นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 443 พระประสงค์
ตอนที่ 443 พระประสงค์
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่เก้า เดือนสิบสอง วันที่หนึ่ง
ณ ราชวงศ์หยู ได้มีการประชุมใหญ่ราชวงศ์
รถม้าของฟู่เสี่ยวกวนได้มาถึงลานกว้างของท้องพระโรงเฉิงเทียนในช่วงยามเหม่า
ทันทีที่เขาลงจากรถม้าก็สะดุ้งขึ้นมาทันที มันจะหนาวเกินไปแล้ว !
สองมือของเขายังคงสอดอยู่ภายในแขนเสื้อ และได้ยืนอยู่ในที่ห่างไกลผู้คนเฉกเช่นแต่ก่อน ยืนรอจนประตูของท้องพระโรงเฉิงเทียนจะเปิดออก
หากเป็นในอดีต จะมีเพียงเสนาบดีมิกี่คนเท่านั้นที่จะเข้ามาสนทนากับเขา แต่ในวันนี้กลับแตกต่างออกไป
เห็นได้ชัดว่าเขานั้นยืนอยู่ในมุมมืด แต่กลับเป็นเหมือนแสงไฟที่ส่องสว่างขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด การมาของเขาได้ดึงดูดความสนใจของเหล่าเสนาบดีจำนวนมาก ดังนั้นพวกเขาจึงได้เดินเข้ามาพร้อมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“สวัสดีท่านฟู่ ! ”
“อรุณสวัสดิ์ท่านฟู่ ! ”
“ท่านฟู่กินมื้อเช้าแล้วหรือยังขอรับ ? ข้ายังมีซาลาเปาร้อนเก็บเอาไว้อยู่ 2 ลูกขอรับ ! ”
“จากที่เห็นสีหน้าของท่านฟู่แล้ว หลายวันมานี้ต้องมีความสุขมากเป็นแน่ ! ”
“…..”
มารดามันเถอะ แสงสว่างในที่มืดมิด คาดมิถึงว่าพวกเจ้าจะมองเห็นหน้าข้าได้อย่างชัดเจน !
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่วน กุมมือขึ้นมาแล้วหมุนไปรอบด้าน “ทุกท่านคิดถึงข้ากันเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“พวกเราคิดถึงท่านจวนจะตายอยู่แล้ว หากฟ้ามิให้กำเนิดท่านฟู่ ใต้หล้านี้คงมืดมิดไปตลอดกาล ท่านฟู่เป็นแสงสว่างอันโชติช่วง มิเพียงแต่จะส่องสว่างในค่ำคืนอันมืดมิด ทั้งยังส่องสว่างวิสัยทัศน์ของพวกเรา…” ทันใดนั้นคนผู้นั้นก็หัวเราะออกมาอย่างมีเลศนัย แล้วกล่าวเสียงแผ่วว่า “หากท่านมีเวลาว่าง คืนนี้ข้าได้จัดงานเลี้ยงขึ้นที่หงซิ่วจาว แม่นางหลิ่วเยียนเอ๋อร์ผู้นั้น มีเสน่ห์ที่น่าดึงดูดยิ่งกว่าปีที่แล้วเสียอีก”
ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองทางคนผู้นั้น ใบหน้าแบบนี้ ข้ามิรู้จักเป็นแน่
คนผู้นั้นยิ้มขึ้นมาและได้ยกมือขึ้นคำนับ “ข้าน้อยหลี่ฉาย บุตรชายของหลี่จินโต้วแห่งธนาคารเป่าหลง เดิมทีดำรงตำแหน่งอยู่ที่กรมจินปู้ ณ กรมคลัง ช่วงนี้ได้บรรจุในตำแหน่งชื่อหลางฝ่ายขวาของกรมคลังที่ขาดมาโดยตลอด และได้อยู่ภายใต้บัญชาของเสนาบดีต่ง”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าหยูเวิ่นหวินเคยกล่าวถึงนามหลี่จินโต้วผู้นี้มาก่อน นางกล่าวว่านางได้ขอให้ฮองเฮาซั่งพาตัวหลี่จินโต้วหลงจู๊ใหญ่แห่งธนาคารเป่าหลงมาให้กับพวกเขา… คาดมิถึงว่าคนผู้นี้จะเป็นบุตรชายของหลี่จินโต้ว
“เป็นท่านหลี่นี่เอง ข้าได้ยินชื่อเสียงมาเนิ่นนานแล้ว กล่าวได้ว่า…ข้าชื่นชมเขาเป็นอย่างมาก อยากจะพบเจอมาเนิ่นนาน หากเลิกการประชุมแล้วจะพาข้าไปพบเขาได้หรือไม่ ? ”
ทุกคนได้ยินเหมือน ๆ กันมิผิดเพี้ยน ฟู่เสี่ยวกวนอยากจะพบกับหลี่จินโต้วเยี่ยงนั้นหรือ ? เขาต้องการจะสื่อถึงอันใดกันแน่ ?
