นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 483 สนทนายามค่ำคืนที่กวนหยุนถาย
ตอนที่ 483 สนทนายามค่ำคืนที่กวนหยุนถาย
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มจนตาปิดก่อนจะนำเงิน 300,000 ตำลึงฝ่าหิมะตรงกลับจวนไป
เมืองกวนหยุนในยามนี้ก็มีหิมะตกลงมาเช่นกัน
ต้นสนเก่าแก่บนกวนหยุนถายมีโคมไฟกันลมอยู่ 2 ดวง แสงไฟสลัวทำให้โต๊ะหมากรุกใต้ต้นไม้ดูสวยงามสะดุดตาขึ้นมา
อัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาจัวอี้สิงและอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายหนานกงอี้หยู่แห่งราชวงศ์อู๋กำลังนั่งสนทนากันอยู่ท่ามกลางหิมะ แต่มิได้เล่นหมากรุกแต่อย่างใด และบนโต๊ะก็มิมีเบี้ยเลยแม้แต่ตัวเดียว
หนานกงอี้หยู่สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วกล่าวว่า “ข่าวคราวของพระองค์จนถึงวันนี้ก็ได้ผ่านไปเดือนกว่าแล้ว”
จัวอี้สิงเหม่อมองออกไปยังหมู่เมฆาที่มืดครึ้ม ผ่านไปเนิ่นนานถึงได้เอ่ยขึ้นมาว่า “แต่ไข้ทรพิษขององค์จักรพรรดินีก็ยังมิหายเสียที”
“ท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาคิดว่าองค์จักรพรรดินีเป็นไข้ทรพิษจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
จัวอี้สิงเลิกคิ้วขึ้น และหันหน้าไปมองหนานกงอี้หยู่ “แล้วท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายคิดว่ามิได้เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ ? ”
หนานกงอี้หยู่พยักหน้า “ข้าสงสัยเป็นอย่างมาก อาการไข้ทรพิษนั้นยากที่จะรอดชีวิตได้ ข้าเคยเอ่ยถามหมอหลวงว่า โรคนี้ร้ายแรงแรงถึงเพียงใด หมอหลวงตอบข้าว่าโรคนี้ทำให้ผู้คนจากไปก่อนวัยอันควรเป็นจำนวนมาก แต่หากสามารถทนอยู่ได้เกิน 1 เดือนอาจจะรักษาให้หายได้ แต่จนถึงบัดนี้องค์จักรพรรดินีก็ได้ไปประทับอยู่ที่คฤหาสน์จิ้งหูเป็นเวลานานถึง 7 เดือนแล้ว”
จัวอี้สิงพยักหน้าน้อย ๆ “ข้าเองก็เคยถามเช่นกัน แต่ที่คฤหาสน์จิ้งหูนั้นมีองครักษ์ชุดแดงมากถึง 30,000 นาย อีกทั้งยังมีองครักษ์หญิง 1,000 นายคอยเฝ้าอยู่ ข้าเข้าไปมิได้น่ะสิ”
“ดังนั้นข้าจึงคิดว่าเรื่องนี้ย่อมมีบางอย่างที่ยุ่งยากอยู่เป็นแน่ จนถึงขั้นที่ข้าสงสัยว่าองค์จักรพรรดินียังมีชีวิตอยู่จริงหรือไม่ ! ”
จัวอี้สิงเลิกคิ้วขึ้นทันพลัน ผ่านไปเนิ่นนานก็ได้ส่ายหน้า “หากเกิดอุบัติเหตุกับองค์จักรพรรดินีขึ้นมาจริง ๆ… ไทเฮาซีย่อมแถลงราชโองการเรียกฟู่เสี่ยวกวนกลับแคว้นเป็นแน่”
