นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 460 ความหวังของคนจน
ตอนที่ 460 ความหวังของคนจน
ฟู่เสี่ยวกวนลืมเรื่องคณะทูตเจรจาของแคว้นอี๋ไปเสียสนิท
แต่ต่อให้เขาจำมันได้ก็มิใส่ใจอยู่ดี แคว้นที่แพ้สงครามมิมีคุณสมบัติมากพอให้ต้องต้อนรับ
ในค่ำคืนนี้ ฟู่เสี่ยวกวนได้ตั้งใจฟังเรื่องราวชีวิตในสลัมที่หลู่เสี่ยวตงเล่าให้ฟังอย่างละเอียด จึงได้เข้าใจถึงเรื่องคดีหมั่นโถวนองเลือดนั้นว่าแท้จริงแล้วเป็นเยี่ยงไร
ที่นี่คือเมืองจินหลิง !
เป็นเมืองที่รุ่งเรืองที่สุดในราชวงศ์หยู !
แต่ก็ยังคงมีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่รู้ว่าจะเอาชีวิตรอดในแต่ละวันได้เยี่ยงไร !
เพียงเพื่อหมั่นโถวก้อนเดียว กลับทำให้สูญเสียชีวิตไปได้ถึง 3 ชีวิต
ในใจลึก ๆ ของเขารู้สึกหนักอึ้งมากยิ่งนัก เขามิใช่นักบวชหรือผู้อุทิศตนใด ๆ อีกทั้งมิเคยคิดจะเป็น แต่นี่คือมุมมองเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ที่ฝังรากลึกมาตั้งแต่ชาติที่แล้วของเขา
มนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน !
ที่ผู้คนในสลัมมิมีอาภรณ์สวมใส่และอาหารประทังชีวิตนั้น มิใช่เพราะพวกเขาเกียจคร้าน แต่เป็นเพราะเมืองจินหลิงที่กว้างใหญ่แห่งนี้ มิมีที่ใดที่จะต้อนรับพวกเขาเลย
ที่นี่คือที่ใช้ชีวิตของคนมีเงินมีทอง ส่วนพวกเขามาผิดที่แล้ว
ที่นี่ปราศจากอาชีพการงานที่มั่นคงแก่พวกเขา ที่นี่ไร้ผืนนาว่างเปล่าที่พวกเขาพอจะทำการเพาะปลูกได้
ดังนั้นพวกเขาจึงมีชีวิตที่ลำบากเป็นอย่างมาก พวกเขาต่อสู้เพื่อให้ตนเองและครอบครัวให้มีชีวิตอยู่รอดไปได้ในแต่ละวันด้วยความยากลำบากอย่างแท้จริง
“ประเดี๋ยวเจ้ากินข้าวเย็นให้เรียบร้อยแล้วค่อยกลับไป เมื่อกลับไปแล้วจงไปส่งข่าวของข้าให้ผู้คนในสลัมฟังด้วย”
หลู่เสี่ยวตงดีใจเป็นอย่างมาก เขาจึงรีบกล่าวขึ้นว่า “ข้าน้อยจะนำข่าวของคุณชายไปประกาศแก่พวกเขาอย่างแน่นอนขอรับ”
ณ เวลานี้ ความกังวลและอึดอัดใจที่มีอยู่เพิ่งจะจางหายไป เขาเพิ่งจะรู้ว่าแท้จริงแล้วคุณชายฟู่เป็นกันเองถึงเพียงใด ที่ลูกพี่ลูกน้องของเขากล่าวไว้มิมีผิดเพี้ยนไปเลยแม้แต่น้อย พวกเขามิได้สรรเสริญเยินยอจนเกินจริง
คุณชายฟู่แตกต่างจากคุณชายคนอื่น ๆ ในใต้หล้านี้ !