ธนาคารเป่าหลงเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของราชวงศ์หยู หลี่จินโต้วดูแลธนาคารเป่าหลงมาเนิ่นนานหลายสิบปี ถือเป็นบุคคลที่มีบทบาทในแนวหน้าของเมืองหลวงเช่นเดียวกัน แต่เยี่ยงไรเสียเขาก็คือหลงจู๊ใหญ่ของธนาคารผู้หนึ่ง ไร้ชื่อเสียง ในสายตาของเหล่าขุนนาง ท้ายที่สุดก็มิอาจขึ้นมาได้สูงกว่านี้แล้วอย่างแน่นอน
แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับแตกต่างออกไป
ในวันนี้เขาได้เป็นผู้มีอำนาจคนใหม่ในเมืองหลวงอย่างแท้จริง !
มิต้องกล่าวไปถึงนโยบายการเมืองใหม่ที่มีเขาเป็นผู้นำ เพียงภูมิหลังภรรยาทั้งสามคนของเขา ก็มิมีพลเรือนหรือทหารคนใดในราชวงศ์นี้ที่กล้าดูหมิ่นแล้ว
ส่วนอีกฐานะหนึ่งของเขา…นั่นเป็นเรื่องที่ทุกคนได้ตระหนักอยู่ในใจ มิมีผู้ใดกล้าที่จะเอ่ยขึ้นมา
ดังนั้นคำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวน ในสายตาของเสนาบดีเฒ่าเจ้าเล่ห์เหล่านี้ ได้แสดงถึงความหมายบางอย่างที่แฝงอยู่
หลี่ฉายรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก จากนั้นก็ได้รีบยกมือขึ้นมาคารวะ “เป็นเกียรติของตระกูลหลี่อย่างยิ่งที่ท่านฟู่ต้องการจะพบท่านพ่อ ค่ำคืนนี้ตระกูลหลี่จะจัดงานเลี้ยงที่บ้าน เห็นเป็นเยี่ยงไรบ้างขอรับ ? ”
“เยี่ยงนั้นข้าขอมิเกรงใจแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนตกปากรับคำ ขุนนางจำนวนมากต่างมองหลี่ฉายด้วยสายตาดูถูก พลางลอบคิดในใจว่าคนผู้นี้ได้เริ่มลงมือไปก่อนเพื่อความได้เปรียบแล้ว
ชางกวนเหวินซิ่วได้เบียดเข้ามาจนถึงตัวของฟู่เสี่ยวกวน แล้วหัวเราะร่า “ท่านฟู่ ท่านคณบดีหลี่ชิงเฟิงฝากข้อความกับข้ามาถึงท่าน ในเวลาว่างขอให้ท่านไปปรากฏตัวที่สำนักศึกษาเสียหน่อย หากมิสบายใจ ก็เข้ามาบรรยายให้แก่เหล่าบัณฑิตบ้าง ท่านเห็นว่าเป็นเยี่ยงไร ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกไปมา ตนเองได้รับเงินเดือนจากสำนักศึกษามาหลายเดือนแล้ว และควรจะไปปรากฏตัวที่สำนักศึกษาเสียบ้าง ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าตกลงอีกครา “ให้ผ่านช่วงหลายวันนี้ไปก่อนก็แล้วกัน ข้าจะไปอย่างแน่นอน”
“ดี ๆ ๆ นอกจากนี้… ตำแหน่งนั้นในกั๋วจื่อเจี้ยนยังคงเว้นว่างให้เจ้ามาโดยตลอด มีเวลาก็ไปนั่ง ๆ ดูเสียบ้าง”
สวี่หวยซู่ยืนอยู่ห่างออกไป เขาเฝ้ามองดูอย่างเงียบ ๆ ลอบคิดในใจว่าในที่สุดเด็กคนนี้ก็ได้รับการยอมรับจากเหล่าขุนนางเสียที เพียงแค่ด้วยตัวตนของเขา ในราชสำนักของราชวงศ์หยู เกรงว่าจะหยุดอยู่ที่เจี้ยนอี้ต้าฟูขั้นสี่เสียแล้ว…
เยี่ยงไรแล้วเขาก็คือองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋ ฮ่องเต้จะกล้าใช้งานเขาหนักได้เยี่ยงไร !