หนานกงอี้หยู่โน้มร่างลงมาอย่างกะทันหัน แล้วเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ต่อให้มิเกิดเหตุอันใดกับองค์จักรพรรดินี เป็นไปได้หรือที่จะมิแถลงราชโองการเรียกฟู่เสี่ยวกวนให้กลับมายังแคว้น แต่วันนี้ในเมื่อไทเฮาซีเองก็ได้นั่งฟังการเมืองอยู่ด้านหลังม่านด้วยเช่นกัน เรื่องนี้ข้าเคยเสนออยู่หลายครา แต่กลับถูกพระนางที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดินีปฏิเสธ นี่มันเพราะเหตุใดกันเล่า ? ”
“เจ้ากำลังสงสัยสิ่งใด ? ”
“อู๋ต้าหลางพระเชษฐาของจักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกลับมายังที่นี่ ทันทีที่ได้พบกับโจวถงถงก็ได้รีบจากไปในทันที เจ้าคงจำได้ว่าต้าหลางต้องจากเมืองกวนหยุนไปเมื่อห้าปีที่แล้วด้วยเหตุอันใด ? ”
“ข้าย่อมจำได้อย่างแน่นอน ต้าหลางมิได้กำเนิดจากไทเฮา แต่เขากำเนิดมาจากพระสนมเย่ เพราะถูกไทเฮาซีบีบคั้นท้ายที่สุดจึงป่วยและดับสิ้นลง ต่อจากนั้นก็ได้ถูกนักบวชเต๋าเก็บเถ้ากระดูกไป หลังจากห้าปีให้หลังเขาที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ได้กลับมาที่เมืองกวนหยุนอีกครา และได้สนทนากับฝ่าบาทอยู่มากมาย ในยามนั้นมีเพียงโจวถงถงเท่านั้นที่เป็นพยาน”
หนานกงอี้หยู่เงียบไปหลายอึดใจ ก่อนจะกล่าวเสียงแผ่วว่า “ต้าหลางในยามนั้นได้ถูกผู้สังเกตรุ่นก่อนของสำนักเต๋าช่วยชีวิตเอาไว้ ครานั้นที่เขากลับมา ก็ได้ถูกลอบโจมตีถึง 3 ครา โชคยังดีที่ศิษย์พี่ของต้าหลาง หรือก็คือผู้สังเกตของสำนักเต๋ารุ่นนี้อยู่ข้างกาย เขาถึงได้เข้าพบกับฝ่าบาทได้”
“พระนางต้องการให้ต้าหลางถึงแก่ความตายเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“นอกจากพระนางแล้วจะยังมีผู้ใดอีกกัน พระสนมเย่มารดาของต้าหลางสิ้นชีพด้วยอาการไข้ และการสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิพระองค์ก่อนก็แปลกประหลาดยิ่ง คาดมิถึงว่าแม้แต่หมอหลวงเองก็มิอาจวินิจฉัยได้ เจ้าลองใคร่ครวญดูอีกคราเถิด สิบเอ็ดปีก่อนหน้านี้ก่อนที่ฝ่าบาทจะทรงราชาภิเษก ก็พอดีกับช่วงเวลาที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ พระนางจึงได้เปิดฉากเหตุการณ์นองเลือดที่ทะเลสาบสือหลี่ครานั้น จนทำให้โลหิตของชาวอู๋แทบจะถูกกวาดล้าง กล่าวว่าเพื่อความมั่นคงในราชบัลลังก์ของฝ่าบาท แต่ในบัดนี้ข้ากลับเกิดความสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย”
“เจ้ากำลังสงสัยสิ่งใดกัน ? ”
หนานกงอี้หยู่จ้องมองไปยังท้องฟ้าสีน้ำหมึกอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ข้าสงสัยว่าการสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิพระองค์ก่อนจะมีเชื้อพระวงศ์รู้เห็นด้วย ใต้หล้านี้มิมีกำแพงใดที่ผ่านมิได้ หากมีคนลงมือปลงพระชนม์จักรพรรดิองค์ก่อนอย่างแท้จริง ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องทิ้งร่องรอยเอาไว้ และเพื่อให้เบาะแสของร่องรอยเหล่านี้ดูยุ่งเหยิง ก็สังหารทั้งหมดไปเสีย นี่มิใช่ว่าเป็นการกำจัดเบาะแสเพื่อให้เรื่องนี้ดูสะอาดเยี่ยงนั้นหรือ”