เขามิได้ดูถูกหลู่เสี่ยวตงเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังได้เชิญชวนให้หลู่เสี่ยวตงนั่งตรงข้ามกับเขาเพื่อดื่มชาและสนทนากัน
พวกเขาสนทนากันตั้งแต่เรื่องที่อพยพมาจากชายฝั่งของแม่น้ำหวงเหอว่ายากเย็นถึงเพียงใด กระทั่งเดินทางมาถึงเมืองหลวง และเพื่อหาที่พักอาศัย เขาจึงได้นำเครื่องประดับที่มีค่าเล็กน้อยที่ติดตัวของภรรยามาไปจำนำเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นเงิน
และเล่าถึงเรื่องที่ตนทำงานก่อสร้างอาคารหยูฝู แต่บัดนี้เมื่อสร้างเสร็จแล้วจึงได้ตกงาน
และเล่าถึงเรื่องภรรยากับลูกสาวของเขา อีกทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะหมั่นโถวเพียงลูกเดียวที่สลัมเมื่อวานนี้เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนตัดสินใจก่อสร้างและขยายอาณาเขตที่เรือนหนานซานด้วยความรวดเร็ว การที่จะทำสิ่งเหล่านี้ต้องใช้แรงงานจำนวนมาก และในสลัมก็มีผู้คนมากมายที่ต้องการงานที่มั่นคง
ดังนั้นจากมุมมองของฟู่เสี่ยวกวน ต่างฝ่ายต่างได้รับผลประโยชน์ แต่สำหรับหลู่เสี่ยวตงแล้ว เขามองว่านี่คือเทพเจ้าที่กำลังยื่นมือเข้ามาช่วยพวกเขาเอาไว้ !
“เจ้าจงไปบอกกับชาวบ้านในสลัมทุกคนว่า ข้าจะทำการก่อสร้างที่เรือนหนานซาน ต้องการคนราว…30,000 คน”
หลู่เสี่ยวตงตื่นเต้นดีใจมากยิ่งนัก เขารีบลุกขึ้นแล้วคุกเข่าลงไปที่พื้น ก้มหัวคารวะอยู่สามทีแล้วร้องไห้โฮออกมาด้วยความดีใจ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ข้า หลู่เสี่ยวตง ขอสาบานว่าตระกูลหลู่ชั่วลูกชั่วหลานจะขอเป็นบ่าวรับใช้จวนฟู่ไปตลอดกาล ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนคาดมิถึงว่าเมื่อหลู่เสี่ยวตงได้ยินคำเอ่ยนี้แล้วจะมีปฏิกิริยาที่ซาบซึ้งถึงเพียงนี้ เขาผงะไปชั่วครู่ก่อนจะลุกขึ้นพยุงหลู่เสี่ยวตงให้ยืนขึ้นมา
“เจ้าอย่าได้เอ่ยเยี่ยงนี้เลย มิมีเรื่องใดเป็นสิ่งแน่นอน เจ้านั้นเป็นชายหนุ่มที่ดี ควรจะทุ่มเทเพื่อครอบครัวและตระกูลของเจ้าแล้วทำให้รุ่งเรือง”
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “วันรุ่งขึ้น…ราวยามเฉิน ข้าจะเดินทางไปยังสถานที่ที่พวกเจ้าพักอาศัยอยู่ หลังจากที่เจ้ากลับไปแล้วจงไปบอกกับพวกเขาว่าให้จัดการเก็บข้าวของให้เรียบร้อย พรุ่งนี้จะเดินทางไปยังเรือนหนานซานและอาศัยอยู่ที่นั่นระยะยาว นำเพียงเสื้อผ้าที่จะใช้เปลี่ยนไปก็พอ ส่วนของอย่างอื่นข้าจะจัดการให้เอง”
หลู่เสี่ยวตงแสดงความขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจอีกครา เขามิได้อยู่กินมื้อค่ำที่จวนฟู่ เขากล่าวว่าอยากจะนำข่าวดีนี้ไปบอกกับครอบครัวและคนอื่น ๆ ในสลัมให้เร็วที่สุด
……
……
“ผู้คนจำนวน 30,000 คนเชียว เรื่องที่พักจะจัดการเยี่ยงไรกัน ? ” ต่งชูหลานเอ่ยถามขึ้นมาด้วยท่าทีเป็นห่วง
คงจะมิให้คนเหล่านี้เข้าไปอาศัยที่เรือนหนานซานใช่หรือไม่ ?