แต่ในที่ที่ห่างไกลออกไป ฉินฮุ่ยจือจากสำนักเสนาบดีและสำนักผู้ตรวจการ ก็ได้สอดมือไว้ในแขนเสื้อเช่นเดียวกัน มองมายังมุมที่ครึกครื้นนั้นเป็นครั้งครา ใบหน้ามิสุขมิเศร้า แต่มิทราบว่ากำลังคิดอันใดอยู่
……
……
ณ ท้องพระโรงเฉิงเทียน
ฟู่เสี่ยวกวนยังคงยืนอยู่ที่ด้านหลังสุด
แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ ขุนนางที่ขนาบข้างซ้ายขวาของเขามิเพียงแต่จะมิขยับห่างออกไปเท่านั้น แต่กลับยืนอยู่ใกล้เป็นอย่างมาก จนทำให้เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
ฮ่องเต้หยูยิ่นขึ้นไปบนแท่นมังกรด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย สะบัดชายเสื้อและนั่งลงบนบัลลังก์มังกร
สายตาของเขาได้สบเข้ากับใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนเป็นคนแรก ทันใดนั้นจึงได้มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา
“ประชุมใหญ่ราชวงศ์ในวันนี้ ข้าจะประกาศการตัดสินใจด้วยกัน 3 เรื่อง ! ”
ห้องโถงเงียบสงบลงไปทันพลัน ทุกคนต่างตั้งตารอฟังอย่างตั้งใจ… สิ่งที่เรียกว่าการตัดสินใจ ย่อมเป็นการตัดสินใจขั้นเด็ดขาด มิจำเป็นต้องทำการหารืออีก และเพื่อประกาศพระประสงค์ออกไปโดยตรงก็เท่านั้น
“เรื่องที่หนึ่ง ฟู่เสี่ยวกวนได้มีผลงานที่โดดเด่น ข้าขอตกรางวัลให้ขุนนางฟู่เสี่ยวกวนชื่อหลางแห่งเสมียนกลาง ให้เป็นผู้นำและผลักดันนโยบายใหม่ ! ”
ทันทีที่พระประสงค์นี้ถูกกล่าวออกมา นอกจากเยี่ยนเป่ยซีและเสนาบดีระดับสูงแล้ว เสนาบดีท่านอื่นต่างก็ตื่นตกใจกันถ้วนหน้า หลังจากนั้นก็หันหน้ากลับไปมอง ชื่อหลางแห่งเสมียนกลางขั้นสาม อายุเพียง 17 ปี ทั้งยังเป็นผู้นำนโยบายใหม่… แต่เด็กคนนี้กลับทะยานขึ้นเหนือท้องนภาไปเสียแล้ว
แน่นอนว่า ในตอนนี้ขุนนางจำนวนมากได้เปลี่ยนความคิดที่มีต่อฟู่เสี่ยวกวนไปแล้ว
บางทีในใจของพวกเขาอาจจะยังมีความไม่สบายใจอยู่มิมากก็น้อย สุดท้ายแล้วการเลื่อนขั้นของฟู่เสี่ยวกวนก็เร็วมากจนเกินไป แต่พวกเขาก็มิได้คัดค้านการตกรางวัลครานี้ของฝ่าบาท เพราะฟู่เสี่ยวกวนคู่ควรกับตำแหน่งนี้อย่างแท้จริง และนโยบายใหม่นี้ก็จำเป็นต้องให้ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ควบคุมด้วยตนเองเท่านั้น
แต่ในกลุ่มของฉินฮุ่ยจือกลับตื่นตระหนก คิ้วขมวดนิ่ว… ชื่อหลางแห่งเสมียนกลาง ได้เลื่อนขั้นไปเป็นจงซูลิ่งแล้วเยี่ยงนั้นหรือ !
