวุธปืนใหม่ที่ผิงหลิง แล้วผลิตอาวุธชนิดใหม่ขึ้นมา เมื่อมีอาวุธนี้ กองกำลังดาบเทวะก็มิต้องกลัวเหล่าผู้มีฝีมือของยุทธภพอีกต่อไปแล้ว…”
สำหรับซีหรงและสำหรับลัทธิจันทรานั้น ฟู่เสี่ยวกวนยังคงต้องใคร่ครวญอีกมาก
หากกองกำลังดาบเทวะได้เข้าไปในภูเขาหมิน ข้ามผ่านกระดานไม้ แล้วทะลวงหมอกพิษ เรื่องเหล่านี้มิใช่ปัญหา ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือ ลัทธิจันทราแทบจะเป็นผู้มีฝีมือระดับสูงกันทั้งสิ้น
แม้จะกล่าวว่าปืนคาบศิลาสามารถสังหารผู้มีฝีมือระดับสูงได้ แต่ในเทือกเขานั้น มีผู้มีฝีมือมากมายเหาะเหินไปทั่ว… รัศมีหวังผลของปืนคาบศิลาคาดว่าคงมิพอ หนึ่งนาทีบรรจุกระสุนได้มากที่สุดก็เพียงแค่ 3 คราเท่านั้น ทหารของดาบเทวะต่างก็เป็นคนธรรมดา หูตาของพวกเขามิได้ว่องไวเท่าผู้มีฝีมือระดับสูงเหล่านั้น ในระหว่างที่ทำการบรรจุกระสุน ก็จะถูกผู้มีฝีมือระดับสูงสังหารได้อย่างง่ายดายเป็นแน่ !
แต่ถ้าหากสามารถทำปืนพกออกมาได้ หรือต่อให้เป็นรุ่นที่ง่ายที่สุด ดาบเทวะก็จะสามารถปะทะกับผู้มีฝีมือระดับสูงได้ !
ไป๋ยู่เหลียนมิได้เอ่ยถามฟู่เสี่ยวกวนว่าจะทำของสิ่งใดขึ้นมาอีก เขาเพียงพยักหน้าเท่านั้น “ข้าได้มอบคำสั่งให้เฉินป๋อไปแล้ว ผิงหลิงและชวูอี้แต่ละกองจะต้องมีทหาร 1,000 นาย ให้ทหารใหม่ฝึกฝนอยู่ภายในภูเขาผิงหลิง และให้ทหารเก่าแบ่งกลุ่มเพื่อเข้าร่วม หากมิมีเรื่องอันใดก็ให้ไปโจมตีทุ่งหญ้าที่แคว้นฮวง ถือเป็นการฝึกขี่ม้าไปด้วย”
ในยามที่ฟู่เสี่ยวกวนและไป๋ยู่เหลียนกำลังวางแผนในอนาคตให้กับดาบเทวะ ขันทีเหนียนผู้อยู่ข้างกายของฮองเฮาซั่งก็ได้เดินเข้ามา
เขาเอ่ยทักทายฟู่เสี่ยวกวน และได้ส่งสารลับให้กับเขาหนึ่งฉบับ “เป็นข่าวล่าสุดของหอซี่หยู่ พระประสงค์ของฮองเฮาก็คือ… คุณชายโปรดอ่านเถิด ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนรับมาแล้วเปิดอ่าน ทันใดนั้นคิ้วของเขาก็ขมวดขึ้นมาทันพลัน
“รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่เก้า เดือนสิบเอ็ด วันที่สอง ในตอนที่กองทัพชายแดนตะวันออกของข้าเอาชนะทัพใหญ่ 500,000 นายของแคว้นอี๋ได้ มีความตั้งใจจะรุกไปทางตะวันออกต่อในวันรุ่งขึ้น แต่แล้วก็ได้มีกองโจรลัทธิจันทราปรากฏตัวขึ้นที่เมืองไท่หลินเมืองหลวงของแคว้นฮวง
คุณชายจี้ได้ตรวจสอบแล้วว่าเป็นความจริง กองโจรนับสิบกว่าคนเป็นคนของลัทธิจันทราโดยมีผู้อาวุโสม่อเหวินเป็นผู้นำ และได้เข้าเฝ้าจักรพรรดิของแคว้นอี๋ คนทั้งสองได้สนทนากันในห้องลับอยู่นานหนึ่งวัน จนถึงวันที่สี่ เดือนสิบเอ็ด เหล่าโจรก็ได้ออกไปจากเมืองไท่หลินและตรงไปยังแคว้นฮวง”
รายงานที่ส่งมาเรียบง่ายเป็นอย่างมาก แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับอ่านวนไปมาถึง 3 ครา หลังจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาถามว่า “ก่อนหน้านี้เป็นผู้ใดในแคว้นอี๋ที่มาขอเจรจาสงบศึก ? ”
ขันทีเหนียนโน้มกายลงมาแล้วตอบว่า “องค์รัชทายาทของแคว้นอี๋…เยียนเหลียงเจ๋อเป็นผู้นำ”
“แล้วในวันนี้พอจะมองเห็นเงื่อนงำแล้วหรือไม่ ? ”
ขันทีเหนียนส่ายหน้า ฟู่เสี่ยวกวนเงียบไปชั่วขณะ “ข้าต้องการข้อมูลทั้งหมดของเยียนเหลียงเจ๋อ ! ”