ถึงเยี่ยงไรเสียที่แห่งนั้นก็นับว่าเป็นสถานที่ของวังหลวง ข้อปฏิบัติเหล่านี้…เจ้าจะละเลยไปมิได้เป็นอันขาด !
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วกล่าวว่า “ข้าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย”
“จะไปที่ใดกัน ? ”
“ไปพบฮั่วหวยจิ่น ก่อนที่จะก่อสร้างเพิงพักเสร็จ คงจะต้องขอหยิบยืมกระโจมจากเขามาก่อน”
หลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนกลับมาก็ได้ดื่มชาเพียงเเค่กาเดียวเท่านั้น จากนั้นเขาก็ออกไปท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายลงมาอีกครา สตรีทั้งสามนางนั่งอยู่ในเรือนที่อบอุ่น แต่จิตใจของพวกนางช่างหนักอึ้งมากยิ่งนัก
เขาเหนื่อยเกินไปแล้ว !
แต่เรื่องนี้กลับมิมีผู้ใดสามารถช่วยเขาได้เลย
ซูซูขับรถม้าให้กับเขา ในใจของนางก็คิดเฉกเช่นเดียวกันกับสตรีทั้งสามนาง แต่นางมีความคิดอีกอย่างหนึ่งเพิ่มเติมขึ้นมาว่า เขาผู้นี้…มิอาจเป็นชาวยุทธภพที่เก่งกาจได้อย่างแน่นอน !
……
……
ณ เขตสลัม
จ้าวซื่อยังคงสวมใส่ผ้ากันเปื้อนและยืนคอยอยู่หน้าประตูเตี้ย ๆ นั่นด้วยความวิตกกังวล
สามีของนางกล่าวว่าจะไปขอความช่วยเหลือจากคุณชายฟู่
เขาออกไปตั้งแต่ช่วงเช้า แต่บัดนี้ท้องนภาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว แต่ก็ยังมิมีวี่แววว่าเขาจะกลับมา…
เขาจะได้พบคุณชายฟู่หรือไม่ ?
เขาจะถูกพวกบ่าวรับใช้ในจวนฟู่ทำร้ายร่างกายหรือไม่ ?
เมื่อเช้าเขากินโจ๊กข้าวฟ่างไปเพียงแค่ 1 ชามเท่านั้น ตอนกลางวันเขาย่อมมิได้กินอันใดเลยเป็นแน่ เขาจะเป็นลมท่ามกลางหิมะหรือไม่ ?
หากว่าเขา… หากว่าเขาเป็นอะไรไป ชีวิตที่เหลืออยู่ของนางจะทำเยี่ยงไร ?
จ้าวซื่อเงยหน้ามองดูท้องนภาที่เริ่มมืดครึ้มแล้วพนมมือขึ้นประกบกัน “เทพเจ้าบนสรวงสวรรค์ ได้โปรดเมตตาให้พวกเรามีหนทางรอดด้วยเถิด ! ”
นางคุกเข่าลงแล้วก้มหัวคารวะฟ้าดินอยู่เก้าที
เมื่อนางเงยหน้าขึ้นก็ได้พบกับสามีของนางที่กำลังยืนอยู่เบื้องหน้า
นางยกมือขึ้นขยี้ตาตนเอง แล้วรีบลุกขึ้นยืน สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความดีใจที่สามีของนางกลับมา !
เขากลับมาแล้วจริง ๆ !