ปีนี้ซังหยูก็อายุมากแล้ว มิแน่ว่าอาจจะเกษียณในอีกปีสองปีนี้ เยี่ยงนั้นตำแหน่งจงซูลิ่ง ก็จะตกเป็นของฟู่เสี่ยวกวนอย่างมิมีทางเลี่ยง
เวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่ ฮ่องเต้ก็ได้เอ่ยขึ้นมาอีกคราว่า
“เรื่องที่สอง ข้าขอประกาศให้ชัดแจ้งไปทั่วหล้า พ่อค้าทุกคนในราชวงศ์หยู หากจัดตั้งโรงงานขึ้นมาในพื้นที่นำร่อง และมีเงินทุนมากกว่าสองหมื่นตำลึง และจัดหาคนงานหนึ่งร้อยกว่าคน ภายในสามปีนี้ ยกเว้นภาษีทุกรูปแบบ ! ”
นี่เป็นนโยบายที่หารือกันในท้องพระโรงมาช้านาน ท้ายที่สุดเยี่ยนเป่ยซีก็ชนะฉินฮุ่ยจือแล้ว ดังนั้นทันทีที่นโยบายนี้ถูกประกาศออกไป จึงมิได้สร้างความแตกตื่นอันใด เพราะขุนนางเหล่านั้นต่างได้คิดถึงเรื่องนี้มาเนิ่นนานแล้วว่าจะทำให้เหล่าพ่อค้าในมือของตนเคลื่อนไหวขึ้นมาได้หรือไม่
“เรื่องที่สาม คณะตัวแทนการเจรจาสันติของแคว้นอี๋จะมาถึงเมืองหลวงในเดือนสิบสอง วันที่หนึ่ง กรมพิธีการรับผิดชอบการต้อนรับ และทูตที่ทำหน้าที่ในการเจรจาครานี้คือ…ฟู่เสี่ยวกวน ! ”
เหล่าขุนนางฮือฮาขึ้นมาอีกครา การเจรจาสันติมิได้ให้สำนักเสนาบดีและสำนักผู้ตรวจการเป็นผู้เลือกหรอกหรือ ?
เหตุใดฝ่าบาทจึงแต่งตั้งฟู่เสี่ยวกวนแห่งเสมียนกลางโดยตรงกัน ?
ฉินฮุ่ยจือตื่นตกใจอีกครา เดิมทีเขาคิดว่าการแต่งตั้งตำแหน่งจะอยู่ในมือของตนเอง จึงจะมอบให้เซวี๋ยไคเหลียนผู้ประสานงานในราชวังแห่งสำนักตรวจสอบพระราชโองการ ซึ่งเป็นบุตรชายของเซวี๋ยเจ๋อหัวหน้าตระกูลเซวี๋ย งานนี้สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย หลังจากที่เซวี๋ยไคเหลียนจัดการเรื่องนี้จบลง ก็จะถูกเลื่อนขั้นให้เป็นชื่อหลางในสำนักตรวจสอบพระราชโองการอย่างเหมาะสม… ฝ่าบาทกลับมิเคยหารือกับสำนักเสนาบดีและสำนักผู้ตรวจการ และได้แต่งตั้งหน้าที่นี้ให้กับฟู่เสี่ยวกวน หรือว่านี่จะเป็นการลงมือลับ ๆ ของชายชั่วเยี่ยนเป่ยซีกัน ?