นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 444 นโยบาย ( 1 )
ตอนที่ 444 นโยบาย ( 1 )
งานประชุมใหญ่ราชวงศ์ในครานี้สิ้นสุดลงในช่วงสาย
และการประชุมใหญ่ราชวงศ์เช้านี้ได้อธิบายเรื่องสำคัญอยู่หลายประการ
ฮ่องเต้มิได้ทำตัวแปลกแยกเนื่องจากตัวตนที่แท้จริงของฟู่เสี่ยวกวน แต่ฮ่องเต้กลับให้ความสำคัญกับเขา มอบหมายหน้าที่ที่สำคัญกว่าเดิมให้กับเขา !
หากเป็นเยี่ยงนี้แล้ว เพียงแค่ฟู่เสี่ยวกวนมิออกไปจากราชวงศ์หยู เขาย่อมมีอนาคตที่ยาวไกลเป็นแน่
แต่หากเขาออกจากราชวงศ์หยู เขาก็เป็นถึงจักรพรรดิของราชวงศ์อู๋
ดังนั้นมิว่าจะเลือกเยี่ยงไร ล้วนเป็นผลดีต่อฟู่เสี่ยวกวนทั้งสิ้น นี่คือสิ่งที่ขุนนางทุกคนต่างก็คิดเหมือนกัน
นโยบายการลดภาษีและการยกเว้นภาษีเพื่อส่งเสริมการค้าได้ดำเนินขึ้นแล้ว ซึ่งนี่หมายความว่ากลุ่มคนหัวโบราณที่นำโดยฉินฮุ่ยจือได้พ่ายแพ้อย่างราบคาบ จะต้องใช้โอกาสนี้ให้สมาชิกในครอบครัวดำเนินการทางการค้า
ได้ยินมาว่าอุตสาหกรรมที่ซีซานนั้นได้ขยายมายังผิงหลิงชวีอี้ทั้งสองเขตแล้ว เจ้าหมอนี่ได้วิ่งไปดักหน้าเอาไว้อีกแล้ว ตนจะต้องรีบตามขึ้นไป
เนื่องจากราชวงศ์หยูที่กว้างใหญ่นี้มีเพียง 6 เขตเท่านั้นที่ใช้เป็นเขตการทดลอง เมื่อข่าวนี้เเพร่ออกไปทั่วหล้า ในวันนั้นพ่อค้าทุกคนต่างก็กระตือรือร้นกันเป็นอย่างมาก หากว่าช้าไป เกรงว่าแม้แต่น้ำแกงก็จะมิได้ซด
ในบรรดาขุนนางทั้งหลาย ผู้ที่ตื่นเต้นที่สุดคงจะเป็นหลี่ฉาย
บัดนี้เขาอายุได้สี่สิบกว่าปีแล้ว เขาทำงานอยู่ในกรมคลังมา 20 ปีแล้ว จึงได้เลื่อนขั้นเป็นชื่อหลางฝ่ายขวาของกรมคลัง
หากจะกล่าวถึงแก่นแท้แล้ว เขานั้นเป็นพ่อค้า บิดาของเขาเป็นผู้ดูแลธนาคารเป่าหลงที่ใหญ่ที่สุดในราชวงศ์หยู พี่ชายจัดการร้านค้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง น้องชายคนที่สามเป็นผู้ดูแลกิจการหยกที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงแห่งหอยู่ติ่ง น้องชายคนที่สี่เป็นหลงจู๊ของหอหุยชุน
สำหรับฟู่เสี่ยวกวนแล้วนั้น หลี่ฉายรู้จักเขาตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว ในตอนนั้นฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งจะเดินทางมาที่เมืองหลวงคราแรก เนื่องจากอุทกภัยในครานั้น ฝ่าบาทจึงได้ประทานตำแหน่งเหวินซ่านกวนให้แก่เขา แต่กลับให้เขาไปทำงานที่กรมคลัง
จากมุมมองของหลี่ฉายแล้วนั้น การที่ฝ่าบาททรงกระทำเช่นนี้เนื่องจากกำลังส่งสัญญาณบางอย่างว่า ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้จะมีบทบาทสำคัญในอนาคต
และตนก็มิได้มองผิดไป บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้มีอำนาจมากมาย มิมีผู้ใดสามารถขัดขวางเขาได้ !