เพียงแค่กลับมาก็ดีแล้ว ส่วนเรื่องอื่นนั้นนางมิเคยคิดและมิกล้าที่จะคิด
หลู่เสี่ยวตงดีอกดีใจเป็นอย่างมาก เขารีบพยุงจ้าวซื่อขึ้นมาในอ้อมอก แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงตื้นตันข้างหูจ้าวซื่อว่า “พวกเรารอดแล้ว…รอดตายแล้ว…พวกเราทุกคนรอดตายแล้ว ! ”
จาวตี้ที่นั่งอยู่หน้าเตาผิงวิ่งออกมา เมื่อหนูน้อยได้ยินเสียงผู้เป็นพ่อก็ดีใจมากยิ่งนัก ดีใจเสียจนน้ำตาไหลออกมาอาบสองแก้ม
ในเมื่อพ่อของตนกล่าวว่ารอดตายแล้ว นั่นหมายความว่านางจะมิถูกขายแล้วสินะ
“เข้าไปข้างในก่อนเถอะ ข้างนอกหนาวยิ่งนัก… ท่านพี่ได้เจอกับคุณชายฟู่หรือไม่ ? ”
“อือ… เมื่อกลางวันข้าได้กินข้าวที่จวนฟู่ มีอาหารมากมายวางอยู่เต็มโต๊ะ ข้าวก็เป็นข้าวสวยเม็ดงาม มันช่าง… มันช่างอร่อยมากยิ่งนัก แต่ข้านั้นอดทนไว้ กินไปได้เพียงนิดเดียว อ่า… จริงสิ คุณชายฟู่กล่าวว่าจะบูรณะเรือนหนานซานและต้องการคนงานจำนวนมาก วันพรุ่งนี้พวกเราจะเดินทางไปยังที่นั่น ประเดี๋ยวเจ้าจงไปจัดแจงเก็บของ คุณชายฟู่กล่าวว่ามิต้องกังวลเรื่องของอาหารการกิน”
“จริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ” ดวงตาของจ้าวซื่อเป็นประกายขึ้นมาทันใด นางเอ่ยถามด้วยความคาดหวัง
“ย่อมเป็นเรื่องจริง ! ” หลู่เสี่ยวตงรีบพยักหน้าตอบรับ “คุณชายฟู่เปรียบเสมือนเทพเจ้า เจ้ามิรู้หรอกว่าเขานั้นเป็นกันเองถึงเพียงใด มิได้มีท่าทางเย่อหยิ่งเหมือนคุณชายจวนอื่นแต่อย่างใด อีกทั้งเขายังต้มชาให้ข้าดื่มอีกด้วย และสนทนากับข้าเป็นเวลาเนิ่นนาน ข้าได้กล่าวถึงเจ้าและจาวตี้ด้วย”
“เขากล่าวว่าทุกอย่างจะดีขึ้น อีกทั้งในภายภาคหน้าจาวตี้จะได้เข้าเรียนหนังสือด้วย ข้า… ข้า… ” หลู่เสี่ยวตงกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือพร้อมกับน้ำตาที่นองหน้าอีกครา
เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วกล่าวว่า “มีอะไรกินหรือไม่ ข้าเริ่มหิวขึ้นมาแล้ว มิต้องใส่น้ำมากนัก ประเดี๋ยวข้าจะนำข่าวดีนี้ไปบอกแก่ทุกคน”
“อืม ! ”
จ้าวซื่อลุกขึ้นแล้วตรงไปยังเตาไฟทันที หลู่เสี่ยวตงอุ้มลูกสาวขึ้นมาวางไว้บนหน้าตักของตนเอง
จาวตี้เงยหน้ามองดูใบหน้าของผู้เป็นพ่อและเช็ดน้ำตาให้กับพ่อของตน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใสว่า “ท่านพ่อ ทั้งหมดนี้…เป็นเรื่องจริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”