“เจ้ากล่าวเยี่ยงนี้… หรือว่าโจวถงถงก็เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ข้าก็มิค่อยเข้าใจโจวถงถงผู้นั้นสักเท่าใดนัก เหตุการณ์นองเลือดที่ทะเลสาบสือหลี่เขาเข้าร่วมด้วยก็จริง และเขากับไทเฮาซีในช่วงสิบปีมานี้ ราวกับมิได้ใกล้ชิดกัน และการพบกันของฝ่าบาทและต้าหลาง… ในเมื่อพระองค์ทรงเรียกเขาไปเข้าร่วมแล้ว คาดว่าฝ่าบาทเองก็คงเชื่อในตัวเขามากพอควร”
จัวอี้สิงเงียบไปหลายอึดใจ “เรื่องเก่านี้ค่อยตรวจสอบกันในภายหลังเถิด ปัญหาในตอนนี้ก็คือ ต้องทำเยี่ยงไรถึงจะทำให้ฟู่เสี่ยวกวนกลับมาได้”
“ไม่ ในตอนนี้ฟู่เสี่ยวกวนยังมิสามารถกลับมาได้”
จัวอี้สิงผงะขึ้นทันพลัน เขาเข้าใจความหมายของหนานกงอี้หยู่แล้ว “น่าเสียดายที่พระราชลัญจกรได้หายไป พวกเราลองไปที่อาคารสิบแปดชั้นของหอเทียนจีดูดีหรือไม่ เผื่อบางทีอาจจะสามารถพบเห็นเบาะแสเหล่านั้นก็เป็นได้”
“เรื่องในวันนี้ ให้หยุดอยู่ที่เจ้าและข้าเท่านั้น ภายภาคหน้าคงจะต้องระวังให้มากขึ้น รั้งรอไปอย่างช้า ๆ เถิด ต้องมีวันหนึ่งที่น้ำลดและตอผุดขึ้นมา”
“การประชุมราชวงศ์ในพรุ่งนี้เช้า ข้าจะเสนอขอเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดินีอีกครา”
“หลังจากที่การประชุมราชวงศ์พรุ่งนี้เช้าจบลง ข้าอยากไปพบเซียวเฉียงเสียหน่อย”
จัวอี้สิงคิ้วขมวด “พบนางเพื่อเหตุใดอันใดกัน ? ”
“นางเคยเป็นจักรพรรดินีมาก่อน มีเพียงจักรพรรดินีเท่านั้น ที่จะเข้าใจจักรพรรดินีด้วยกัน”
จัวอี้สิงพยักหน้า ทันใดนั้นหนานกงอี้หยู่ก็ได้เอ่ยถามขึ้นมาอีกว่า “ได้ยินว่าโจวเปี๋ยหลีทะลวงขั้นปรมาจารย์ได้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“อือ… เขาได้ปล่อยวางตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แห่งกองทหารม้า และได้ทะลวงเข้าสู่หนทางวรยุทธ์แล้ว”
“เหตุใดจึงมิให้โจวเปี๋ยหลีไปดูที่คฤหาสน์จิ้งหูกัน ? ”
จัวอี้สิงเลิกคิ้วขึ้น “มีโหยวเป่ยโต้วเฝ้าอยู่ที่นั่น”
หนานกงอี้หยู่มิได้เอ่ยถามสิ่งใดอีก ในเมื่อโหยวเป่ยโต้วยังเฝ้าอยู่ที่คฤหาสน์จิ้งหู นั่นก็หมายความว่ายังมิเกิดอันตรายอันใดขึ้นกับองค์จักรพรรดินี เยี่ยงนั้นแล้วองค์จักรพรรดินีประชวรด้วยโรคอันใดกันแน่ ?
พวกเขาต่างก็มิทราบว่า โจวเปี๋ยหลีในยามนี้ก็ได้อยู่ที่คฤหาสน์จิ้งหูเช่นกัน
คฤหาสน์จิ้งหูที่อยู่ภายใต้การจัดการของโจวถงถง บัดนี้ได้มีผู้มีฝีมือระดับสูงอยู่เป็นจำนวนมาก ประกอบไปด้วยโหยวเป่ยโต้วขั้นปรมาจารย์ โจวเปี๋ยหลี และยังมีคลั่งกระบี่หนิงฝาเทียนซึ่งเป็นผู้มือฝีมือระดับสูงอีกหนึ่งคน !