อยู่ ๆ เขาก็ต้องการเข้าพบท่านพ่อ…คาดว่าน่าจะมีนโยบายใหม่ ๆ มาอีกเป็นแน่ คาดว่าเขาอยากจะสอบถามท่านพ่อถึงเรื่องการจัดการและการเงิน
เรื่องนี้จะต้องทำให้ดี ดังนั้นเขาจึงได้รีบกลับไปยังจวนเมื่อเลิกการประชุมใหญ่ราชวงศ์
ส่วนฟู่เสี่ยวกวน หลังจากจบการประชุมใหญ่ราชวงศ์แล้ว ก็ได้ถูกฝ่าบาททรงเรียกตัวเอาไว้ จากนั้นก็ได้ติดตามฝ่าบาทไปยังห้องทรงพระอักษร และยังมีผู้ที่ติดตามไปด้วยอีก 2 คนคือเยี่ยนเป่ยซีและต่งคังผิง
ชายชราทั้งสองคนนั้น คนหนึ่งเป็นพ่อตา อีกคนหนึ่งเป็นพ่อของพ่อตา…ฟู่เสี่ยวกวนเดินตามพวกเขาอยู่ด้านหลัง ในใจของเขากระสับกระส่ายขึ้นมาทันพลัน หรือจะเป็นเพราะว่างานแต่งงานจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายจนเกินไปกัน ?
แต่สุดท้ายเขาก็คิดมากไปเอง ณ ห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้นั่งลงหน้าโต๊ะมังกรแล้วมองมายังฟู่เสี่ยวกวน แล้วตรัสว่า “ข้าและท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเห็นว่า ในปีหน้าหลังจากปีใหม่ จะเพิ่มจุดทดลองเป็น 20 จุด แต่ท่านเสนาบดีต่งมองว่ายังมิเหมาะสม หลังจากที่ได้ครุ่นคิดมาเป็นเวลานาน ข้าจึงอยากจะถามเจ้าว่ามีความคิดเห็นเยี่ยงไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน นี่มันช่างทำให้ลำบากใจมากยิ่งนัก ท่านเป็นฮ่องเต้ อยากจะทำเยี่ยงไรก็ทำไปสิ !
เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จากนั้นก็ได้กล่าวความคิดเห็นออกมาว่า “กระหม่อมคิดว่า ควรจะประนีประนอมต่อกัน ! ”
ฮ่องเต้ชะงักลงแล้วเอ่ยถามว่า “ประนีประนอมเยี่ยงไร ? ”
“กระหม่อมคิดว่าในปีหน้าสามารถเพิ่มพื้นที่ทดลองเป็น 10 เเห่งได้”
เยี่ยนเป่ยซีขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยด้วยความสงสัยว่า “ดูจากเขตเหยาแล้ว นโยบายของเจ้ามิน่าจะมีปัญหา ดูจากเขตผิงหลิงและชวูอี้แล้ว นโยบายนี้สามารถจัดการกับปัญหาของราษฎรในฤดูหนาวได้อีกทั้งยังเป็นรากฐานที่ดีในปีต่อ ๆ ไป เหตุใดมิเพิ่มพื้นที่ทดลองให้มากกว่านี้กันเล่า ? ”
“กระหม่อมคิดว่า เนื่องจากบัดนี้เขตทดลองมีถึง 3 เขต แต่กลับมีขนส่งซีซานเพียงแห่งเดียวเท่านั้น มันมิได้ส่งผลดีต่อนโยบายนี้ บัดนี้ฝ่าบาททรงประกาศยกเว้นภาษีพ่อค้าเป็นเวลา 3 ปี…ฝ่าบาทอีกทั้งท่านอัครมหาเสนาบดีและท่านพ่อตารอดูเถิดว่าจะมีพ่อค้าจำนวนมากไปยังสถานที่ทั้งหกแห่งนี้เพื่อการลงทุนขนาดใหญ่”
“นี่มิใช่เรื่องดีเยี่ยงนั้นหรือ ? นโยบายนี้สร้างขึ้นเพื่อกระตุ้นให้พ่อค้าตื่นตัวนี่ ! ”
“เรียนท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน การทำให้พวกเขาตื่นตัวนั้นย่อมมิผิดเป็นแน่ แต่ท่านอย่าได้ดูหมิ่นพ่อค้าเหล่านั้น การดูแลควบคุมของพวกเรานั้นมิทั่วถึง พวกเขาจะใช้ช่องโหว่เหล่านี้ และจะใช้มันในทางที่ค่อนข้างจะมิดี”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วมุ่น การดูแลควบคุม…เรื่องนี้เขามิเคยคิดมาก่อน
อัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเอ่ยถามขึ้นว่า “จะเกิดช่องโหว่เยี่ยงไรบ้าง ? ”