……
……
วังหลังเขตหลวงของราชวงศ์อู๋
ในความมืดมิดมีเพียงโคมไฟสีแดงดวงใหญ่ที่กวัดแกว่งไปมา แม้แต่ทหารยามก็ยังมิกล้าปรากฏตัวภายในวังหลัง
ไทเฮาซีนั่งอยู่ในศาลาที่อบอุ่น มีบุคคลที่สวมหน้ากากสีดำผู้หนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าของพระนางและกำลังโค้งคำนับ
“ทูลไทเฮา เกาเสี่ยนได้ถูกโจวถงถงจับตัวไปแล้ว บัดนี้อยู่ในระหว่างทางคุ้มตัวกลับมายังเมืองหลวง”
สองตาของไทเฮาซีหรี่ลงเล็กน้อย “สุนัขเฒ่า ยิ่งอยู่ก็ยิ่งไร้ประโยชน์ ส่งคนของอั้นเหมินไปเฝ้าไว้ที่ทางเดินฉีซาน และสั่งให้ไป๋หลี่หงส์ไปจัดการเสีย อายเจียมิต้องการให้มีพยานแม้แต่คนเดียว”
“รับสั่งพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ในยามที่ชายชุดดำผู้นั้นหันหลังกลับและกำลังจะเดินออกไป กลับถูกไทเฮาซีเรียกเอาไว้อีกครา “ประเดี๋ยวก่อน… สตรีชั่วเซียวเฉียงผู้นั้นสุดท้ายก็เป็นตัวปัญหา ส่งนางไปตามทางของนางเสียเถอะ ! ”
“…พ่ะย่ะค่ะ ! ”
“ส่วนเรื่องลอบสังหารฟู่เสี่ยวกวนของถงเหยียน… ยังมิสำเร็จอีกเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ทูลไทเฮา ยังมิสำเร็จพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช้นกส่งสารน์ส่งจดหมายไปให้ไป๋จื่อ ให้นางพาคนของหยิ่นเหมินไปจัดการเรื่องนี้เสีย… หากฟู่เสี่ยวกวนยังมิสิ้นชีพ เกรงว่าขุนนางนับร้อยของราชวงศ์อู๋ จะบีบบังคับให้อู๋หลิงสละตำแหน่งแล้ว ! ”
“…ข้าน้อยจะจดจำเอาไว้”
“นอกจากนี้…เจ้าจงแจ้งให้นักบุญทราบว่า หากต้องการทำให้สำเร็จ อย่างช้าที่สุดก็คือปีหน้าเดือนสาม จะต้องทำให้หยูเวิ่นชูยกธงตีราชวงศ์หยูให้จงได้ เมื่อแคว้นหยูตกอยู่ในความโกลาหล แคว้นอี๋และแคว้นฮวงย่อมส่งกองกำลังมาพิชิตเป็นแน่ ราชวงศ์หยูเองก็ย่อมส่งทหารออกมาจากภูเขาฉีซานเป็นแน่ หากได้แคว้นอี๋และแคว้นฮวงเข้ามาร่วมด้วย ย่อมสามารถล้มราชวงศ์หยูได้เป็นแน่ ส่วนหลังจากที่ตัดสินแล้วจะแบ่งราชวงศ์หยูเยี่ยงไร… ให้เจ้าบอกกับนักบุญว่า ความประสงค์ของอายเจียคือใช้ซีหรงก่อตั้งแคว้นของราชวงศ์เฉินขึ้นมา ส่วนเรื่องอื่น ๆ… ให้หยูเวิ่นชูสู้กับแคว้นอี๋และแคว้นฮวงเองเถอะ”
ชายชุดดำเงยหน้าขึ้นมา ในสายตางุนงงอยู่เล็กน้อย และเอ่ยถามออกไปอย่างอดมิได้ว่า “แต่ที่นั่นคืออาณาเขตของราชวงศ์เฉิน”
ไทเฮาซีแสยะยิ้ม “ให้ดินแดนตรงนั้นเปื้อนโลหิตเสียหน่อย ภายภาคหน้าจึงจะอุดมสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เจ้าไปเถอะ อายเจียเหนื่อยมากแล้ว”
“กระหม่อมขอลาพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ชายชุดดำเดินออกไปจากวังหลัง จากนั้นก็หันหน้ากลับไปชำเลืองมอง ช่างมืดมนเสียจนใจของเขาสั่นสะท้าน
ทั่วทั้งใต้หล้าวุ่นวาย จนโกลาหลไปถึงราชวงศ์หยู ฟู่เสี่ยวกวน เจ้ายังจะมีกำลังต่อสู้กับคลื่นที่บ้าคลั่งนี้อยู่อีกหรือไม่ ?