“อาทิเช่น ข้าลงทุนที่ผิงหลิงทั้งสิ้น 200,000 ตำลึง และคัดเลือกคนงาน 100 คนซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเป็นเวลา 3 ปีใช่หรือไม่ ? เขตผิงหลิงจะต้องให้ข้าได้รับการยกเว้นภาษี แต่คราวนี้ท่านได้เข้าพบข้า หากท่านต้องการขายสินค้าของท่านไปยังสถานที่ต่าง ๆ ผ่านการประชุมเชิงปฏิบัติการ ภายใต้ชื่อของข้า ข้านั้นทำได้เพียงสัญญา สินค้าของท่านจะได้รับสิทธิพิเศษปลอดภาษี แต่ท่านมิต้องลงทุนเลยสักตำลึงเดียวในเขตผิงหลิง”
“นี่มิใช่ช่องโหว่เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
อัครมหาเสนาบดีเยี่ยนชะงักไปชั่วครู่ เขาครุ่นคิดขึ้นมาหลายอย่าง อย่าว่าแต่ภาษีเลย หากพ่อค้าในเจียงหนานใช้วิธีนี้หลบหนีภาษี จะทำให้ราชวงศ์สูญเสียมากมายมหาศาลชนิดที่มิอาจรับมือได้ หากว่าทั้งแคว้นทำเยี่ยงนี้…ปีหน้าจะยังมีภาษีให้เก็บอยู่อีกหรือ ? ”
ฮ่องเต้มองไปยังอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน ทั้งสองสบตากันแล้วก็ได้เข้าใจขึ้นมาทันทีว่าเรื่องนี้ยังมีสิ่งที่ต้องไตร่ตรองอยู่อีกมากมาย
“นี่เป็นเพียงด้านเดียวเท่านั้น…” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยต่อไปว่า “นอกจากนี้ยังมีอีกหลายด้าน เช่น โครงสร้างการลงทุนของแต่ละที่เหมาะสมหรือไม่ ? ”
“นี่เป็นเพียงตัวอย่างง่าย ๆ ข้านั้นได้ทำการก่อสร้างที่เขตผิงหลิงมากมายหลายที่ ต้องการใช้แรงงานถึง 4,000 คน บัดนี้ในเขตผิงหลิงมีผู้ใช้แรงงานกว่าแปดหมื่นคน แต่พวกเรามิอาจให้พวกเขาทั้งแปดหมื่นคนนี้เข้าไปทำงานได้ทั้งหมด เนื่องจากยังจำเป็นต้องปลูกข้าว”
“เช่นนั้นเป็นการดีที่ข้าได้คัดเลือกเกษตรกรมา 40,000 คน เหลืออีก 40,000 คนให้พวกเขาทำการเพาะปลูกกำลังดี หากว่ามีพ่อค้าเกิดขึ้นมากมาย อีกทั้งก่อสร้างสถานที่มากมาย จะเป็นการใช้แรงงานคนจำนวนมากจนเกินไป …นี่อาจจะเกิดภาวะรกร้างของผืนนาได้ เนื่องจากทุกคนล้วนอยากไปทำงานหาเงิน แล้วยังจะมีผู้ใดสนใจการเพาะปลูกอยู่อีกเล่า ? ”
“แน่นอนว่าหลังจากที่ทุกพื้นที่ถูกเปิดใช้หมดแล้ว อาจจะใช้เวลาเพียง 3 ปีหรือ 5 ปี แต่พวกเราจะพบว่าเกษตรน้อยจะลดลงเรื่อย ๆ นาน ๆ เข้าเกษตรกรในหลาย ๆ พื้นที่ก็จะน้อยลงจนหมดสิ้นไป หรือหากนานกว่านั้น เกษตรกรอาจจะหายไปเลยก็ได้”
“บรรดาเกษตรกรที่ไปยังพื้นที่ก่อสร้างนั้น จะลุ่มหลงในเงินทอง ชีวิตการเป็นอยู่ของพวกเขาจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ว่า…หากวันหนึ่งการค้ามิเป็นดังใจหวัง พวกเขาอยากจะกลับไปยังชนบทแล้วจะพบว่ามิมีบ้านเกิดดังเดิมให้พวกเขาได้กลับไปอีกแล้ว”
“หากมองออกไปให้ไกลสักหน่อย ต่อให้การค้ารุ่งเรือง อีกทั้งบุตรหลานของพวกเขาได้เดินตามรอยเท้าของพวกเขา แต่คนงานในเขตของพวกเขาเต็มแล้ว พวกเขาจะเดินทางไปยังเขตข้าง ๆ และเดินทางจากบ้านเกิดไปหลายปี ราคาอาหารและสิ่งของจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน แต่พวกเขามิอาจกลับไปยังชนบทได้อีก เนื่องจากพวกเขามิมีแม้แต่ทักษะพื้นฐานในการทำนา พวกเขาเคยชินกับการหาเงินทางลัด มิมีผู้ใดยินยอมที่จะกลับไปยังผืนปฐพีที่ยากจนนั้นเป็นแน่”
“ท้ายที่สุดนั่นคือการลงทุนอย่างไม่เป็นระบบระเบียบ แล้วจะนำไปสู่ความคล้ายคลึงกันของผลิตภัณฑ์ หากข้าและท่านทอผ้าและทำเสื้อผ้าเหมือนกัน…แล้วเสื้อผ้ามากมายในตลาดจะไปขายให้ผู้ใดกันเล่า ? ”
“ดังนั้น สิ่งที่ราชวังต้องทำในตอนนี้มิใช่การเพิ่มจุดทดลอง แต่เพื่อหลีกเลี่ยงการละเมิดทางการค้าทั้งหมด สิ่งนี้จำเป็นต้องได้รับการวางแผนและควบคุมไว้ล่วงหน้า ! “